December 05, 2025

SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย

"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว

SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก

เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก

เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ

การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว

สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้

หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777

SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และตลาดหุ้นไทย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC, SCB Finance Market, SCB CIO และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ลูกค้าได้รับทราบอย่างทันท่วงทีภายหลังการประกาศผลการประชุมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%ต่อปี พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดย SCB EIC มอง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจเริ่มสอดคล้องภาคเอกชน คาดว่ายังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้าน SCB Finance Market ประเมินเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น และกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายปีที่ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทย แต่ยังไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แม้หากถูกปรับลดในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade ด้าน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. แต่อาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีเท่ากับภูมิภาค ขณะที่ กองทุนThai EGSX จะช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้ ส่วน SCB CIO เผย ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมสนับสนุนการขาย 4 กองทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์ IPO 2 – 8 พ.ค. นี้ หลังจากนั้นจะเปิดขายพร้อมรับสับเปลี่ยน LTF หลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC เปิดเผยว่า จากผลการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.00% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี สะท้อนว่า กนง. เริ่มมีมุมมองเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเริ่มมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากมุมมองเดิมหลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีนำเข้า และ กนง. ได้ประเมินมุมมองเศรษฐกิจไทยออกมาเป็นฉากทัศน์อ้างอิง (Reference Scenario) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.0% ในปีนี้ และ 1.8% ในปี 2569 และฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Scenario) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.3% ในปีนี้ และ 1.0% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ด้วย นอกจากนี้ กนง. ยังกล่าวถึงภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว ดูจากสินเชื่อที่หดตัวและ NPL ที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ มุมมองต่อเศรษฐกิจของ SCB EIC และ กนง. ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุมมองล่าสุด SCB EIC ณ เดือน เม.ย. มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 1.5% ในกรณีฐาน บนสมมติฐานที่ว่า ไทยจะต่อรองลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ได้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้สหรัฐฯ จะชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปชั่วคราว 90 วัน ผลกดดันต่อการส่งออกไทยจะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งหลัง แต่สำหรับความเชื่อมั่นในการลงทุนของธุรกิจไทยน่าจะถูกกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้แล้ว ผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้มองว่าการลงทุนเอกชนปีนี้จะยังไม่ฟื้นจากที่เคยหดตัวในปีที่แล้ว ภาคการท่องเที่ยวเองก็อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากอย่างที่เคยคาดไว้ หากดูทิศทางเศรษฐกิจรายไตรมาสจะเห็นว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงเรื่อยๆ จากไตรมาสแรกที่จะยังเห็นเติบโตได้ 3% ไตรมาส 2 จะขยายตัวลดลงเหลือ 2.2% และลดลงเหลือเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 4

SCB EIC จึงยังคงมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามเดิม โดยมองว่า จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 อย่างละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่องไปปีหน้า และความไม่แน่นอนยังสูงมาก หลังจากนี้คงต้องอยู่ที่ภาครัฐว่าจะเจรจาต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ภาคธุรกิจและประชาชนจะเตรียมปรับตัวจากสถานการณ์ข้างหน้าที่มองเห็นแบบนี้อย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาระทางการเงินลูกหนี้และช่วยดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนภาครัฐอาจอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกทาง

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการประชุม กนง. ที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี และ 10 ปี ทรงตัว ส่วนประเด็นที่ Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทยนั้น เนื่องจากเป็นเพียงการปรับมุมมอง แต่ยังไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยังอยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตขั้นต่ำของระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ดังนั้น แม้จะถูกปรับลดลงในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade จึงยังไม่เห็นความเสี่ยงของการเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยออกมา

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า ในระยะสั้น ไตรมาสที่ 2 ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้ โดยอยู่ในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า ที่สหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้นภาษีตอบโต้บางส่วน หลังผ่านช่วงเวลา 90 วัน ที่ชะลอการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งจะทำให้เงินเอเชีย รวมถึงเงินบาทอาจอ่อนค่า โดยที่ธนาคารกลางต่างๆ อาจยอมให้ค่าเงินอ่อนค่าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจกลับมาแข็งค่าบ้าง นอกจากนี้ยังมาจาก เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีนี้ รวมทั้งเป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่บริษัทข้ามชาติจะส่งเงินกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ (Dividend payout) รวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง

สำหรับระยะยาว คาดว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ โดยมอบกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.50-33.50 บาท ในช่วงสิ้นปี 2568 เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง มีการนำเงินออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่สกุลเงินหลักอื่น เช่น เงินยูโร เยน และสวิสฟรังก์ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินยูโร มีแนวโน้มแข็งค่า จากเงินทุนไหลกลับเข้ายุโรป ส่วนเงินเยน อาจแข็งค่าขึ้นต่อตามการขึ้นดอกเบี้ยและกลุ่มประกันที่นำเงินกลับเข้าญี่ปุ่น

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า โดยปกติตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองได้ดีกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไป 0.25% จะให้ประโยชน์ 1.3% ของกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 20-25 จุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะตลาดหมี ดังนั้น จึงอาจปรับขึ้นได้ในช่วงสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับในภูมิภาค ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และขนส่ง

ส่วนกรณีการปรับลดมุมมองเครดิตของไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบระยะยาว โดยในปี 2565 ไทยก็เคยถูกปรับลดเครดิตของกลุ่มธนาคารมาแล้ว เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการปรับลดมุมมองเครดิตทั้งหมด สะท้อนถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP และอัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อรายได้ ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับที่เคยมีอยู่ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเรื่องการเปิดให้ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai EGSX) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้

นายสรรค์ชัย สกุลสุรเอกพงศ์ ผู้จัดการ Investment Product Selection and Partnership, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB WEALTH พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนการจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ผ่านสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ประกอบด้วย

1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBT70X) มีความเสี่ยงระดับ 5 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พื้นฐานดี ไม่เกิน 70% และตราสารหนี้ที่เด่น ESG 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAPX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พร้อมกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงไม่เกิน 20% 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนไม่น้อยกว่า 80% และใช้กลยุทธ์คัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุน เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ 4) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTS100X) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 100 บริษัทที่คำนวณอยู่ในดัชนี SET100FF ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นเงินลงทุนใหม่ โดยสามารถลงทุนได้ในช่วง IPO และหลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ส่วนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุน 5 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน

ส่วนที่สอง สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีหน่วยลงทุนอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน Thai ESGX และไม่ได้ดำเนินการสับเปลี่ยนหรือขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ นับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา ส่วนนี้สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทุกหน่วยลงทุน จากทุก บลจ. มายังกองทุน Thai ESGX ได้ นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะเริ่มรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568 โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสัดส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างปี 2569-2572 สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท

สำหรับ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF มายัง Thai EGSX จะช่วยให้นักลงทุนได้ต่อยอดสิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนใหม่ ทำให้ไม่ต้องรีบขายขาดทุนหน่วยลงทุน LTF ที่ขาดทุนอยู่ ขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนใน Thai ESGX เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นการลงทุนในบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ด้วย

เมื่อนับรวมวงเงินสำหรับการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ หากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนครบทุกรูปแบบ จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมสูงสุดที่ 1,400,000 บาท แบ่งเป็น กองทุนรวม Thai ESGX ส่วนเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 300,0000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน, Thai ESGX ส่วนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF สูงสุด 300,000 บาท, กองทุนรวม Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และ การลงทุนเพื่อการเกษียณรวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันบำนาญ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด

 

คำเตือน

· เอกสารนี้จัดทำขึ้นโดย SCB CIO ณ วันที่ 2 พ.ค. 2568 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง

· กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้

· โปรดศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดโครงการของกองทุนรวม Thai ESGX และคู่มือภาษีจากบริษัทจัดการลงทุน และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนดต่อไป

· เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด

· เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด

· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

หลังจากที่ SCB WEALTH ร่วมจับมือกับ BlackRock พันธมิตรผู้นำระดับโลกด้านการจัดการสินทรัพย์ เร่งคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับนักลงทุนไทยในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว เพื่อให้เงินทำงานอย่างแท้จริงด้วยการลงทุนแบบ Multi-Asset โดยธนาคารขอนำเสนอกองทุน SCBGMCORE ซึ่งจัดตั้งโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ เสนอขายครั้งแรก(IPO) ระหว่างวันที่ 2 – 9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่าน SCB Easy ได้ กองทุนนี้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการเงินลงทุนของ BlackRock นโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETFในสัดส่วน75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต มีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ กองทุนบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ กองทุนมีกระบวนการควบคุมความผันผวน ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ มีแนวโน้ม สร้างความท้าทายให้กับโลกการลงทุนในปี 2568 และส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆ มีความผันผวนสูงขึ้น ซึ่งการจัดพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิม ที่แบ่งสัดส่วนเงิน 60% ลงทุนในหุ้น และ40% ลงทุนในตราสารหนี้ อาจจะไม่เพียงพอรับมือกับความผันผวน จึงแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุมความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้ดีขึ้น

จากที่ SCB WEALTH ได้ประกาศความร่วมมือกับ BlackRock ในการพัฒนาโซลูชันการลงทุนให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่มีคุณภาพ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเสนอกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio หรือ SCBGMCORE ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBAM) เป็นผู้จัดตั้งกองทุน เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่านแอป SCB Easy ในพอร์ตลงทุนของผลิตภัณฑ์นี้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ แบบที่ไม่เคยมีการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพการลงทุนในทุกสภาวะ ด้วยกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก

กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REITs)และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งการปรับส่วนลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF)โดยจัดเป็น Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75%กระจายการลงทุนผ่าน ETF จะมีสภาพคล่องสูง รองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว ลงทุนได้มากกว่า10 สินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ REITและTIPs เป็นต้น จะกระจายการลงทุนในกว่า100 ประเทศทั่วโลก กองทุนมีแนวทางการบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับพอร์ตได้อย่างทันท่วงที ทันตามภาวะตลาด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงลึกของทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ในการกำหนดปัจจัยและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูง(Liquid Alternative)อีก25% ในกองทุนเรือธง (Flagship) ของ BlackRock ที่เป็นกลยุทธ์แบบ Absolute Return มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นโลกและตราสารหนี้ที่ต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงลดความผันผวนให้กับพอร์ตลงทุนและมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอได้ นอกจากนี้ กองทุนจะมีกระบวนการควบคุมความผันผวน (Volatility Control process) ทั้งในสภาวะตลาดปกติ และในสภาวะตลาดมีความผันผวนสูง

กองทุน SCBGMCORE เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Multi-Asset บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุน จาก BlackRock ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มากกว่า 500 คน การจัดพอร์ตโฟลิโอจะมุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ BlackRock ให้การสนับสนุนด้านการวิจัยการลงทุนและข้อมูลเชิงลึกให้กับ SCB WEALTH เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ Multi- Asset

“SCB WEALTH มีความตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ลูกค้าคนไทยประสบความสำเร็จกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ขณะที่ BlackRock มีมุมมองการลงทุนระดับโลก ซึ่งเรามีแนวทางตรงกันในการบริหารพอร์ตลงทุน ภายใต้จุดสมดุลระหว่างการเติบโตและการควบคุมความเสี่ยง รวมทั้งการเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า กองทุน SCBGMCORE จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างความยั่งยืนให้กับพอร์ตลงทุนของลูกค้าในระยะยาวได้ ขณะที่ การจัดสรรสินทรัพย์แบบ Multi-Asset โดยมี Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75% และ Liquid Alternative อีก25% เป็นโซลูชันที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ ยังไม่เคยมีการเปิดตัวการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน” นายศรชัย กล่าว

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP และหยุดการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (กองทุนรวม LPF) ชั่วคราวเพื่อเตรียมการแปลงสภาพเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ (กองทรัสต์ AXTRART) โดยกำหนดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันปิดสมุดทะเบียน เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LPF กับหน่วยทรัสต์ AXTRART (XO-Swap) และวันหยุดทำการซื้อขาย (SP) ของหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ตั้งแต่ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จะสิ้นสภาพการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) โดยวันสุดท้ายที่หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการแลกเปลี่ยนหน่วยลงทุนและโอนทรัพย์สินและภาระในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยกองทรัสต์ AXTRART จะรับโอนทรัพย์สินและภาระ รวมถึงสิทธิ หน้าที่ และความผูกพันตามสัญญาต่าง ๆ ของกองทุนรวม LPF โดยมีจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายทั้งสิ้น 2,337,282,928 หน่วย และสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน LPF เดิม หากมีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน (ก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567) หน่วยลงทุนจะถูกแปลงสภาพเป็นหน่วยทรัสต์ AXTRART โดยอัตโนมัติ ในอัตราสับเปลี่ยน 1 หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART ต่อ 1 หน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF (“Swap Ratio”) โดยคาดว่าจะมีการเพิกถอนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LPF จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้จัดการกองทรัสต์ดำเนินการให้หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AXTRART เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2567

นายสานต่อ มุทธสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ รีท จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ AXTRART กล่าวว่า “การแปลงสภาพเป็นกองทรัสต์ AXTRART ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจและนักลงทุน โดย AXTRART เป็นกองทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแปลงสภาพของกองทุนรวม LPF ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการให้นักลงทุนเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจอย่างมั่นคง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจากกองทุนรวม LPF เดิม ผสานกับข้อได้เปรียบของกองทรัสต์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

· เพิ่มศักยภาพการลงทุน: สามารถระดมทุนเพิ่ม เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ขยายพอร์ตลงทุนให้ใหญ่ขึ้น กระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น

· เพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน: สามารถกู้ยืมเงินได้สูงสุดถึง 35% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม และสูงสุดถึง 60% หากได้รับ Credit Rating ระดับ Investment Grade ในขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถกู้ยืมได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เท่านั้น

· เปิดโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ: ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดเดียว พร้อมเปิดรับโอกาสเติบโตและผลตอบแทนที่สูงขึ้นในตลาดที่มีศักยภาพ

“ยิ่งไปกว่านั้น กองทรัสต์ยังเป็นรูปแบบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล มีกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลที่เข้มงวด ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีมูลค่าที่มั่นคง และได้รับการดูแลโดยผู้จัดการกองทรัสต์ที่มีความเชี่ยวชาญ การลงทุนในกองทรัสต์จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว” นายสานต่อ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ ภายหลังการแปลงสภาพจากกองทุนรวมเป็นกองทรัสต์แล้วเสร็จ คาดว่ากองทรัสต์ AXTRART จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในเดือนธันวาคม 2567 นี้

SCB  WEALTH  เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ  หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย  กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  สุเนต์ตา , CFA  รองผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB WEALTH  ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา  และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay  แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย  เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน 

SCB WEALTH  ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture  ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก  Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย  รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน    ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้  ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด  ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว  ในระหว่างวันที่ 14 - 28   สิงหาคม  2567  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท   

กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี  คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 

สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5  วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้  คือ  ภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.60 บาทต่อหน่วย  

อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ  และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท   ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด  สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.20 บาทต่อหน่วย  โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า  10.82   ติดต่อกัน 3  วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  แต่หากหลังครบระยะเวลา 8  เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน  ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว  2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค  หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น   3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์  โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน  พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย  

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus   ณ วันที่   30 กรกฎาคม  2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ  

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click