December 05, 2025

InnovestX เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ชุดแรก จำนวน 3 ตัว เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตสู่ตลาดจีน

โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสาม ประกอบด้วย 

1) HSHD23 ที่เป็น DR ETF ที่อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ETF ตัวแรกของประเทศไทย ลงทุนในหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง มีประวัติการจ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 6–8% ต่อปี

2) CATL23 หุ้นเทคแบตเตอรี่แห่งอนาคต ที่เติบโตเคียงข้างยอดขายรถยนต์ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ทั่วโลก

3) BABA23 ที่อ้างอิงหุ้น Alibaba กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีผู้นำอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน

การเปิดตัว DR ชุดนี้ สอดรับกับนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศให้ง่าย สะดวก และได้ประสิทธิภาพ เสมือนการลงทุนในหุ้นไทย ซื้อขายเป็นเงินบาท ไร้กังวลภาษี ทั้งนี้ DR ทั้ง 3 ตัว พร้อมให้นักลงทุนซื้อขายได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป บนตลาดหุ้นไทยผ่านแอป Streaming พร้อมโปรโมชันช่วงเปิดตัว เทรด DR 3 ตัวใหม่ผ่าน InnovestX ฟรีค่าธรรมเนียม* ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.68 – 31 ก.ค. 68 มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท

ในงานเปิดตัว DR23  ครั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นาย โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) Head of Institutional Sales, Global X by Mirae Asset และ นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer, InnovestX ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR23) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

 

นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนควรมีทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ InnovestX จึงพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทัดเทียมระดับโลก พร้อมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ครบทุกสินทรัพย์ทั่วโลก (All-Weather Products) เพื่อให้การลงทุนง่าย ราบรื่น และตอบโจทย์ทุกจังหวะการลงทุน รวมถึง DR23 ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซื้อขายด้วยเงินบาท ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ลดข้อจำกัดทั้งด้านภาษีและขั้นตอนการลงทุนต่างประเทศ

DR23 ชุดแรกนี้ เราคัดสรร ETF และหุ้นจีนคุณภาพจากตลาดฮ่องกง ซึ่งเรามองว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทั้งยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 และการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน AI, EV และ Cloud Computing

1. HSHD23 – DR ETF ปันผลสูงตัวแรกในไทย อ้างอิง Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ลงทุนในหุ้นฮ่องกงที่จ่ายปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าดัชนีหลัก ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐจีนที่ผลักดัน SOE ให้สร้างผลตอบแทนมั่นคง เช่น PCCW Ltd (0008.HK) บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง หรือ Uni-President China Holdings Ltd (0220.HK) บริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในจีน เป็นต้น

2. CATL23 – DR หุ้น CATL ผู้นำแบตเตอรี่รถ EV ระดับโลก ครองตลาด 37% เป็นพันธมิตรหลักของ Tesla, BMW, Mercedes-Benz มีฐานะการเงินแกร่ง รายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนโอกาสในธีมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)

3. BABA23 – DR หุ้น Alibaba ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีน ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao–Tmall พร้อมธุรกิจ Cloud, AI และโลจิสติกส์ (Cainiao) มีศักยภาพการเติบโตทั้งกำไร เงินสด และการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง BABA23 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตในธีมเทคโนโลยีจีนและนวัตกรรม

DR23 โดย InnovestX ซึ่งได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA จาก Fitch Ratings เปิดประตูสู่การลงทุนต่างประเทศ ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นระดับโลกได้ง่ายเหมือนซื้อหุ้นไทย ด้วยราคาซื้อขาย (Fair Price) ที่สอดคล้องกับสินทรัพย์อ้างอิงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม SCBX พร้อม Market Maker ดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ซื้อขายราบรื่น มั่นใจใน Market Stability โดยจุดแข็งของ DR23 ยังอยู่ที่ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ตรงในการออกและบริหาร DR โดยเฉพาะ และทีมนักวิเคราะห์จาก InnovestX Research ที่สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกทั้งเศรษฐกิจ พื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค คำแนะนำการลงทุน และพร้อมให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลหุ้นแม่ของ DR23 และเครื่องมือคำนวณราคา DR23 ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของ Fair Value เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่มั่นใจได้จากกลุ่ม SCBX ที่เดียวที่ลงทุนครบ ง่าย ได้เปรียบ ในทุกสภาวะตลาดทั่วโลก”

ผู้ลงทุนสามารถพิมพ์สัญลักษณ์ HSHD23, CATL23 หรือ BABA23 ในแอป Streaming เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าคุณจะใช้บัญชี InnovestX หรือโบรกเกอร์รายอื่น DR23 ทั้งสามตัวซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนระดับโลกได้สะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น

BPS ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2568 อนุมัติปันผลเป็นเงินสด 0.0125 บาท/หุ้น กำหนดรายชื่อผู้ที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เตรียมจ่ายปันผลวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์พัฒนาธุรกิจ 5 ด้าน มุ่งเน้นพัฒนาระบบให้บริการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนตามหลัก ESG มั่นใจเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโตต่อเนื่องด้วยกลุ่มเทคโนโลยี

นายสุรพงษ์ สาเรชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ BPS ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 และ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.0125 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 พฤษภาคม 2568

ด้านทิศทางธุรกิจปี 2568 บริษัทมุ่งสร้างการเติบโตของรายได้ตามเป้าหมายด้วยกลุ่มเทคโนโลยีที่ 10%ภายใต้แผนการดำเนินงานในหลากหลายด้าน ทั้งการพัฒนาบริการหลัก ขยายฐานการตลาด และ เพิ่มโอกาสการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคอุตสาหกรรม เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำโซลูชันด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานในธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญใน 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ การขยายตลาด Kitting Box โดยมุ่งนำเสนอบริการจัดชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (Kitting Box) ให้กับกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ และ ขยายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เช่น กระเบื้องหลังคาเซรามิก และ Modular Home เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท

ขณะที่ บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการสำหรับการขยายธุรกิจระบบเครือข่ายอินเตอร์ความเร็วสูงโดยใช้สายใยแก้วนำแสง หรือ Fiber Optic (FTTx) เพื่อขยายโครงข่าย Fiber Optic ไปยังพื้นที่จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดชลบุรี รวมถึงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในเขตต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อีกทั้ง บริษัทพัฒนารูปแบบการขายสินค้ากลุ่ม Smart Home ทั้งในช่องทางการขายตรง (Direct Sales) ที่ให้บริการให้คำปรึกษาและติดตั้งถึงที่ และช่องทางการขายออนไลน์ (Online Sales) ให้กับธุรกิจที่มีความต้องการ เพื่อขยายฐานลูกค้า และ ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

ด้านโครงการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งบริษัทร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บมจ.กรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคิลีส (BGPL) และ บมจ.เอเชียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) เพื่อพัฒนาระบบโซลาร์รูฟท็อปในรูปแบบ Power Purchase Agreement (PPA) โดยอุปกรณ์ที่ติดตั้งจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าเมื่อสิ้นสุดสัญญา ซึ่งตั้งเป้าการขยายฐานการให้บริการติดตั้งโครงการดังกล่าว 2 เมกะวัตต์ในปี 2568 ขณะเดียวกัน บริษัทพัฒนาบริการระบบเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยการผสานเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด (CCTV) ร่วมกับบริการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษาความปลอดภัย และ เป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าจากใช้บริการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และ การมีบรรษัทภิบาลที่ดีตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) ผ่านนโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption) อย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด อาทิ โครงการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป พร้อมการดำเนินงานที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ

บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2567 แก่ผู้ถือหุ้น 0.20 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินปันผล 16 พฤษภาคม 2568 เผยภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสแรกของปีขยับตัวขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.5% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงแตะที่ 88% ต่อ GDP ด้าน TK เผยสถานะทางการเงิน ณ สิ้นปี 2567 เงินสดและเงินฝากมีมูลค่ารวม 3,191 ล้านบาทสูงกว่าพอร์ตสินเชื่อเป็นครั้งแรก ย้ำบริหารเงินในมือได้ผลตอบแทนและปลอดภัยสูงสุด พร้อมเปิดทุกทางเลือกเพื่อการลงทุนที่มีศักยภาพ รวมทั้งขยายพอร์ตเช่าซื้อในต่างประเทศ เน้นเติบโตอย่างมั่นคง

 

นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า จากการดำเนินธุรกิจของ TK ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้ 1,295.7 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อรวม 1,994.5 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากบริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 53.8% บริการเช่ารถจักรยานยนต์ TK ME 7.2% บริการสินเชื่อรถยนต์ 1.1% และรายได้อื่น ๆ 37.9% อาทิ บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ

จากภาพรวมของตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการหดตัวของตลาด รวมทั้งผลจากการบังคับใช้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของ ธปท. นอกเหนือจากการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ 23% ต่อปี จากประกาศของ สคบ. ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ ลดลงจากปีก่อน และขาดทุน 15.9 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทยังคงมีกำไรสะสม จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท จำนวน 500 ล้านหุ้น รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นี้

ในด้านของสถานะทางการเงิน มูลค่าสินทรัพย์รวมเทียบมูลค่าลูกหนี้สุทธิ ณ สิ้นปี 2567 TK มีเงินสดและเงินฝากมูลค่ารวม 3,191 ล้านบาท ขณะพอร์ตลูกหนี้รถจักรยานยนต์ในประเทศมีมูลค่า 765 ล้านบาท และมีพอร์ตลูกหนี้ในต่างประเทศที่ สปป. ลาว และกัมพูชามีมูลค่า 945 ล้านบาท โดยสัดส่วนพอร์ตลูกหนี้ต่างประเทศ 55.3% สูงกว่าสัดส่วนลูกหนี้ในประเทศที่ 44.7% ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้นโยบายบริหารเงินสดและเงินฝากโดยคำนึงถึงผลตอบแทนและความปลอดภัยของเงินต้น และพร้อมนำเงินในมือไปขยายตลาดเช่าซื้อ อาทิ การเพิ่มพอร์ตในกัมพูชา รวมทั้งเปิดทางเลือกในการนำเงินไปซื้อบริษัทที่มีศักยภาพในธุรกิจที่ TK มีความเชี่ยวชาญ

 

นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวเกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศ 3 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายรวม 461,632 คัน 74% เป็นยอดขายในต่างจังหวัด และ 26% เป็นยอดขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากในช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มียอดขาย 454,796 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5% โดย เป็นรถจักรยานยนต์ประเภท Family 41% Scooter 55% Sport 3% และเป็น EV เพียง 1% ทั้งนี้ คาดว่าตลาดรถจักรยนต์ในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านคัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ยอดขาย 1,708,215 คัน

สำหรับตลาดเช่าซื้อภาพรวมในปี 2568 คาดยังหดตัวลดลง ทั้งจากมาตรการเพดานดอกเบี้ยจาก สคบ. และมาตรการจากกฎหมายควบคุมธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งที่ทาง ธปท. กำลังจะประกาศออกมาเร็ว ๆ นี้ อีกทั้งสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศซึ่งยังอยู่ในระดับสูงที่ 88% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปี 2567 ส่งผลต่อกำลังการซื้อและการผ่อนชำระค่างวดของลูกค้าที่มีรายได้น้อย อย่างไรก็ดี TK มีนโยบายดำเนินธุรกิจสำคัญคือ ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศโดยเน้นคุณภาพลูกหนี้ ขยายตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดที่มีการเติบโต สร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจเช่ารถจักรยานยนต์ หรือ TK ME สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ควรคู่กับการมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่มีศักยภาพที่บริษัทฯ สามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เดิม

นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ ประธานกรรมการ นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 3,586.9 ล้านบาท โดยยังคงเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นรายได้สูงสุดใหม่อีกครั้งจากที่เคยทำไว้ในปี 2566 ที่ระดับ 3,450.4 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.34 บาท คิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ โดยก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.69 บาท คงเหลือการจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.65 บาท กำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568

บมจ.สยามราชธานี หรือ SO ประชุมผู้ถือหุ้นปี 2568 อนุมัติปันผล 0.18 บาท/หุ้น คิดเป็น 85% ของกำไรสุทธิของปี กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สะท้อนผลประกอบการที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้าเติบโต 10–13% ต่อปี มุ่งขยาย Backlog แตะ 2,226 ล้านบาท พัฒนาบริการและเทคโนโลยีใหม่ ตอกย้ำความเป็น Solution Partner และ Strategic Partner รองรับความต้องการของลูกค้าธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน

นางสาวกัณธิมา แจ้งวันสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ประกอบการธุรกิจหลัก 2 รูปแบบเพื่อ Transformation องค์กรของลูกค้า คือธุรกิจบริการเอาท์ซอร์ส (Outsource Service) และธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Service) เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 โดยเป็นการประชุมรูปแบบ Hybrid เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 และที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 86 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 85% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่มั่นคงและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงมีความผันผวน ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจบนหลักความยั่งยืน พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนงานปี 2568 บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนแผนด้วยเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 10–13% ต่อปี โดยตั้งเป้ายอด Backlog เพิ่มจาก 1,556 ล้านบาทในปี 2566 เป็น 2,226 ล้านบาทภายในปี 2568 จากการเดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กร พร้อมรักษาอัตราการรักษาลูกค้าเก่าที่ระดับ 90% โดยบริษัทมุ่งเน้นบทบาทในฐานะ Solution Partner และ Strategic Partner ที่ช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจของลูกค้า

SO ให้ความสำคัญกับ “คน” และ “เทคโนโลยี” ผ่านการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น OCR+AI และ E-Workflow รวมถึงโซลูชัน FLOW สำหรับกลุ่มธนาคาร ประกัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเฉพาะในกลุ่มประกันที่คาดว่าตลาดจะเติบโตเกิน 2,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี สำหรับธุรกิจหลัก ได้แก่ บริการ Valet Parking และ Reception ที่มีระบบฝึกอบรมมาตรฐานสูง รองรับกลุ่มศูนย์การค้า โรงพยาบาล และโรงแรมระดับพรีเมียม พร้อมบริการสนับสนุนครบวงจร ตั้งเป้าเจาะตลาด Premium มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยมากกว่า 10%

นอกจากนี้ SO ยังให้บริการบริหารจัดการรถเชิงพาณิชย์ โดยในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถเกิน 700 คัน หรือเติบโต 13.26% รวมถึงธุรกิจ Landscape Management สำหรับโครงการขนาดใหญ่ โดยใช้ระบบควบคุมคุณภาพ 9 ขั้นตอน พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ครอบคลุมทั้งการฝึกอบรม ตรวจสอบ และประเมินผล โดยเน้นความเป็น Reliable, Predictable และ Scalable เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าระดับบน ตั้งเป้า Market Size Premium มูลค่ากว่า 660 ล้านบาท และคาดการณ์การเติบโตกว่า 10.97% ในปีนี้

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click