December 22, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7636

LINE MAN ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์ เดินหน้าขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) จับมือ กรุงเทพมหานคร สนับสนุนโครงการ BKK Food Bank ช่วยค่าบริการจัดส่งอาหารให้กับกลุ่มที่มีความต้องการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพมหานคร ผ่านบริการ LINE MAN MESSENGER มูลค่ารวม 1 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายอาหารสู่ผู้ที่มีความต้องการ

โครงการ BKK Food Bank จัดตั้งขึ้นจากความตั้งใจของ กทม. ที่เล็งเห็นว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีทั้งกลุ่มร้านอาหารหรือคนที่มีอาหารเกินจำเป็น และมีกลุ่มคนที่ขาดแคลนอาหาร จึงร่วมกับสำนักงานเขต 50 เขต ในการช่วยเขตแก้ไขปัญหาด้านการจัดส่งอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) ส่งต่ออาหารส่วนเกิน (Food Surplus) อย่างเป็นระบบ และสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้แก่ประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนด้านการจัดส่งอาหารจากบริการ LINE MAN MESSENGER ให้ถึงมือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ที่ไม่สามารถเดินทางมารับอาหารได้เองที่สำนักงานเขตในแต่ละพื้นที่ทั่วกทม.

 

คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยโครงการ BKK Food Bank ถือเป็นหนึ่งโครงการที่ช่วยแก้ปัญหาอาหารเหลือทิ้ง และอาหารส่วนเกิน ซึ่งการจับมือกับกรุงเทพมหานครในวันนี้เราไม่เพียงแค่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนการส่งมอบอาหารผ่านบริการ LINE MAN MESSENGER เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยลด Food Waste ปัญหาด้านขยะอาหารอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยเรานำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี และการมีไรเดอร์ในระบบทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ที่พร้อมให้บริการส่งอาหารมาช่วยให้โครงการสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการ แต่ไม่สะดวกเดินทางมารับอาหารด้วยตัวเองได้อีกด้วย”

ด้านคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความมุ่งมั่นของโครงการนี้ว่า "โครงการ BKK Food Bank เป็นการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชนผ่านการแบ่งปันอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กลุ่มคนที่ต้องการและกลุ่มคนเปราะบาง ไม่เพียงช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับผู้รับ แต่ยังสร้างความมั่นคงทางทางอาหาร ลดขยะและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานครอีกด้วย ล่าสุดได้ขยายโครงการครอบคลุมทั้ง 50 เขต โดยการสนับสนุนจาก LINE MAN ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนที่ช่วยผลักดันความมุ่งมั่นของเรา ผ่านการจัดส่งอาหารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มากขึ้น เพราะเราเชื่อว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่เมืองหลวง แต่เป็นบ้านของพวกเราทุกคน

ความร่วมมือในครั้งนี้ LINE MAN สนับสนุนส่วนลดค่าบริการจัดส่งอาหารผ่าน LINE MAN MESSENGER มูลค่ารวม 1 ล้านบาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ทางกรุงเทพมหานครในการจัดส่งอาหารแก่กลุ่มที่มีความต้องการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพมหานคร โดยการสนับสนุนนี้นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้ง LINE MAN และกรุงเทพมหานคร ในการแก้ปัญหา และช่วยลด Food Waste ปัญหาด้านขยะอาหารอย่างยั่งยืน

ธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ ตอกย้ำผู้นำด้านการวางแผนแบบองค์รวม (Holistic Advisory) กางแผนขับเคลื่อนธุรกิจปี 2567 เดินหน้ายกระดับให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีและมั่นคงทั้งด้านการเงิน สุขภาพ และที่อยู่อาศัย ชูโปรแกรม TISCO My Goal ตัวช่วยออกแบบแผนการเงินให้ถึงเป้าหมายของลูกค้าเฉพาะราย ลุยปรับโฉมสาขา TISCO Advisory Branch ให้คำแนะนำด้วยเจ้าหน้าที่มีคุณวุฒิที่ปรึกษาการเงิน (AFPT™) พร้อมเสริมแกร่งให้ครบเครื่องด้วย ‘Friends for Well-being' จับมือพันธมิตรหลากหลายธุรกิจ ทั้งกลุ่มการเงิน โรงพยาบาล และอสังหาริมทรัพย์ ตอบทุกความต้องการของลูกค้

 

นายพิชา รัตนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจธนบดี และบริการธนาคาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นวัตกรรมการแพทย์ก้าวหน้าทำให้อายุเฉลี่ยของคนทั่วโลกมีแนวโน้มยืนยาวขึ้น โดยจากการสำรวจและคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ (United Nationals) และเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรั่ม (World Economic Forum) คาดว่าในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) อายุเฉลี่ยคนทั่วโลกจะอยู่ที่ 77.3 ปี และที่น่าสนใจคือ คนไทยมีอายุเฉลี่ยเกินค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 82.3 ปี ซึ่งปัจจุบันไทยติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศที่ผู้สูงวัยเติบโตเร็วที่สุดในโลก และก้าวสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ (aged society) ไปแล้ว

จากเทรนด์ดังกล่าว ธนาคารทิสโก้ ในฐานะผู้นำการวางแผนแบบองค์รวม หรือ Holistic Advisory ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของคำแนะนำ (Good Advice) คุณภาพของบทวิเคราะห์เชิงลึก (Good Research) และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Good Product) จึงต้องการเข้ามาช่วยคนไทยวางแผนให้ครอบคลุมในทุกมิติรับกับสังคมสูงวัย พลิกโฉมไปจากการวางแผนการเงินรูปแบบเดิม ได้แก่ 1. เพิ่มความพร้อมด้านการเงิน ผ่านการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น และหลักประกันของชีวิตควรครอบคลุมทั้งประกันสุขภาพ โรคร้ายแรง และประกันบำนาญ 2. สนับสนุนเรื่องการดูแลสุขภาพ และ 3.เพิ่มความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ ผ่านบริการที่ผสมผสานระหว่างจุดแข็งของบุคลากรที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี พร้อมจับมือกับพันธมิตรทั้งด้านการเงิน (Financial) และพันธมิตรในธุรกิจอื่น (Non-financial) เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด

ชู TISCO My Goal โปรแกรมออกแบบแผนการเงินให้ถึงเป้าหมาย

ธนาคารทิสโก้หวังให้คนไทยมีเงินใช้แบบสุขสบายในสังคมอายุยืน พัฒนา TISCO My Goal โปรแกรมวางแผนการเงินที่ครอบคลุมทั้งกองทุน ประกัน เงินฝาก รวมถึงวางแผนมรดกให้แก่ทายาท ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้เจ้าหน้าที่ธนกิจส่วนบุคคล (RM) นำไปใช้ออกแบบแผนการเงินเพื่อการเกษียณให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยจะใช้ข้อมูลจาก 3 ส่วนเข้ามาช่วยในการวางแผน ได้แก่ 1. เป้าหมายค่าใช้จ่ายทั่วไปหลังเกษียณของแต่ละคน 2. ค่าใช้จ่ายสำคัญหลังเกษียณ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ กรณีเกิดโรคร้ายแรง โดยคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งกรณีการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ให้ลูกค้าเลือกได้ว่าเมื่อเกษียณแล้วต้องการรักษาที่โรงพยาบาลประเภทใด 3. การส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาท ให้คำแนะนำว่าจะวางแผนอย่างไรหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น พร้อมเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การวางแผนการเงินประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทางไปสาขา หรือต้องการวางแผนการเงินเบื้องต้นสามารถใช้งานโปรแกรม TISCO My Goal ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชัน TISCO My Wealth เว็บไซต์ TISCO Wealth และ LINE OA: TISCO Advisory

“ธนาคารทิสโก้พบว่าโปรแกรมวางแผนการเงินในปัจจุบัน เน้นแต่เรื่องการออมเงินและลงทุนอย่างไรให้มีเงินก้อนก่อนเกษียณที่เพียงพอ แต่ยังมีช่องว่างเรื่องการวางแผนด้านค่าใช้จ่ายสุขภาพ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่มักจะเกิดขึ้นในชีวิตหลังเกษียณ รวมทั้งอาจจะลืมคำนึกถึงกระแสเงินสดหลังเกษียณที่สามารถสร้างได้ด้วยประกันบำนาญ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้วางแผนเกษียณมักจะยอมลดคุณภาพชีวิตหลังเกษียณของตัวเองลงเพื่อลดจำนวนเงินที่ตัวเองต้องเก็บออมก่อนเกษียณ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วชีวิตหลังเกษียณเราอาจยังต้องการใช้ชีวิตที่เทียบเท่ากับช่วงชีวิตที่ทำงานมีรายได้อยู่ ดังนั้น โปรแกรมนี้จะเข้ามาช่วยออกแบบแผนการเงินให้เป็นไปตามความเป็นจริงและเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากที่สุด และสำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงต้องการส่งต่อมรดกให้แก่ทายาท โปรแกรมนี้ก็จะช่วยแนะนำให้ท่านวางแผนส่งต่อมรดกแบบไร้รอยต่อและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบริหารจัดการภาษีมรดกอีกด้วย” นายพิชากล่าว

ยกระดับบริการ ลุยเปิด TISCO Advisory Branch

นายพิชากล่าวอีกว่า การให้บริการลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealth) จำเป็นต้องให้บริการโดยเจ้าหน้าที่ธนกิจส่วนบุคคล (RM) ที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพ ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มความแม่นยำของคำแนะนำ ดังนั้น ธนาคารทิสโก้จึงเดินหน้าให้บริการลูกค้าแบบ “Hybrid Advisory” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการให้ “คำแนะนำที่ดี” ควบคู่กับการมี “ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้แก่ลูกค้า รวมถึงการนำ “เทคโนโลยี” เข้ามาช่วยยกระดับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเจ้าหน้าที่ RM ของธนาคารทิสโก้ทุกรายได้รับใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน (IC License) และธนาคารทิสโก้ยังส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ RM ทุกสาขาได้รับคุณวุฒิที่ปรึกษาการเงิน (AFPT®) และนักวางแผนการเงิน (CFP®) อีกด้วย

เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่มีคุณภาพ ธนาคารทิสโก้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ RM ของเราได้รับคุณวุฒินักวางแผนการเงิน (CFP®) และที่ปรึกษาการเงิน (AFPT™) และมีเป้าหมายให้ทุกสาขามีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับคุณวุฒิ AFPT™ ให้บริการวางแผนการเงิน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าแผนการเงินที่ธนาคารทิสโก้ออกแบบให้นั้นดี ครบถ้วน ได้มาตรฐานระดับโลก” นายพิชากล่าว

นอกจากนี้ ยังยกระดับบริการด้วยสาขารูปแบบใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Advisory Branch โดดเด่นด้วยบริการปรึกษาแผนการเงินด้วยเจ้าหน้าที่ที่มีคุณวุฒิ AFPT™ ซึ่งเป็นสาขาที่จะช่วยลูกค้าออกแบบแผนการเงินเฉพาะบุคคล สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจอยากต่อยอดเงินล้าน มีกิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงิน รวมถึงกิจกรรมให้ความรู้ด้านสุขภาพ และกิจกรรมด้านไลฟ์สไตล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบโจทย์ความเป็น Holistic Advisory หรือแบบองค์รวม และยกระดับการบริการด้านการวางแผนเกษียณ โดยมีเป้าหมายให้บริการที่สาขาสำนักงานใหญ่เป็นสาขานำร่องซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2567 นี้ และหลังจากนี้จะขยาย Advisory Branch ไปยังสาขาต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งต้องการทางเลือกการออม การลงทุนที่มีความหลากหลาย รวมทั้งต้องการวางแผนชีวิตในด้านอื่นๆ มากขึ้น

จับมือพันธมิตรหลากหลายธุรกิจ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

นายพิชากล่าวอีกว่า ในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดี (Good Product) ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญที่จะช่วยให้แผนการเงินของลูกค้าประสบความสำเร็จนั้น ธนาคารทิสโก้มีโมเดลธุรกิจ Open Architecture สามารถคัดเลือกและเสนอขายผลิตภัณฑ์การเงินจากหลากหลายบริษัท โดยปัจจุบันเสนอขายผลิตภัณฑ์กองทุนจาก 14 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และ 8 บริษัทประกันชั้นนำ ทำให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นจุดแข็งของแต่ละบริษัทมานำเสนอลูกค้าได้

การจะเป็น Advisory Bank ที่ดีให้กับลูกค้าได้นั้นต้องไม่จำกัดเรื่องการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากบริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น เพราะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแต่ละแห่ง และบริษัทประกันแต่ละรายล้วนแต่มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน และไม่มีที่ไหนทำได้ดีที่สุดหรือเก่งที่สุดได้ตลอดเวลา ธนาคารทิสโก้มั่นใจว่าด้วยโมเดลธุรกิจ Open Architecture ที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินแบบไม่จำกัดค่าย ผสานกับบทวิเคราะห์ จากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)และบทวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ประกัน ผลิตภัณฑ์กองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นจากทีม Wealth Advisory รวมทั้งการให้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ RM ที่แนะนำโดยใช้ความต้องการของลููกค้า (Customer Focus) เป็นตัวตั้งจะทำให้แผนการเงินของลูกค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด” นายพิชากล่าว

 

ทั้งนี้ สำหรับวิธีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์กองทุนนั้น ธนาคารทิสโก้มีกระบวนการศึกษากลยุทธ์การลงทุนอย่างรอบด้าน ทั้งด้านผลตอบแทน ความเสี่ยง ขนาดของกองทุน สภาพคล่อง ฯลฯ และนำเสนอเข้าสู่คณะกรรมการการลงทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อคัดสรรกองทุนที่คิดว่าดีที่สุดก่อนจะนำเสนอให้กับลูกค้า สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันนั้นพันธมิตรบริษัทประกันแต่ละแห่งก็มีความเชี่ยวชาญและมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน ธนาคารทิสโก้จะคัดสรรประกันที่คุ้มค่ามาให้ลูกค้า รวมถึงเข้าไปหารือร่วมกับบริษัทประกันช่วยกันออกแบบความคุ้มครองเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารทิสโก้ได้ประโยชน์สูงสุด

นายพิชากล่าวอีกว่า นอกจากการสร้างความมั่งคั่ง และการปกป้องความมั่งคั่งแล้ว ธนาคารทิสโก้มองว่าการที่ลูกค้าจะมี Well being เพื่อให้มีความสุขได้อย่างสมบูรณ์ ก็ควรจะต้องมีสุขภาพที่ดี และความเป็นอยู่ที่ดีร่วมด้วย จึงก้าวไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรด้าน Non - financial ซึ่งครอบคลุมในเรื่องสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลรัฐฯ และเอกชน 7 แห่งในการให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ อัปเดตนวัตกรรมการแพทย์ และให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ลูกค้า และสร้างความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยหลังเกษียณโดยร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ลูกค้าวางแผนการเกษียณที่ครบถ้วน

“ธนาคารทิสโก้และพันธมิตรทุกองค์กรจะเดินหน้าร่วมกันเป็น “Friends for Well-being" เพื่อให้ลูกค้าธนาคารทิสโก้ได้ทั้งคำแนะนำทางการเงินที่เสริมสร้างและปกป้องความมั่งคั่งให้กับลูกค้า และคำแนะนำสุขภาพ รวมถึงด้านที่อยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์การให้คำแนะนำลูกค้าแบบองค์รวม หรือ Holistic Advisory ที่ครอบคลุมทั้ง Financial และ Non-Financial และเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะสามารถมีความสุขกับ Lifestyle ที่เลือกไปตลอดทุกช่วงชีวิตและเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจธนบดีของธนาคารทิสโก้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเป้าหมายการเป็น “Your Trusted Financial Advisor” ของกลุ่มทิสโก้ได้” นายพิชา กล่าว

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามกับนายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับประกัน (Insurance) โดยมีนายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และนายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK เป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนาม เพื่อใช้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาด CLMV และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563

 

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ NEXI ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบการรับประกันและการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมั่นใจที่จะขยายการส่งออกและโครงการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของญี่ปุ่น การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจของญี่ปุ่น การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสใหม่ ๆ ทางการตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในญี่ปุ่น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงด้านการลงทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงานนี้จะช่วยให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อ หรือประเทศเป้าหมายที่เข้าไปลงทุน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่ใช้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนของ EXIM BANK สามารถโอนสิทธิในกรมธรรม์ประกันการส่งออกและการลงทุนเป็นหลักประกันในการขอรับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น EXIM BANK และ NEXI ยังมีความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่างกัน ช่วยสนับสนุนการทำหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ได้เป็นอย่างดี ทำให้ EXIM BANK สามารถรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจรับประกันได้มากขึ้น ขยายขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมี NEXI ร่วมรับความเสี่ยงในการสนับสนุนธุรกรรมการส่งออกและการลงทุน

 

“EXIM BANK ขยายความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย กระตุ้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยและขยายไปยังตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและโลกโดยรวม” นายพิศิษฐ์กล่าว

EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์) จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำสุดในระบบ SFIs อยู่แล้ว เหลือเพียง 5.985% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป พร้อมเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษช่วยสนับสนุนให้มีเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจหรือนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยีการผลิต เพื่อขยายกำลังการผลิตหรือปรับปรุงโรงงาน ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 2% ต่อปี

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน EXIM BANK มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์) อยู่ที่ 6.00% ต่อปี ซึ่งต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เนื่องจาก EXIM BANK นำร่องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 อย่างไรก็ตาม เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจและตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีจำนวนมากและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย EXIM BANK ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 5.985% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นถึงราว 15% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่เงินบาทเคยอยู่ที่ราว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิต อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว EXIM BANK จึงได้พัฒนาบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการนำเข้าและการลงทุน ควบคู่กับมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นการส่งออก โดยสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของไทยและตลาดโลก ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่า Prime Rate สำหรับผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและทุกขนาด ดังนี้

• มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นสินเชื่อระยะยาวเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมใช้ซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี
• มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้นำเข้าเพื่อผู้ผลิตในการส่งออก และผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก สามารถเลือกใช้วงเงินกู้ระยะยาวหรือวงเงินกู้ระยะสั้น สำหรับนำไปลดภาระการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกิจการให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจส่งออก หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3.99% ต่อปี
• สินเชื่อส่งออกเพิ่มสุข อัตราดอกเบี้ยปีแรก 5.50% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นส่งออก
• สินเชื่อส่งออกเพิ่มค่า อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก Prime Rate -1.25% ต่อปี สำหรับกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
• สินเชื่อเอ็กซิมเชื่อม SMEs ไทยสู่ CLMV สำหรับผู้ส่งออก SMEs ไปตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อัตราดอกเบี้ย Prime Rate -1.75% ตลอดอายุโครงการ
• สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อธุรกิจขนาดกลาง สินเชื่อรับซื้อตั๋วเพื่อธุรกิจขนาดกลาง และสินเชื่อเอ็กซิมเพื่อโซนพิเศษ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ Prime Rate -2.00% สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไทยในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า อาทิ มาตรการพักชำระหนี้ ลดภาระผู้ส่งออก สู้ภัยไวรัสโคโรนา พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมขยายความคุ้มครองผู้ส่งออกที่มีการส่งออกแล้วหรืออยู่ระหว่างเตรียมส่งออกไปจีน สินเชื่อเพื่อวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม และบริการประกันการส่งออกสำหรับผู้ส่งออกทั่วไปและผู้ส่งออก SMEs ซึ่งมีขั้นตอนการขอรับบริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นต้น

“EXIM BANK เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ตามความคาดหวังของทุกฝ่าย ท่ามกลางปัจจัยท้าทายรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยธนาคารจะทำหน้าที่สนับสนุนเครื่องมือทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีสภาพคล่อง ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะสั้น ควบคู่กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดการค้ายุคใหม่ในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว

EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์ เหลือ 6.00% ต่อปี เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทย สนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการหดตัวของการส่งออกตามปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลงจากสภาวะกีดกันทางการค้า

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจสนับสนุนธุรกิจการส่งออก การนำเข้า และการลงทุน ขานรับทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยความเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศในสภาวะที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จึงพร้อมช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนทางการเงินที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ซึ่งเทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ของธนาคารพาณิชย์ เหลือ 6.00% ต่อปี จากอัตราเดิม 6.125% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างไม่สะดุด แม้ในภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง” นายพิศิษฐ์กล่าว

 

Page 1 of 12
X

Right Click

No right click