

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงบ่อยครั้ง เช่น น้ำท่วม พายุ และไฟป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในหลายพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยความเข้าใจถึงความเดือดร้อนและความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนของผู้ประสบภัย ‘คาร์ ฟอร์ แคช’ ผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ จึงได้สานต่อภารกิจสำคัญในบทบาท ‘ผู้ช่วยเบื้องหลัง’ ทั้งด้านการเงินและชีวิตความเป็นอยู่ ที่พร้อมสนับสนุนและเคียงข้างคนไทยให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
จากภารกิจดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดโครงการ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม (Car4Cash Smile Pack)’ ที่สะท้อนถึงความตั้งใจของกรุงศรี ออโต้ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคผ่านการลงมือทำ โดย คาร์ ฟอร์ แคช เชื่อว่าการช่วยเหลือไม่ใช่แค่เพียงการมอบสิ่งของที่จำเป็น แต่ยังรวมถึงการส่งต่อความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) เพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยมีกำลังใจในการก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญและฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งด้วยเช่นกัน
นายพรเทพ ถิรสุนทรากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยบทบาทของผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ เราเชื่อว่าหน้าที่ของเราไม่ใช่แค่เพียงการสร้างผลกำไร แต่ยังรวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม ซึ่งโครงการ ‘คาร์ ฟอร์ แคช ถุงเติมรอยยิ้ม’ เป็นมากกว่าการให้ความช่วยเหลือในยามวิกฤติ แต่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับชุมชนโดยรอบ และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของแบรนด์และทีมงานในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Good Corporate Citizenship) ที่พร้อมช่วยเหลือและส่งต่อกำลังใจในทุกช่วงเวลา”
นับตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน คาร์ ฟอร์ แคช ได้ทำการส่งมอบ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม’ ที่ประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำดื่ม และของใช้พื้นฐาน ให้กับเหล่าผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาลช่วงโควิด เหตุการณ์น้ำท่วมจากพายุโซนร้อน ‘เตี้ยนหมู่’ ในจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา ลพบุรี นครสวรรค์ สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ไฟไหม้ตลาดร้อยปีบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการน้ำท่วมในจังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงราย แพร่ น่าน และน้ำท่วมในจังหวัดนราธิวาสที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คาร์ ฟอร์ แคช ได้ส่งมอบถุงเติมรอยยิ้มไปแล้วกว่า 6,000 ถุง ใน 21 จังหวัดทั่วประเทศรวมมูลค่ากว่า 3.6 ล้านบาท
เบื้องหลังโครงการนี้ คือทีมงานที่ยึดมั่นในปณิธานที่จะดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Good Corporate Citizenship) โดยเชื่อว่าการช่วยเหลือในยามวิกฤติ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การส่งมอบสิ่งของที่จำเป็น แต่คือการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชนการดูแลผู้มีส่วนได้เสียภายนอกที่เชื่อมโยงกับองค์กรทั้งใกล้และไกลด้วย ซึ่งจากการที่ทีมงาน คาร์ ฟอร์ แคช ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่ ทำให้พวกเขามีความใกล้ชิดและเข้าใจความท้าทายของชุมชนได้อย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้การลงพื้นที่ในแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความทุ่มเทและจริงใจ เปรียบเสมือนการดูแล ‘คนในครอบครัว’
นางผกายมาศ อนันตพงศ์ ผู้ประสบภัยที่เคยได้รับ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม’ จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนกันยายน 2567 เล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า “ช่วงวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 40 ปีนั้น บ้านเราได้รับผลกระทบหนักมาก ขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและน้ำใช้ ของในบ้านก็เสียหายหมด ตอนนั้นยอมรับว่าหมดกำลังใจไปเลย แต่พอได้รับถุงเติมรอยยิ้มจาก คาร์ ฟอร์ แคช มันเหมือนแสงสว่างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากคือ ถึงแม้ว่าสำนักงานคาร์ ฟอร์ แคช ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านจะเจอน้ำท่วมเหมือนกัน แต่ทีมงานก็ยังลงพื้นที่มาให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่”
“ถุงเติมรอยยิ้ม ที่ได้รับมาครั้งนั้น เป็นชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ช่วยให้บ้านของเรากลับมาสะอาดและน่าอยู่เหมือนเดิม โดยเรามองว่าถุงนี้ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็นแรงใจที่ช่วยให้ครอบครัวลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง" นางผกายมาศ กล่าวเสริม
คาร์ ฟอร์ แคช ยังมุ่งมั่นที่จะส่งมอบรอยยิ้มให้กับคนไทยในทุกพื้นที่อย่างเต็มกำลัง
รถยนต์ถือเป็นทรัพย์สินที่มากกว่าแค่ใช้ขับขี่ แต่ยังสามารถใช้เพื่อสร้างรายได้ และต่อยอดโอกาสได้มากมาย เช่น ปล่อยให้เช่า หรือนำไปประกอบธุรกิจในการรับส่งของ รวมทั้งสามารถผันไปเป็นหลักประกันเงินกู้ยามจำเป็นได้อีกด้วย
วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จะมาช่วยเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างสินเชื่อยอดนิยมทั้ง 2 รูปแบบ คือ รีไฟแนนซ์รถยนต์ และสินเชื่อรถแลกเงิน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนการกู้ยืม
รีไฟแนนซ์รถยนต์
รีไฟแนนซ์รถยนต์ คือ สินเชื่อทางเลือกสำหรับคนที่มีรถแต่ยังผ่อนไม่หมด แม้จะมีภาระผูกพันทางการเงิน แต่สินเชื่อประเภทนี้ช่วยให้ผู้กู้สามารถใช้รถยนต์เป็นหลักประกันในการกู้ได้ แต่ก็ยังสามารถนำรถยนต์ไปใช้ได้ตามปกติ ซึ่งประโยชน์ที่นำไปใช้จากเงินก้อนนี้ ได้แก่ ช่วยขยายระยะเวลาการผ่อนคืนได้นานขึ้น อัตราดอกเบี้ยในการผ่อนชำระที่ลดลงเมื่อเทียบกับหนี้เดิม และที่สำคัญช่วยคลายความเครียดจากภาระการผ่อนรายเดือน รวมทั้งหากมีเงินส่วนต่างเหลือยังสามารถนำไปจัดสรรเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้
ตัวอย่างการทำสินเชื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์
หากกู้เงินเพื่อผ่อนรถเป็นจำนวน 500,000 บาท โดยผ่อนไปแล้ว 300,000 บาท เหลือเงินอีก 200,000 บาท และหากสถาบันการเงินทำการประเมินมูลค่ารถยนต์อีกครั้งและปล่อยกู้ได้ที่ 350,000 บาท เราก็จะสามารถนำเงินที่ได้ตรงนี้ไปปิดหนี้ที่เหลืออยู่ 200,000 บาทได้ โดยที่ยังเหลือเงินกู้ส่วนต่างอีกจำนวน 150,000 บาท ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพื่อต่อยอดทำธุรกิจ หรือนำไปชำระหนี้ส่วนอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล
สินเชื่อรถแลกเงิน
สำหรับสินเชื่อรถแลกเงิน เป็นสินเชื่อเพื่อคนมีรถที่ผ่อนชำระหมดแล้ว โดยผู้ที่ต้องการกู้สามารถใช้รถยนต์หรือเล่มทะเบียนรถเป็นหลักค้ำประกันเพื่อยื่นขอกู้สินเชื่อได้ และยังสามารถนำรถไปใช้ได้ตามปกติ ซึ่งทางธนาคาร หรือสถาบันการเงินจะแบ่งประเภทสินเชื่อรถแลกเงินออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบโอนเล่มทะเบียนรถ และ แบบไม่ต้องโอนเล่มทะเบียน ซึ่งโดยปกติสถาบันการเงินส่วนใหญ่มีเงื่อนไขในการรับรถยนต์ที่ขอยื่นกู้จำเป็นต้องมีอายุการงานไม่เกิน 16 ปี
เมื่อจำเป็นต้องกู้เงินโดยใช้รถเป็นหลักประกันนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องเลือกพิจารณา คือ รถที่จะนำไปเป็นหลักประกันยังมีภาระผูกพันทางการเงินหรือไม่ เพราะถ้าหากยังผ่อนไม่หมด การรีไฟแนนซ์อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยปิดวงเงินสินเชื่อเดิม และได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง รวมทั้งอาจมีเงินกู้เหลือพอที่จะนำไปใช้เป็นเงินทุนทำอย่างอื่น ในทางกลับกัน หากมีรถที่ผ่อนหมดแล้ว สามารถขอสินเชื่อรถแลกเงินเพื่อเพื่อนำเงินไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ทางการเงินที่ต้องการได้
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกทำสินเชื่อแบบใดแบบหนึ่ง ควรหาข้อมูล และขอรายละเอียดให้ครบถ้วนจากสถาบันการเงินเสียก่อน เช่น เงื่อนไขในการปล่อยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย วงเงินที่ให้ การให้บริการ และรายละเอียดอื่น ๆ เพื่อนำมาเปรียบกันหลาย ๆ ที่เพื่อให้สามารถได้รับสิ่งที่คุ้มค่าและดีที่สุด
มาร่วมออกแบบชีวิตทางการเงินในวันนี้และในอนาคต เพื่อพิชิตเป้าหมายการมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ด้วยเคล็ดลับทางการเงินดี ๆ ได้ที่ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ
เพียงคลิก https://www.ttbbank.com/th/fintips-075
หรืออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/fintips-car-loan