

เมื่อเราเดินทางมาถึงยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจไม่ควรมองข้ามการนำนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงใจ ตรงจุด
finbiz by ttb จะพาไปดูว่า AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจ SME ได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร
1.การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
AI สามารถช่วยร้านค้า SME วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ ทำให้สามารถเสนอโปรโมชันหรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้ เช่น การใช้เครื่องมืออย่าง Google Trend ที่ SME สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาช่วยดูพฤติกรรมลูกค้าในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ช่วยให้เข้าใจว่าปัจจุบันลูกค้ากำลังค้นหาอะไร หรือการใช้ AI วิเคราะห์การยิงโฆษณา ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่คุ้มค่ากว่าการส่งออกโฆษณาโดยไม่มีการวิเคราะห์ซึ่งอาจไม่ตรงเป้าหมาย มีสถิติระบุว่า อัตราการคลิกผ่าน (CTR) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อใช้ AI ในแคมเปญโฆษณา และอัตราการแปลง (Conversion Rate) เพิ่มขึ้น 7.6%
2.การบริหารสต็อกสินค้า
ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มในการบริหารสต็อกสินค้าที่ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์จากหลายแบรนด์ให้เลือกใช้โดยสามารถช่วยคาดการณ์ยอดขายและจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาของขาดหรือของเหลือ โดย AI เหล่านี้สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย เชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ช่วยให้การสต็อกสินค้ามีความแม่นยำ ลดปัญหาสินค้าขาดสต็อกได้กว่า 90% ลดการสต็อกสินค้าเกินได้กว่าครึ่ง และช่วยลดเวลาการทำงานของมนุษย์
3. การบริการลูกค้าอัตโนมัติ AI Chatbot
เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ร้านค้าสามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การใช้ Google Dialogflow หรือ Chatbot ของ LINE OA ที่สามารถตอบคำถามอัตโนมัติและช่วยปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดย Chatbot จะมีความเหมือนมนุษย์มากกว่าการใช้ Auto Reply โดยการสร้าง Chatbot ผู้ใช้จะต้องออกแบบคาแรกเตอร์ของบอทตัวนั้น ๆ ด้วย Chatbot ที่มี AI หรือ NLP (Natural Language Processing เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ) สามารถเข้าใจภาษาได้มากกว่า Keyword เช่น ถ้าลูกค้าพิมพ์ “หวัดดี” Chatbot ก็สามารถเรียนรู้ได้ว่า คือ สวัสดี และสามารถโต้ตอบได้เหมือนที่มนุษย์ตอบกัน เพราะ AI มีการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง Machine Learning แตกต่างจากการทำโปรแกรมแบบเก่าที่ต้องคอยออกคำสั่ง มันจึงเรียนรู้ และฉลาดมากขึ้นได้
4. การทำการตลาดและโฆษณาแบบอัจฉริยะ
AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและเลือกยิงโฆษณาที่เหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ เช่น การใช้ฟีเจอร์ Smart Bidding ฟีเจอร์ที่มีให้บริการผ่าน Google Ads และใช้ข้อมูลจากเครื่องมือวัด Conversion ของ Google Ads เพื่อให้ได้รับ Conversion เพิ่มขึ้นโดยลดค่าใช้จ่ายลง ฟีเจอร์จะเก็บข้อมูลนี้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมูลเพื่อแสดงโฆษณาแต่ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการคลิกที่ไม่มีประโยชน์ หรือพวก Ad Targeting ในเฟซบุ๊กที่ช่วยเลือกกลุ่มเป้าหมายโฆษณาได้อย่างแม่นยำ การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและทำนายแนวโน้มยังช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ระบบแนะนำสินค้าอัจฉริยะ
AI สามารถเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าและแนะนำสินค้าที่เหมาะสม เช่น ร้านค้าออนไลน์สามารถใช้ Recommendations AI เพื่อช่วยแนะนำสินค้าบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง ยกตัวอย่าง Recommendation AI บน Google Cloud ที่ทำงานอย่างไร้รอยต่อกับ Marketing Platform ทำให้สามารถแนะนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น

นี่คือตัวอย่างในการใช้งาน AI ในธุรกิจ SME ที่มีทั้งแบบที่มีค่าใช้จ่าย และไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับธุรกิจ SME ที่มีหน้าร้าน และต้องการวิเคราะห์ข้อมูลที่หน้าร้านแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปหาแอปพลิเคชันเสริมเพิ่มเติม หรือไม่ต้องการใช้คนบันทึกข้อมูลให้ยุ่งยาก ก็สามารถเริ่มง่าย ๆ ด้วยการใช้ระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) ที่ร้านค้าต้องใช้กันอยู่แล้วในการสร้าง QR Code เพื่อรับชำระเงินจากทุกธนาคาร
เริ่มง่าย ๆ ด้วยระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop)
จากที่ปัจจุบันลูกค้าส่วนหนึ่งไม่พกเงินสด ร้านค้าจึงต้องพร้อมสำหรับการรับชำระเงินด้วยรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง QR Code ที่สามารถรับชำระเงินได้จากทุกธนาคาร แต่จะดีขึ้นไปอีกหากระบบนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูค้าได้อีกด้วย โดย ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) นอกจากจะสร้าง QR Code เพื่อรับชำระเงินง่าย สะดวก จากทุกธนาคาร ยังเป็นระบบที่ "รับไว รู้ลึก ธุรกิจปังปัง"
นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับธุรกิจ SME อีกต่อไป ด้วยเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีต้นทุนที่เข้าถึงได้ ทำให้ร้านค้าสามารถนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และยกระดับการให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครที่ยังไม่ได้เริ่มต้น ลองศึกษาและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
ในยุคปัจจุบันที่สภาพภูมิอากาศผันแปรอย่างรวดเร็ว อาจนำมาสู่การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ของสิ่งมีชีวิต ทุกภาคส่วนจึงต้องตื่นตัว รวมถึงภาคธุรกิจ หากตระหนักและใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญและช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนได้ finbiz by ttb จึงชวนผู้ประกอบการมาทำความเข้าใจและจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ให้ธุรกิจสามารถจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้องตรงจุด และเสริมภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร
การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
โลกได้เผชิญกับการสูญพันธุ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปะทุของภูเขาไฟที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และอีก 1 ครั้งจากการชนโลกของอุกกาบาตขนาดใหญ่ และในครั้งนี้ที่โลกกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ซึ่งจะมีอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 100-1,000 เท่า และมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของสภาพแวดล้อมเร็วกว่าการทำนายโดยสถิติที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็วด้วยอัตราความเร่งที่สูงกว่าอดีต ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะธรรมชาติ แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน ธุรกิจจึงต้องเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงและกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เมื่อความยั่งยืนของโลกคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ธุรกิจต้องให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในธุรกิจมากขึ้น ผลสำรวจจาก Nielsen ในปี 2023 พบว่า 73% ของผู้บริโภคทั่วโลกยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่มองว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “มาตรฐาน” เช่น การตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ลดการใช้พลาสติก หรือมีการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ อาจเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่นำเสนอมูลค่าด้านความยั่งยืนได้ดีกว่า
ความสมดุลระหว่าง ต้นทุน กำไร และความเสี่ยง คือหัวใจความยั่งยืนของธุรกิจ
การผสมผสานเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่ได้แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่ยังช่วยลดต้นทุนระยะยาว และรักษาสมดุลของต้นทุน กำไร และความเสี่ยง เช่น การใช้พลังงานทดแทนหรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม กลายเป็นความยั่งยืนทั้งของโลกและของธุรกิจ
ก๊าซเรือนกระจก 7 ชนิด ที่ธุรกิจต้องลดให้ได้
ก๊าซเรือนกระจกที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอุณหภูมิโลก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็น 74% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง มีเทน เกิดจากภาคเกษตรกรรมและการทิ้งขยะ ไนตรัสออกไซด์ มาจากปุ๋ยเคมีและการผลิตอุตสาหกรรม กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออไรคาร์บอน เกิดจากกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม และใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ อยู่ในกระบวนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ นำมาใช้เป็นฉนวนไฟฟ้าจากอุปกรณ์สวิตช์ไฟฟ้าแรงสูง หากธุรกิจสามารถวิเคราะห์และลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดใช้พลังงานที่มาจากฟอสซิล ก็จะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวได้
ก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตขององค์กร
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรสามารถแบ่งเป็น 3 Scope ที่สำคัญ ธุรกิจต้องทำความเข้าใจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ละ Scope จึงจะดูแลได้อย่างตรงจุด

คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องใส่ใจ
การจัดการคาร์บอนองค์กร เช่น การตั้งเป้า Net Zero หรือการพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ ไม่เพียงสร้างความยั่งยืนในสายตาของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนที่มองหาองค์กรที่มีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน บริษัทใหญ่หลาย ๆ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นให้เป็นศูนย์ภายในปีที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งของธุรกิจในตลาดโลก ธุรกิจที่ตื่นตัวและเร่งใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้นให้ผู้บริโภค แต่ยังช่วยปูทางสู่ความสำเร็จในอนาคตที่ยั่งยืนและเติบโตได้อย่างมั่นคง
ขั้นตอนสู่การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดขอบเขตองค์กร แบบควบคุมทางการเงินและควบคุมการดำเนินงาน หรือ แบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ และการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานตาม 3 Scope
ขั้นตอนที่ 2 การระบุกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในขอบเขตและ Value Chain ขององค์กร
ขั้นตอนที่ 3 การจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมและแหล่งที่มาของก๊าซเรือนกระจก
ขั้นตอนที่ 4 การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขั้นตอนที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมและค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อปรับปรุงคุณภาพข้อมูล การจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมตามความเกี่ยวข้องและนัยยะสำคัญขององค์กร
ขั้นตอนที่ 6 รายงานและทวนสอบ จัดทำรายงานเพื่อแสดงแหล่งที่มาและกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ 7 ขึ้นทะเบียน ผู้ตรวจสอบจะออกรายงานการทวนสอบ และถ้อยแถลงส่งมาที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะพิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์และออก Certificate เพื่อรับรองว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ในแต่ละ Scope
การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพื่อให้องค์กรรู้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริง และจัดการก๊าซเรือนกระจกได้ถูกต้องตรงจุด อันจะส่งผลระยะยาวกับความยั่งยืนของโลกและธุรกิจ ทั้งนี้ปัจจุบันมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่ธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างความยั่งยืนของโลกและให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจต้องพบเจอความท้าทายที่หลากหลาย และสิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญก็คือ การรักษาคนเก่งให้ทำงานด้วยไปนาน ๆ หรือการดึงดูดคนเก่งมาทำงานด้วย แน่นอนว่า พนักงานเก่ง ๆ ย่อมอยากร่วมงานกับองค์กรที่เป็น “งานที่มั่นคง” ซึ่งในยุคก่อนหมายถึง การทำงานกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ธนาคาร หรือ บริษัทเอกชนข้ามชาติ บริษัทที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันมีบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือแม้แต่บริษัทแบบ Start up ที่มีพนักงานไม่ถึง 50 คน เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้น บริษัทเหล่านี้จะทำอย่างไรที่ทำให้คนเก่งรู้สึกว่าเป็นองค์กรที่มั่นคง อยากเข้ามาร่วมงานด้วย
finbiz by ttb จึงขอนำเสนอแนวคิดและเคล็ดวิธี สำหรับ SME เพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรที่มั่นคง ตอบโจทย์คนเก่ง ดึงดูดให้อยากมาร่วมงานและอยู่ไปนาน ๆ ซึ่ง SME ทำได้ไม่เกินกว่าความสามารถ เพื่อให้ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้
ความมั่นคง ในยุคปัจจุบัน คืออะไร
จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า สิ่งที่คนในยุคปัจจุบันมองคือ ความยาวนาน ไม่ได้เท่ากับความมั่นคง หรือดึงดูดอีกต่อไป แต่ความมั่นคง สร้างความน่าเชื่อใจ และดึงดูด ในมุมมองของคนยุคปัจจุบัน ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1) องค์กรที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และสามารถสนับสนุนให้พนักงานสามารถปรับตัวได้ทัน เพื่อลดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือกะทันหัน เช่น การลาออก หรือ การไล่ออก
2) มีการสื่อสารในองค์กรแบบ 360 องศา ทั้งจากผู้บริหารถึงพนักงาน และจากพนักงานถึงผู้บริหาร โดยมีการรับฟัง และพยายามทำความเข้าใจ ในหลากหลายช่องทาง
3) สามารถทำให้พนักงานมองเห็นเส้นทางอาชีพ หรือ การเติบโตในอนาคตของตัวเองในองค์กรได้
4) องค์กรที่พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีการพัฒนาที่ดี สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของพนักงานออกมาได้
5) องค์กรสามารถให้เงินเดือนที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ รวมไปถึงสวัสดิการ การดูแลสุขภาพด้านต่าง ๆ และให้การดูแลพนักงานตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด
จากทั้งหมด 5 ข้อนี้ พบว่ามิติของความมั่นคง ได้เปลี่ยนไปจากความมั่นคงขององค์กร ไปสู่การสร้างเสริมความมั่นใจในการดำรงชีวิตให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นทั้งสิ่งที่ “พนักงานอยากได้” และองค์กรก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน และเมื่อสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ จะมี “บุคลากรที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มใจมอบแรงกายใจมันสมอง เพื่อพัฒนา สร้างผลงาน ยอดขาย รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร” ถึงแม้จะองค์กรไม่ได้ใหญ่โตมากก็ตาม
SME มั่นคง เพราะ พนักงานมั่นใจ
การจะเป็นองค์กรที่พนักงานให้ความไว้วางใจ และร่วมงานกันอย่างมั่นใจนั้น ไม่ยากอย่างที่คิด
1) หมั่นสื่อสารกับพนักงานอยู่เสมอ เช่น การประกาศผลประกอบการเป็นระยะ เพื่อให้พนักงานเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ หากผลประกอบการดี พนักงานย่อมเกิดกำลังใจ หรือหากผลประกอบการไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จะต้องสามารถบอกสาเหตุได้ พนักงานจะได้เข้าใจ และเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
2) เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็น มีช่องทางในการแสดงความคิด วิธีนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนสำคัญขององค์การ สร้างความผูกพันระหว่างพนักงานและองค์กร สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรร่วมกัน และยังเป็นโอกาสได้แนวคิดในการพัฒนาองค์กร
3) จัดการอบรมพัฒนาทักษะให้พนักงาน นอกจากจะช่วยพัฒนาฝีมือ ความคิดของพนักงานแล้ว ยังสามารถมาหักเป็นค่าใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ด้านภาษีได้อีกด้วย
4) ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมถึงหาตัวช่วยในการพัฒนาสวัสดิการที่ดีให้กับพนักงาน เช่น ประกันกลุ่ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น
5) เป็น SME ที่มีสวัสดิการดี มั่นคง มั่นใจ ทั้งสำหรับองค์กรและพนักงาน แต่เมื่อพูดถึงสวัสดิการที่ดีสำหรับ SME ส่วนใหญ่แล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย มักจะต้องมีพนักงานจำนวนไม่ต่ำกว่า 50 คน จึงจะมีโอกาสต่อรอง เพื่อให้ได้สวัสดิการ เช่น ประกันกลุ่ม หรือจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดี ๆ ให้กับพนักงานได้
อย่างไรก็ตาม มีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสร้างให้ SME มีสวัสดิการที่ดีได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งพนักงานและองค์กรเองด้วย ได้แก่
ประกันกลุ่ม Group Insurance ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มารองรับองค์กร ที่มีพนักงานเริ่มต้นเพียง 5 คน และยังสามารถจ่ายเบี้ยแบบแบ่งเป็นรายเดือนได้อีกด้วย

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Provident Fund เริ่มต้นเพียง 2 คน ก็สามารถจัดตั้งกองทุนได้แล้ว และไม่กำหนดขั้นต่ำของจำนวนเงินนำส่งเข้ากองทุน อีกทั้งฟรีค่าธรรมเนียมจัดตั้งกองทุน

การหาตัวช่วยดี ๆ จะช่วยให้ SME สามารถเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคง มั่นใจในการดำรงชีวิต ดึงดูดพนักงานเก่ง ๆ ได้ไม่ยากอีกต่อไป โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มีบริการ ttb payroll plus ที่แม้บริษัทจะไม่ได้มีพนักงานมากมายนัก ก็สามารถใช้บริการได้ทั้งบริหารจัดการเงินเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดูแลสวัสดิการพนักงานให้องค์กร แบบครบวงจร และประหยัดต้นทุนได้ด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://www.ttbbank.com/th/sme/sme-digital-banking-and-other-services/sme-payroll/ttb-payroll-plus