ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเก็บ วิเคราะห์ Data และ Consumer Insight รวมถึงการนำไปใช้ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ นักการตลาดไม่เพียงต้องวิ่งตามเทรนด์ให้ทันแต่ต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง

หากคุณยังไม่รู้วิธีหา Marketing และ Consumer Insight หรือมี Data แต่ไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไร หลักสูตร "Data and insight driven marketing" คือคำตอบ

หลักสูตรนี้จะช่วยให้คุณได้รู้จัก Data-driven Marketing ซึ่งใช้ข้อมูลเชิงลึกทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคและธุรกิจมาวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างเต็มที่และตรงเป้ายิ่งขึ้น โดยศึกษาจาก case study และได้ลงมือทำจริงผ่าน Workshop และที่สำคัญ..ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานก็เรียนได้เพราะเราสอนตั้งแต่เริ่มต้น 

คุณจะได้เรียนรู้อะไรจากหลักสูตรนี้

● ความแตกต่างระหว่าง Strategy และ Tactics ในการของการทำการตลาด

● วิธีการเก็บ เตรียม วิเคราะห์และแปลข้อมูลเพื่อวางแผนกลยุทธ์และการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตัวชี้วัด

● Data and Insight Driven Marketing Framework ที่สร้าง business impact ให้กับองค์กรได้จริง

และอีกหลากหลายหัวข้อที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ ?

พบกับ 2 วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ “คุณหนุ่ย ณัฐพล ม่วงทำ” เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน ผู้ที่จะย่อยการวิเคราะห์ข้อมูลยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย ๆ และ “คุณเอง คุณบังอร สุวรรณมงคล” CEO &

Founder of Hummingbirds Consulting ที่ปรึกษาด้านการวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์และ Insight and Strategy Expert

ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ : https://tinyurl.com/3fk9bhxa

วันอบรม

วันที่ : 2-3 เมษายน 2567

เวลา : 9.00 - 16.00 น.

สถานที่ : โรงแรมเอทัส ลุมพินี

. ค่าลงทะเบียนอบรม

- สมาชิกสมาคม ท่านละ 14,900 บาท

- ผู้สนใจทั่วไป ท่านละ 15,900 บาท

สอบถามเพิ่มเติม: 02-679-7360-3 สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

หรือ Line Official ID: @matsociety

Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) บริษัท AI CRM อันดับ 1 ประกาศความก้าวหน้ายิ่งใหญ่ของโซลูชั่น Einstein เทคโนโลยีเอไอภายใต้เอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท และ Data Cloud โซลูชั่นข้อมูลไฮเปอร์สเกลแบบเรียลไทม์ที่งาน Dreamforce 2023 ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวนี้จะมุ่งพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าพร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานมากยิ่งขึ้น

ผลการศึกษาล่าสุดจาก IDC เผยว่าคลื่นลูกใหม่จาก Generative AI จะช่วยเร่งโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับเซลส์ฟอร์ซและระบบนิเวศของบริษัท โดย IDC คาดการณ์ว่า Salesforce AI Economy จะสร้างรายได้สุทธิ 2.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากรายได้ของธุรกิจทั่วโลก และสร้างงานใหม่ 11.6 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ระหว่างปี พ.ศ. 2565 - 2571

Einstein รุ่นใหม่ล่าสุด สู่การเป็นผู้ช่วยการสนทนาที่น่าเชื่อถือพร้อมทั้งขับเคลื่อนด้วย Generative AI

โซลูชั่น Einstein ของเซลส์ฟอร์ซเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้นวัตกรรมจาก Generative AI อย่าง Einstein Copilot ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยเอไอสำหรับการสนทนา ฟีเจอร์ดังกล่าวติดตั้งอยู่บนแอป CRM ทั้งหมดเพื่อสนับสนุนทุกการใช้งานของลูกค้า โดยฟีเจอร์ Einstein Copilot จะช่วยสร้างเวิร์กโฟลว์การทำงานที่ไร้รอยต่อ พร้อมช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการใช้ Natural Language ในการถามคำถาม และรับข้อมูลคำตอบที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลเอกสิทธิ์ของเซลส์ฟอร์ซที่ปลอดภัยจาก Data Cloud

นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เจาะจงของแต่ละธุรกิจ เซลส์ฟอร์ซได้เปิดฟีเจอร์ Einstein Copilot Studio ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่ง (Customise) ฟีเจอร์ Einstein Copilot ผ่านพร้อมท์ (Prompts)ที่เจาะจง หรือผ่านทักษะและโมเดลเอไอที่เจาะจง ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปิดดีลได้ไวยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับงานบริการลูกค้า ไปจนถึงการปรับแต่งพร้อมท์รูปแบบ Natural Language ให้กลายเป็นโค้ด เป็นต้น มากไปกว่านั้น ฟีเจอร์ Einstein Copilot Studio ยังสามารถตั้งค่าให้ Einstein Copilot สามารถใช้งานนอกแอปพลิเคชันของเซลส์ฟอร์ซได้อีกด้วย เพื่อใช้บนช่องทางติดต่อลูกค้าอื่น ๆ อาทิ ช่องทางเว็บไซต์, Slack, WhatsApp หรือ SMS เพื่อขับเคลื่อนแชทแบบเรียลไทม์

ฟีเจอร์ Einstein Copilot และ Einstein Copilot Studio จะใช้งานภายใต้ Einstein Trust Layer ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเอไอที่ปลอดภัยและสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มของเซลส์ฟอร์ซ เพื่อสร้างผลลัพธ์อันมีคุณภาพจากเอไอโดยอ้างอิงจากข้อมูลลูกค้า ในขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลบริษัทไปพร้อมกันสำหรับธุรกิจที่ใช้งาน

ใหม่! Einstein 1 Platform ใช้คู่กับ Data Cloud รองรับ Big Data และขับเคลื่อน Low-Code Metadata บนแอปพลิเคชันเอไอ Einstein 1 Platform สร้างขึ้นบนเฟรมเวิร์คเมตาดาต้าของเซลส์ฟอร์ซ โดยเป็นอีกขั้นของความก้าวหน้าสำหรับ Data Cloud และ Einstein แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยบริษัทต่าง ๆ เชื่อมต่อ จัดระเบียบ และทำความเข้าใจข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันเซลส์ฟอร์ซต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังสร้างการมองเห็นข้อมูลที่ทั่วถึงของทั้งองค์กร ไม่ว่าข้อมูลจะมีโครงสร้างอย่างไรในระบบภายใน ทั้งยังสามารถช่วยองค์กรในการปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้และข้อมูลการดำเนินการโดยใช้บริการแพลตฟอร์มแบบ low-code อื่น ๆ อาทิ: · การใช้ Einstein สำหรับคาดการณ์และสร้างเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ · การใช้ Flow สำหรับการทำออโตเมชั่น · การใช้ Lightning สำหรับส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งานหรือ user interfaces

 

Date Cloud รุ่นใหม่ล่าสุดถูกผสานเข้ากับ Einstein 1 Platform เพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปลดล็อกการใช้ข้อมูลในการสร้างโปรไฟล์ลูกค้าพวกเขาให้สมบูรณ์และมีความเป็นหนึ่งเดียว พร้อมส่งมอบประสบการณ์ CRM แบบใหม่ให้แก่ผู้ใช้งาน

· Data at Scale: Einstein 1 Platform รองรับข้อมูลเมตาดาต้า (Metadata-enabled objects) เป็นพันรายการ โดยแต่ละอ็อบเจ็กต์สามารถมีแถวได้หลายล้านล้านแถว นอกจากนี้ Marketing Cloud และ Commerce Cloud ยังมีการอัปเกรดใหม่ให้สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย

· Automation at Scale: ข้อมูลจำนวนมหาศาลสามารถถูกนำไปใช้งานได้ทันทีในรูปแบบเซลส์ฟอร์ซออบเจ็กต์บน Einstein 1 Platform โฟล์วต่าง ๆ ของงานสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สูงสุด 20,000 เหตุการณ์ต่อวินาที และยังสามารถโต้ตอบกับระบบอื่น ๆ ภายในองค์กร รวมถึงระบบเดิมที่มีอยู่ผ่าน Mulesoft

· Analytics at Scale: โครงสร้างข้อมูลของข้อมูลเมตาดาต้า (Metadata Schema) แบบทั่วไปบน Einstein 1 Platform และแอคเซสโมเดลช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกและโซลูชั่นวิเคราะห์มากมายของเซลส์ฟอร์ซ อาทิ Reports and Dashboards, Tableau, CRM Analytics, และ Marketing Cloud Report สามารถใช้งานข้อมูลเดียวกันได้อย่างทั่วถึง

“เราอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลตลอดเวลา ความสำคัญและการที่ AI เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะ AI จะเข้ามาปฏิวัติพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์และนำไปสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่" คุณอามิท ซักซีน่า รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียน เซลส์ฟอร์ซ กล่าวต่ออีกว่า "ในเวลานี้ ธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องควบคุมและประเมินถึงความเหมาะสมของการใช้งาน AI, Data และ CRM เพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ในขณะเดียวกันยังต้องสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าของพวกเขาได้เช่นกัน ความไว้วางใจของลูกค้ามีผลต่อแบรนด์ได้ ดังนั้นความสามารถในการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมต่อลูกค้าจึงมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแห่งอนาคต”

ไฮไลท์สำคัญอื่น ๆ จากงาน Dreamforce 2023:

· Slack เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ขับเคลื่อนแพลตฟอร์มส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานอย่างชาญฉลาด

o นวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มเข้ามาบน Slack จะนำเอาเอไอ, ระบบออโตเมชั่น และการแบ่งปันความรู้มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงาน

§ Slack AI มาพร้อมความสามารถในการสรุปเธรดต่าง ๆ, สรุปไฮไลท์บนชาแนล, และค้นหาคำตอบภายในข้อความทั้งหมดของผู้ใช้

§ Workflow Builder รุ่นพัฒนาจะช่วยให้ทีมสามารถสร้างระบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเขียนโค้ดใด ๆ โดยใช้งานตัวเชื่อมต่อจาก Google, Asana, Jira และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

§ Slack lists จะช่วยติดตามงาน, ติดตามคำขอคัดแยก(Triage requests) และติดตามการจัดการโปรเจ็คข้ามสายงานได้

· Einstein สำหรับ Net Zero Cloud เพื่อช่วยให้การทำรายงานเกี่ยวกับ ESG ง่ายขึ้นสำหรับบริษัทต่างๆ

o ฟีเจอร์ Einstein สำหรับ Net Zero Cloud นั้นจะแนะนำข้อมูลที่เชื่อถือได้ตอบสนองต่อคำสั่งหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรายงาน ESG แบบเรียลไทม์ โดยการตอบสนองต่างๆ จะอ้างอิงมาจากข้อมูลที่อยู่ในกรอบการรายงานโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถที่จะปรับปรุงกระบวนการเขียนรายงาน ESG ได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น Einstein สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ของบริษัทที่ถูกเผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว หรืออาจดึงข้อมูลจากเอกสารที่อัปโหลดเอาไว้ก่อนหน้านี้ (เช่น รายงานผลกระทบกว่าหนึ่งหมื่นฉบับ เอกสารการปฏิบัติตามข้อกำหนด) หรืออาจใช้ประโยชน์จากข้อมูล Net Zero Cloud อื่นๆ เช่น ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท เป็นต้น Einstein จะใช้ข้อมูลนี้ระบุลงไปในแต่ละส่วนรายงาน ESG สำหรับปีล่าสุดโดยอัตโนมัติ

· Salesforce ขยายความร่วมมือทางอุตสาหกรรม เปิดตัวพาร์ทเนอร์ชิพกับ Google, AWS, McKinsey, Databricks, Genesys และ Snowflake: o Google partnership: เปิดตัวการใช้งานรูปแบบ Bidirectional Integration ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรวมบริบทจาก Salesforce และ Google Workspace เข้าด้วยกัน ผู้ใช้จะสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อทั่วทั้งแพลตฟอร์มผ่านผู้ช่วย Generative AI ของ Salesforce และ Google Workspace, Einstein Copilot และ Duet AI

o AWS partnership: เปิดตัว Bring Your Own Lake (BYOL) และ Bring your Own Large Language Model (BYO LLM) ซึ่งเป็นการผสานโซลูชั่นระหว่าง AWS และ Salesforce Data Cloud สร้างขึ้นบน AWS โดยนำ Generative AI ที่มีอยู่ของเซลส์ฟอร์ซเข้ามาพาร์ทเนอร์ด้วย ซึ่งการผสานโซลูชั่นดังกล่าวนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรวมข้อมูลของตนผ่าน Data Cloud และบริการของ AWS ได้อย่างไร้รอยต่อและมีความปลอดภัย เพื่อใช้ประโยชน์จากชุดโมเดลพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่บน Amazon Bedrock และ Amazon SageMaker อย่างปลอดภัยภายในแพลตฟอร์มเซลส์ฟอร์ซ o McKinsey partnership: เปิดตัวการนำเทคโนโลยี Einstein และ Data Cloud ของเซลส์ฟอร์ซมาผสานเข้ากับโมเดลและเอไอของ McKinsey โดยการร่วมงานกันครั้งนี้จะช่วยเร่งการเปิดตัว Generative AI ที่น่าเชื่อถือสำหรับการขาย การตลาด การพาณิชย์ และการบริการ

o Databricks partnership: เปิดตัวการแชร์ข้อมูลแบบไร้รอยต่อระหว่าง Salesforce Data Cloud และ Databricks Lakehouse ที่จะช่วยลดต้นทุนและลดความซับซ้อนในการย้ายและคัดลอกข้อมูลสำหรับลูกค้า รวมทั้งสร้างความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ช่วยปลดล็อกการใช้ข้อมูลเชิงลึกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อการส่งมอบประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น o Snowflake partnership: เปิดตัววางจำหน่าย Bring Your Own Lake (BYOL) ซึ่งเป็นเครื่องมือการแชร์ข้อมูลผ่าน Snowflake Data Cloud จาก Salesforce Data Cloud ที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและส่งเสริมการนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้งาน เสริมความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูลหรือ Data-driven ให้แก่ลูกค้า

o Genesys partnership: เปิดตัว CX Cloud โซลูชั่นการจัดการความสัมพันธ์และประสบการณ์ลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอแบบครบวงจร ซึ่งเป็นการผสานระบบระหว่าง Genesys Cloud CXTM และ Salesforce Service Cloud เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ลูกค้าและประสบการณ์พนักงานแบบครบวงจรให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

 ผลสำรวจล่าสุดของการ์ทเนอร์ อิงค์ เผยน้อยกว่าครึ่ง (44%) ของผู้นำด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (D&A) รายงานว่าทีมของเขามีประสิทธิภาพในการมอบคุณค่าแก่องค์กร โดยผู้บริหารด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (Chief Data And Analytics Officer หรือ CDAO) ต้องให้ความสำคัญกับการมีบทบาท (Presence) ความยึดมั่นกับสิ่งที่ทำ (Persistence) และผลจากการปฏิบัติงาน (Performance) เพื่อประสบความสำเร็จในบทบาทที่รับผิดชอบและมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดค่าได้

ดอนน่า เมไดรอส ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ทีม D&A อยู่ในบทบาททางธุรกิจที่ต้องขับเคลื่อนคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมีผลงานเหนือผู้บริหารในระดับเดียวกัน ด้วยการฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญในการเป็นผู้นำ และพัฒนากลยุทธ์ให้กับฟังก์ชันการทำงานด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ที่คล่องตัว ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์และการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”

 

ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จทำให้เห็นบทบาทการบริหาร (Executive Presence)

จากการสำรวจพบว่าผู้บริหาร D&A ที่ประเมินว่าตนเอง "มีประสิทธิภาพ" หรือ "มีประสิทธิภาพอย่างมาก" ตาม 17 คุณสมบัติที่แตกต่างกันของผู้นำนั้นมีความสัมพันธ์กับผู้บริหารที่ระบุว่าองค์กรและทีมงานมีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเช่น 43% ของผู้นำ D&A ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (Top-Performing) บอกว่าตนมีประสิทธิภาพเมื่อทุ่มเทเวลาให้กับการพัฒนาความเชี่ยวชาญ เทียบกับ 19% ของผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพต่ำ

อลัน ดันแคน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้นำชั้นยอด พวกเขาจะลงทุนเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จโดยการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่สามารถสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอน และสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณค่าและน่าสนใจ รวมถึงสามารถเลือกผลิตภัณฑ์และบริการ D&A ที่ช่วยขับเคลื่อนและรับมือกับผลกระทบทางธุรกิจได้”

CDAO ต้องตั้งมั่น (Persistent) กับการตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ

จากการสำรวจ ยังพบว่าผู้บริหาร CDAO ต้องรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงการกำหนดและการนำกลยุทธ์ด้าน D&A ไปปฏิบัติ (60%) การกำกับดูแลด้านกลยุทธ์ D&A (59%) การสร้างและการปฏิบัติตามธรรมาภิบาล D&A (55%) และการจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (หรือ Data-Driven Culture Change) (54%).

นอกจากนี้มีฟังก์ชันการทำงานด้าน D&A หลายอย่างกำลังได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบด้วยด้านการจัดการข้อมูล (65%) การกำกับดูแลข้อมูล (63%) และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (60%) โดยมีงบประมาณเฉลี่ยของ D&A อยู่ที่ 5.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2565 ที่ผ่านมา 44% ของทีมงานด้าน D&A มีการขยายทีมใหญ่ขึ้น

“ความต้องการด้านต่าง ๆ ได้ถูกวางไว้บนบ่าของ D&A เช่นเดียวกับการลงทุนที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของผู้บริหารและให้การยอมรับที่มากขึ้นในความสำคัญของหน่วยงานด้านข้อมูล (Data Office) ว่าเป็นฟังก์ชันธุรกิจที่องค์กรขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้ทีม D&A มีภาระงานเพิ่มขึ้นตามแรงกดดัน เพื่อบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้” เมไดรอส กล่าวเพิ่ม

ผู้ตอบแบบสอบถาม 39% ระบุว่าเมื่อขอบเขตและความซับซ้อนของความต้องการต่าง ๆ ถูกมอบหมายมาอยู่กับทีม D&A ทำให้ปัญหาการขาดบุคลากรที่มีทักษะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญลำดับแรกต่อความสำเร็จของทีม D&A โดย 6 อันดับแรกของอุปสรรคที่ทีม D&A รายงานไว้ในแบบสำรวจล้วนเป็นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งสิ้น (ดูรูปที่ 1)

 

รูปที่ 1: อุปสรรคสำคัญขวางกั้นความสำเร็จของโครงการริเริ่มด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (สรุปรวมอยู่ใน 3 อันดับแรก)

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มีนาคม 2566)

เพื่อสร้างทีมงาน D&A ที่มีประสิทธิภาพ ผู้บริหาร CDAO ต้องมีกลยุทธ์การจัดการบุคลากรที่แข็งแกร่ง นอกเหนือไปจากการจ้างพนักงานที่มีความสามารถพร้อมทำงาน แต่ควรรวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษา การฝึกอบรมและการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การเพิ่มความรู้และทักษะการใช้ข้อมูล (Data Literacy) ทั้งจากภายในทีมงานหลักด้าน D&A รวมถึงชุมชนทางธุรกิจและเทคโนโลยีในวงกว้าง

ผลงาน (Performance) ของทีม D&A ต้องเชื่อมกับกลยุทธ์ธุรกิจ

จากการสำรวจ พบว่า 78% ของผู้ตอบแบบสอบถามจัดลำดับความสำคัญด้านกลยุทธ์องค์กรหรือวิสัยทัศน์ขององค์กรไว้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกลยุทธ์ด้าน D&A นอกจากนี้ 68% ให้ความสำคัญกับความคิดริเริ่มด้าน D&A ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

“ผู้บริหาร CDAO ที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ (Strategy) มากกว่ากลวิธี (Tactic) คือผู้ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด เนื่องจาก CDAO ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่มทั่วทั้งธุรกิจ พวกเขาจึงต้องจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกลยุทธ์ขององค์กร และเน้นการนำเสนอวิสัยทัศน์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ร่วมกับ CEO, CIO และ CFO ในฐานะผู้มีอิทธิพลหลัก” ดันแคน กล่าวเพิ่ม

 

 วิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนของใครหลายคนที่มีสถานะทางการเงิน คุณภาพชีวิตด้านการเงินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น หนี้ครัวเรือนของไทยสูงขึ้นถึงร้อยละ 91 ของ GDP อัตราค่าครองชีพสูง รวมไปถึงปัญหาการกู้ยืมหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะ GEN Z ที่มีสถิติเป็นหนี้เพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว คนสูงวัยก็ไม่มีเงินเก็บออมหลังวัยเกษียณและอีกหลายกลุ่มยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นข้อท้าทายของประเทศไทย เพราะทำให้คนไทยเริ่มห่างไกลจากการมี “Financial Well-being” หรือ “ชีวิตทางการเงินที่ดี” ซึ่งเป็นที่มาให้ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดงาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันทางการเงินเพื่อคนไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีและฐานข้อมูล (Tech & Data) มาเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหา รวมทั้งมีการรวมพลังจากทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น

นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้า ttb analytics ได้พูดถึงโจทย์ของการแข่งขันครั้งนี้ว่า “เราจะยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยนำ Tech & Data มาประยุกต์ใช้ให้ถูกจุด คือ ‘การเลือกปัญหาที่ใช่ ที่เราจะแก้ไข’ (Problem Worth Solving) เราต้องเข้าใจปัญหาของคนที่เราจะแก้ไขปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาจะเป็นแนวทางหลักในการตัดสินผลงานของผู้เข้าแข่งขัน Hackathon ในครั้งนี้ ซึ่งทีเอ็มบีธนชาตเล็งเห็นถึงความสำคัญที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเร็วที่สุดและต้องทำทันที เพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยให้ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต”

งาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” มีนักศึกษา คนรุ่นใหม่ ร่วมกันส่งแนวคิดเพื่อช่วยยกระดับชีวิตทางการเงินของคนไทยกว่า 100 โครงการ ครอบคลุมปัญหาทางการเงินของคนไทย ตั้งแต่ GEN Z คนทำงาน SME เกษตรกร ผู้สูงวัย เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สะท้อนให้เห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อการเงินและการจัดการปัญหาทางการเงิน โดยมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ (Mentor) จากทีเอ็มบีธนชาต และที่ปรึกษาจากบริษัทภายนอกหลากหลายสาขามาช่วยขัดเกลาไอเดียและต่อยอดให้ครอบคลุม 3 แกนหลัก ได้แก่ แผนธุรกิจ (Business), Tech และ Data ในการร่วมกันสร้างโซลูชันทางการเงินอย่างแท้จริง 

1. Business ที่มีเคสที่น่าสนใจอย่าง ทีทีบี ออลล์ฟรี ที่เข้ามาแก้ปัญหาทางการเงินให้กับลูกค้า เช่น ปัญหาที่ว่าคนไทยกว่า 70% ไม่ทำประกัน เพราะมองว่าการทำประกันคือการสิ้นเปลือง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ทีเอ็มบี

ธนชาตจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้หันมาสนใจทำประกันกันมากขึ้นด้วยการมอบวงเงินประกันให้กับลูกค้าฟรี และช่วยลดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเริ่มจากการมองหาความต้องการของลูกค้า ศึกษาปัญหาของลูกค้า เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันที่เข้าใจง่ายและได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

2. Tech เช่น การแก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในประเทศไทย เริ่มต้นจากปัญหาที่เกษตรกรนำเงินทุนจากโรงงานผู้ผลิตน้ำตาลไปใช้ไม่เพียงพอ บ้างก็นำไปใช้ในด้านอื่นแทนการนำไปลงทุนปลูกอ้อย ทำให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ คือ เกษตรกรมีเงินทุนไม่พอ ทำให้ปลูกอ้อยได้น้อยหรือคุณภาพต่ำ ส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำตาลได้น้อย เสียโอกาสทางการค้า จึงออกแบบโซลูชัน ‘แอปพลิเคชัน’ ที่ช่วยให้โรงงานสามารถติดตามการทำงานของเกษตรกรได้ ในขณะเดียวกันเกษตรกรก็จะสามารถรับเงินทุนสนับสนุนจากโรงงานผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นโซลูชันเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคนั้น ธนาคารต้องศึกษาและสังเกตจากประสบการณ์สถานที่จริงเพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ผ่านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เหมาะสม

และ 3. Data ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มมากมายที่นำเอาข้อมูลมาใช้พัฒนาบริการ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทยในด้านของการเกษตรให้ดีขึ้น เช่น การนำเอาข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาช่วยในการคาดการณ์การเพาะปลูก และพยากรณ์สภาพอากาศเพื่อให้เกษตรกรได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาพัฒนาโซลูชันแบบ Personalization หรือ แบบปัจเจกบุคคล ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างตรงจุด

ทั้งนี้ งาน “Financial Well-being Hackathon for Thais” จะจัดกิจกรรม “Hack Day” ขึ้นในวันที่ 29 - 30 ตุลาคมนี้ โดยมี 15 ทีมสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกมานำเสนอโซลูชันทางการเงินต่อคณะกรรมการ และจะประกาศผลรางวัลแก่ทีมผู้ชนะ เพื่อคว้ารางวัลรวมมูลค่ากว่า 280,000 บาท พร้อมกับโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโซลูชันกับทีเอ็มบีธนชาต รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://www.ttbbank.com/ttbfb-hackathon2022

วิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนของใครหลายคนที่มีสถานะทางการเงิน คุณภาพชีวิตด้านการเงินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click