January 10, 2025

ในยุคปัจจุบันที่สภาพภูมิอากาศผันแปรอย่างรวดเร็ว อาจนำมาสู่การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ของสิ่งมีชีวิต ทุกภาคส่วนจึงต้องตื่นตัว รวมถึงภาคธุรกิจ หากตระหนักและใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญและช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนได้ finbiz by ttb จึงชวนผู้ประกอบการมาทำความเข้าใจและจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ให้ธุรกิจสามารถจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้องตรงจุด และเสริมภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร

การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

โลกได้เผชิญกับการสูญพันธุ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปะทุของภูเขาไฟที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และอีก 1 ครั้งจากการชนโลกของอุกกาบาตขนาดใหญ่ และในครั้งนี้ที่โลกกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ซึ่งจะมีอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 100-1,000 เท่า และมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของสภาพแวดล้อมเร็วกว่าการทำนายโดยสถิติที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็วด้วยอัตราความเร่งที่สูงกว่าอดีต ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะธรรมชาติ แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน ธุรกิจจึงต้องเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงและกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เมื่อความยั่งยืนของโลกคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

อีกหนึ่งปัจจัยที่ธุรกิจต้องให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในธุรกิจมากขึ้น ผลสำรวจจาก Nielsen ในปี 2023 พบว่า 73% ของผู้บริโภคทั่วโลกยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่มองว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “มาตรฐาน” เช่น การตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ลดการใช้พลาสติก หรือมีการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ อาจเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่นำเสนอมูลค่าด้านความยั่งยืนได้ดีกว่า

ความสมดุลระหว่าง ต้นทุน กำไร และความเสี่ยง คือหัวใจความยั่งยืนของธุรกิจ

การผสมผสานเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่ได้แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่ยังช่วยลดต้นทุนระยะยาว และรักษาสมดุลของต้นทุน กำไร และความเสี่ยง เช่น การใช้พลังงานทดแทนหรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม กลายเป็นความยั่งยืนทั้งของโลกและของธุรกิจ

ก๊าซเรือนกระจก 7 ชนิด ที่ธุรกิจต้องลดให้ได้

ก๊าซเรือนกระจกที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอุณหภูมิโลก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็น 74% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง มีเทน เกิดจากภาคเกษตรกรรมและการทิ้งขยะ ไนตรัสออกไซด์ มาจากปุ๋ยเคมีและการผลิตอุตสาหกรรม กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออไรคาร์บอน เกิดจากกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม และใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ อยู่ในกระบวนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ นำมาใช้เป็นฉนวนไฟฟ้าจากอุปกรณ์สวิตช์ไฟฟ้าแรงสูง หากธุรกิจสามารถวิเคราะห์และลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดใช้พลังงานที่มาจากฟอสซิล ก็จะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวได้

ก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตขององค์กร

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรสามารถแบ่งเป็น 3 Scope ที่สำคัญ ธุรกิจต้องทำความเข้าใจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ละ Scope จึงจะดูแลได้อย่างตรงจุด

  • Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมของธุรกิจเอง เห็นได้ง่าย ๆ คือ มีควันออกมาจากปล่อง มีการรั่วออกมาโดยตรง
  • Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่ถูกซื้อมา การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน ที่องค์กรของเราซื้อหรือนำเข้ามาโดยที่องค์กรไม่ได้ผลิตเอง มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น และ อากาศอัด
  • Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ เช่น จากซัพพลายเชนของธุรกิจ

 

คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องใส่ใจ

การจัดการคาร์บอนองค์กร เช่น การตั้งเป้า Net Zero หรือการพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ ไม่เพียงสร้างความยั่งยืนในสายตาของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนที่มองหาองค์กรที่มีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน บริษัทใหญ่หลาย ๆ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นให้เป็นศูนย์ภายในปีที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งของธุรกิจในตลาดโลก ธุรกิจที่ตื่นตัวและเร่งใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้นให้ผู้บริโภค แต่ยังช่วยปูทางสู่ความสำเร็จในอนาคตที่ยั่งยืนและเติบโตได้อย่างมั่นคง

ขั้นตอนสู่การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร

ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดขอบเขตองค์กร แบบควบคุมทางการเงินและควบคุมการดำเนินงาน หรือ แบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ และการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานตาม 3 Scope

ขั้นตอนที่ 2 การระบุกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในขอบเขตและ Value Chain ขององค์กร

ขั้นตอนที่ 3 การจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมและแหล่งที่มาของก๊าซเรือนกระจก

ขั้นตอนที่ 4 การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขั้นตอนที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมและค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อปรับปรุงคุณภาพข้อมูล การจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมตามความเกี่ยวข้องและนัยยะสำคัญขององค์กร

ขั้นตอนที่ 6 รายงานและทวนสอบ จัดทำรายงานเพื่อแสดงแหล่งที่มาและกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนที่ 7 ขึ้นทะเบียน ผู้ตรวจสอบจะออกรายงานการทวนสอบ และถ้อยแถลงส่งมาที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะพิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์และออก Certificate เพื่อรับรองว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ในแต่ละ Scope

การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพื่อให้องค์กรรู้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริง และจัดการก๊าซเรือนกระจกได้ถูกต้องตรงจุด อันจะส่งผลระยะยาวกับความยั่งยืนของโลกและธุรกิจ ทั้งนี้ปัจจุบันมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่ธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างความยั่งยืนของโลกและให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจต้องพบเจอความท้าทายที่หลากหลาย และสิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญก็คือ การรักษาคนเก่งให้ทำงานด้วยไปนาน ๆ หรือการดึงดูดคนเก่งมาทำงานด้วย  แน่นอนว่า พนักงานเก่ง ๆ ย่อมอยากร่วมงานกับองค์กรที่เป็น “งานที่มั่นคง” ซึ่งในยุคก่อนหมายถึง การทำงานกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ธนาคาร หรือ บริษัทเอกชนข้ามชาติ บริษัทที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันมีบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือแม้แต่บริษัทแบบ Start up ที่มีพนักงานไม่ถึง 50 คน เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้น บริษัทเหล่านี้จะทำอย่างไรที่ทำให้คนเก่งรู้สึกว่าเป็นองค์กรที่มั่นคง อยากเข้ามาร่วมงานด้วย 

finbiz by ttb จึงขอนำเสนอแนวคิดและเคล็ดวิธี สำหรับ SME เพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรที่มั่นคง ตอบโจทย์คนเก่ง ดึงดูดให้อยากมาร่วมงานและอยู่ไปนาน ๆ ซึ่ง SME ทำได้ไม่เกินกว่าความสามารถ เพื่อให้ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้

ความมั่นคง ในยุคปัจจุบัน คืออะไร

จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า สิ่งที่คนในยุคปัจจุบันมองคือ ความยาวนาน ไม่ได้เท่ากับความมั่นคง หรือดึงดูดอีกต่อไป แต่ความมั่นคง สร้างความน่าเชื่อใจ และดึงดูด ในมุมมองของคนยุคปัจจุบัน ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ  ดังนี้

1) องค์กรที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และสามารถสนับสนุนให้พนักงานสามารถปรับตัวได้ทัน เพื่อลดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือกะทันหัน เช่น การลาออก หรือ การไล่ออก

2) มีการสื่อสารในองค์กรแบบ 360 องศา ทั้งจากผู้บริหารถึงพนักงาน และจากพนักงานถึงผู้บริหาร โดยมีการรับฟัง และพยายามทำความเข้าใจ ในหลากหลายช่องทาง

3) สามารถทำให้พนักงานมองเห็นเส้นทางอาชีพ หรือ การเติบโตในอนาคตของตัวเองในองค์กรได้

4) องค์กรที่พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีการพัฒนาที่ดี สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของพนักงานออกมาได้

5) องค์กรสามารถให้เงินเดือนที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ รวมไปถึงสวัสดิการ การดูแลสุขภาพด้านต่าง ๆ และให้การดูแลพนักงานตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด

จากทั้งหมด 5 ข้อนี้ พบว่ามิติของความมั่นคง ได้เปลี่ยนไปจากความมั่นคงขององค์กร ไปสู่การสร้างเสริมความมั่นใจในการดำรงชีวิตให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นทั้งสิ่งที่ “พนักงานอยากได้” และองค์กรก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน และเมื่อสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ จะมี “บุคลากรที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มใจมอบแรงกายใจมันสมอง เพื่อพัฒนา สร้างผลงาน ยอดขาย รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร” ถึงแม้จะองค์กรไม่ได้ใหญ่โตมากก็ตาม

SME มั่นคง เพราะ พนักงานมั่นใจ

การจะเป็นองค์กรที่พนักงานให้ความไว้วางใจ และร่วมงานกันอย่างมั่นใจนั้น ไม่ยากอย่างที่คิด

1) หมั่นสื่อสารกับพนักงานอยู่เสมอ เช่น การประกาศผลประกอบการเป็นระยะ เพื่อให้พนักงานเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ หากผลประกอบการดี พนักงานย่อมเกิดกำลังใจ หรือหากผลประกอบการไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จะต้องสามารถบอกสาเหตุได้ พนักงานจะได้เข้าใจ และเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้

2) เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็น มีช่องทางในการแสดงความคิด วิธีนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนสำคัญขององค์การ สร้างความผูกพันระหว่างพนักงานและองค์กร สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรร่วมกัน และยังเป็นโอกาสได้แนวคิดในการพัฒนาองค์กร

3) จัดการอบรมพัฒนาทักษะให้พนักงาน นอกจากจะช่วยพัฒนาฝีมือ ความคิดของพนักงานแล้ว ยังสามารถมาหักเป็นค่าใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ด้านภาษีได้อีกด้วย

4) ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมถึงหาตัวช่วยในการพัฒนาสวัสดิการที่ดีให้กับพนักงาน เช่น ประกันกลุ่ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

5) เป็น SME ที่มีสวัสดิการดี มั่นคง มั่นใจ ทั้งสำหรับองค์กรและพนักงาน แต่เมื่อพูดถึงสวัสดิการที่ดีสำหรับ SME ส่วนใหญ่แล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย มักจะต้องมีพนักงานจำนวนไม่ต่ำกว่า 50 คน จึงจะมีโอกาสต่อรอง เพื่อให้ได้สวัสดิการ เช่น ประกันกลุ่ม หรือจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดี ๆ ให้กับพนักงานได้

อย่างไรก็ตาม มีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสร้างให้ SME มีสวัสดิการที่ดีได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งพนักงานและองค์กรเองด้วย ได้แก่

ประกันกลุ่ม Group Insurance ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มารองรับองค์กร ที่มีพนักงานเริ่มต้นเพียง 5 คน และยังสามารถจ่ายเบี้ยแบบแบ่งเป็นรายเดือนได้อีกด้วย

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Provident Fund เริ่มต้นเพียง 2 คน ก็สามารถจัดตั้งกองทุนได้แล้ว และไม่กำหนดขั้นต่ำของจำนวนเงินนำส่งเข้ากองทุน อีกทั้งฟรีค่าธรรมเนียมจัดตั้งกองทุน

การหาตัวช่วยดี ๆ จะช่วยให้ SME สามารถเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคง มั่นใจในการดำรงชีวิต ดึงดูดพนักงานเก่ง ๆ ได้ไม่ยากอีกต่อไป โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มีบริการ ttb payroll plus ที่แม้บริษัทจะไม่ได้มีพนักงานมากมายนัก ก็สามารถใช้บริการได้ทั้งบริหารจัดการเงินเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดูแลสวัสดิการพนักงานให้องค์กร แบบครบวงจร และประหยัดต้นทุนได้ด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://www.ttbbank.com/th/sme/sme-digital-banking-and-other-services/sme-payroll/ttb-payroll-plus

X

Right Click

No right click