November 08, 2024

สานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus พร้อมเดินหน้าผลักดันมาบตาพุดสู่การเป็น Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายรังสรรค์ เพ็งพันธ์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานธรณีศาสตร์และการสำรวจ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และ ผศ.ดร.ธัชวีร์ ลีละวัฒน์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและวิทยาเขตกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect เพื่อพัฒนางานวิจัยทางวิชาการด้านธรณีศาสตร์ วิศวกรรมปิโตรเลียม สร้างบุคลากรด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงการหาแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย สู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พิธีลงนามจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect ปตท.สผ. ได้ลงนามความร่วมมือกับหลายสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีเป้าหมายจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อไป

นายวิศน สุนทราจารย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ร่วมแบ่งปันมุมมองเรื่อง ESG และการลงมือทำสู่ผลสำเร็จ ผ่านเวที เสวนา CREATIVE TALK CONFERENCE FORECAST 2024 รู้ก่อน เริ่มก่อน เปลี่ยนแปลงก่อน ในหัวข้อ ESG FORECAST ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น 7 ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน เพื่อตอกย้ำแนวคิดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) ที่การดำเนินธุรกิจต้องคำนึงเรื่องของ ESG ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งไม่ควรเป็นเพียงแนวคิดของธุรกิจ แต่ต้องลงมือทำทันที

นายวิศน เปิดเผยว่า จากภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นโลกเดือด (Global Boiling) ทำให้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นใหญ่ของปี 2024 เนื่องจากชีวิตของผู้คนกำลังได้รับผลกระทบมากขึ้น ทั้งทางด้านสุขภาพ ภัยธรรมชาติ และความมั่นคงทางด้านอาหาร เป็นต้น รวมทั้งความเหลื่อมล้ำที่จะยิ่งขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

OR มีวิสัยทัศน์และแนวคิดในการสร้างความยั่งยืน และให้ความสำคัญต่อแนวคิด ESG ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอดส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา OR ได้รับคัดเลือกจาก S&P Global ให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Retailing) โดย OR ได้นำแนวคิด ESG มาเป็นกรอบการบริหารจัดการที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมผ่านแนวทาง OR SDG หรือ SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อช่วยในการขับเคลื่อน ทั้ง 3 มิติ ประกอบด้วย SMALL มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก DIVERSIFIED เน้นสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตในทุกรูปแบบผ่านแฟลตฟอร์มต่าง ๆ ของ OR และ GREEN ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ  

 

“จากวิสัยทัศน์ Empowering All toward Inclusive Growth หรือเติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน วันนี้ OR ได้เติม ”In Action” หรือการลงมือทำเข้าไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าเรามี Action เยอะมาก โดย OR มีความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่ที่ OR มีสถานประกอบการตั้งอยู่ เช่น คลังน้ำมันของ OR ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และสำหรับสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และคาเฟ่ อเมซอน ซึ่ง 80% มีเจ้าของเป็นเอสเอ็มอี และมีส่วนที่ดำเนินการโดย OR เพียง 20% เท่านั้น เราต้องการเปิดโอกาสให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน มีอะไรก็แชร์กัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เราใช้มาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ เพราะเรามองว่านี่คือ License to Operate ซึ่งเป็นมุมมองที่ OR ทำมานาน และจากวิสัยทัศน์ รวมทั้งเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป เราจึงทำให้มีความเป็นรูปธรรมและทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น”

นายวิศน เล่าว่า OR ตระหนักถึงความสำคัญของภาคธุรกิจในการเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม โดยได้ดำเนินการผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น การรับซื้อเมล็ดกาแฟจากโครงการหลวงต่าง ๆ ที่เข้าไปส่งเสริมการปลูกกาแฟให้กับเกษตรกร โดย OR มุ่งมั่นที่จะเข้าไปช่วยส่งเสริมเกษตรกรให้มีการปลูกกาแฟอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้มีผลผลิตมากขึ้น นอกจากทำให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงแล้ว ยังทำให้คนไม่ทิ้งบ้านและครอบครัวไปทำงานในเมืองใหญ่ สร้างเกราะป้องกันด้วยสังคมที่อบอุ่น รวมถึงลดปัญหาความเหลื่อมล้ำอีกด้วย  

 

นอกจากนี้ OR ยังสามารถเป็นแพลตฟอร์มที่จะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี หรือคนตัวเล็กเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยมีทั้งแพลตฟอร์มทางกายภาพ (physical platform) คือสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2,100 แห่ง ซึ่งเวลาที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำก็จะเปิดให้นำผลผลิตมาจำหน่ายในสถานีบริการ และยังมีร้านไทยเด็ดที่เป็นช่องทางจำหน่ายให้กับชุมชนที่มีผลิตภัณฑ์น่าสนใจ สามารถทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และในปีที่ผ่านมา OR ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน เอ็กซ์พลอร์ (explORe) ซึ่งเป็นดิจิทัล แพลตฟอร์ม (digital platform) ให้พันธมิตรของ OR เข้ามาร่วมใช้งาน ซึ่งจะขยายให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต

“ESG เป็นเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กต้องดำเนินการ เพราะตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามีความคาดหวังไปถึงทั้งห่วงโซ่อุปทานด้วย  นั่นหมายความว่า บริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG จำเป็นต้องค้าขายกับคู่ค้าที่มี ESG ในระดับเดียวกัน ดังนั้น ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2024 เชื่อว่าทุกคนจะเน้นเดินหน้าเรื่อง ESG เข้มข้นขึ้น โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายบังคับ โดย OR ก็พร้อมที่จะดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย NET ZERO ภายในปี 2050 ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการด้วยการส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มปริมาณการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การนำร่องเปิดสถานีชาร์จ EV Station PluZ การติดตั้ง Solar Rooftop ในพื้นที่ดำเนินงานของ OR เป็นต้น” นายวิศน กล่าวสรุป

มุ่งยกระดับกระบวนการทำงานให้ถูกต้องแม่นยำรวดเร็ว พร้อมรุกตลาด Healthcare และ Insurance

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click