บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านการอนุมัติทุกวาระตามมติที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คงเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวดวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิและกำไรสะสม กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้

พร้อมทั้ง อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการอิสระท่านใหม่ แทนกรรมการอิสระที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระจำนวน 2 ท่าน คือ นายสรกล อดุลยานนท์ และนางสาวเพชรชมพู เทพพิพิธ ซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่มีความเหมาะสม มีประสบการณ์ความรู้ความสามารถในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นอย่างดี สอดคล้องตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนไทย

ด้าน ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากท่านผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจตลอดมา สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2567 อิชิตันวางเป้าหมายรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท คาดบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยเริ่มเดินหน้าบุกตลาดตั้งแต่ไตรมาส 1 มีแนวโน้มทำได้ดีมาก รับอากาศร้อนช่วงซัมเมอร์ รวมทั้งส่งเครื่องดื่มใหม่ในกลุ่ม Non-Tea เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยในเดือนมีนาคมได้เปิดตัว “ตัน พาวเวอร์ (TAN POWER)” เครื่องดื่ม Energy Drink เสริมพอร์ต ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรคู่ค้าทั่วประเทศ ช่วยกันผลักดันสินค้าที่มีจุดแข็งด้านราคา 10 บาทสบายกระเป๋า ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนได้ส่งแคมเปญสนุกและสร้างสรรค์รับหน้าร้อนบนโลกโซเชียล ทั้งจากแบรนด์อิชิตัน กรีนที, เย็นเย็น น้ำจับเลี้ยงสมุนไพรฤทธิ์เย็น และตันซันซู น้ำอัดลมสไตล์เกาหลี เพื่อเดินหน้าสร้างไดนามิคกระตุ้นยอดขายสร้างกำไรให้เข้าตามเป้าที่ได้วางไว้

นอกจากนี้ อิชิตันยังมุ่งมั่นนำเสนอเครื่องดื่มคุณภาพและนวัตกรรม พร้อมเติบโตไปกับสังคมที่ดี โดยความสำเร็จล่าสุดจาก อิชิตัน น้ำด่าง (pH PLUS) แบรนด์สินค้ามีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจนสามารถคว้ารางวัล BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR 2023 ไปครองได้สำเร็จ ปัจจุบันน้ำด่างบรรจุขวดพร้อมดื่ม (Ready to drink) เกิดขึ้นด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น มีมาตรฐานปลอดภัย สะดวกสบายพกพาง่าย และดีต่อสุขภาพ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงที่ประเทศไต้หวัน ญี่ปุ่น และอิชิตันนำเทรนด์นี้เข้าสู่ประเทศไทย เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้รักสุขภาพ จนสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน ส่งเสริมให้คู่ค้าและพันธมิตรทางการค้าในระดับ SMEs เติบโตไปด้วยกัน ล่าสุดได้จัดกิจกรรมสัมมนาเชิญชวนคู่ค้ากลุ่ม SME เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ตามโครงการแนวร่วมการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยภายใต้โครงการ CAC Change Agent เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการกำหนดแผนการมุ่งไปสู่องค์กรที่มีการผลิตแบบความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยปัจจุบันสินค้าทุกขวดของอิชิตัน สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกลงได้ถึง 28.5% จากเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและดีต่อโลกของอิชิตัน กรีน แฟคทอรี ที่เปิดให้นักเรียนนักศึกษา เข้าชมฟรี ภายใต้พื้นที่ “ศูนย์การเรียนรู้ตันแลนด์” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงผลกระทบต่อการเลือกดื่มผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบที่จะมีต่อธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด Produce Responsibly, Drink Sustainably อีกด้วย

กรุงเทพฯ 22 เมษายน 2567 : ‘โลตัส’ (Lotus’s) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อจดทะเบียน บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด พร้อมแล้วกับการเสนอขายหุ้นกู้ 4 ชุด ให้กับประชาชนทั่วไป แข็งแกร่งด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) ด้วยอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 2.90 – 3.56% ต่อปี โดยจะเสนอขายพร้อมกันในวันนี้ (22 เมษายน 2567) เป็นวันแรก จนถึงวันที่ 24 เมษายน 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 6 แห่ง รวมถึงช่องทาง TrueMoney Wallet แอปพลิเคชัน มั่นใจกระแสตอบรับดี ทั้งจากความมั่นคงของกิจการในฐานะผู้นำค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโต และผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ

บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำขนาดใหญ่ และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) พร้อมแล้วกับการเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.14% ต่อปี ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.38% ต่อปี และ ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.56% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยจะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 6 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร รวมถึงการเสนอขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet ซึ่งเริ่มเสนอขายในวันนี้ (22 เมษายน 2567) เป็นวันแรก จนถึงวันที่ 24 เมษายน 2567

ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “บวก” สะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกแบบ omni-channel ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลากหลาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยทริสเรทติ้งระบุว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ยังมีปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งจากการมีพื้นที่เช่าในทำเลศักยภาพ และลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งในธุรกิจค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายหลายรูปแบบ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 “โลตัส” (Lotus’s) มีร้านค้าปลีกจำนวน 2,454 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วยร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 226 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 178 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 2,050 แห่ง ซึ่งธุรกิจในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนระบบการกระจายสินค้าและเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ

โลตัส (Lotus’s) มุ่งยกระดับธุรกิจค้าปลีกสู่ SMART Community Center ศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัยในชุมชน โดยมีรูปแบบสาขา สินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของคนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ลูกค้า “รู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส” พร้อมกันนี้ ยังมีแผนการที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ เพื่อให้ร้านค้าของ “โลตัส” (Lotus’s) สามารถเข้าถึงและให้บริการผู้บริโภคได้มากขึ้น ควบคู่การเสริมแกร่งธุรกิจออนไลน์ ยกระดับ “โลตัส สมาร์ท แอป” ด้วยแอปพลิเคชันที่รู้ใจลูกค้ายิ่งขึ้น พร้อมเป็นร้านค้าปลีกชั้นนำในไทยที่พร้อมจัดส่งสินค้าจากทั้งสาขาเล็กและใหญ่ ตอกย้ำประสบการณ์การช้อปปิงที่ SMART ตอบรับทั้งพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการทั้งความสะดวกและความรวดเร็วทันใจในการจับจ่าย

ทั้งนี้ สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ยังกล่าวถึงความเชื่อมั่นถึงการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของโลตัสในครั้งนี้ว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนศักยภาพการเติบโตของ “โลตัส” (Lotus’s) ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต อีกทั้ง “โลตัส” ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บนหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ สังคม และส่วนรวม ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ Lotus’s โปรดระมัดระวังการหลอกหลวงจากมิจฉาชีพที่จะนำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชัน Line เป็นต้น โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Bangkok Bank Mobile Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร 0-2111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572

- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

- บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Dime! ได้อีก 1 ช่องทาง)

 

บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ YONG จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม นี้ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ณ บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) สาขาบางเลน จ.นครปฐม

โดย YONG  แถลงความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพกำลังการผลิต ที่สามารถส่งมอบงานดีมีคุณภาพได้ตรงตามกำหนด พร้อมรับรู้รายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ที่จังหวัดระยอง เพื่อเปิดโอกาสในการเติบโต เพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้าในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบัน YONG มีมูลค่างานรอส่งมอบ (Backlog) อยู่ที่ 524 ล้านบาท ประกอบด้วยงานผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต 361 ล้านบาท และงานรับเหมาติดตั้งโครงสร้างสำเร็จรูป 163 ล้านบาท โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน

“บมจ.สโตนวัน หรือ STX” เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 3.00 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 18,19 และ 22 เมษายนนี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดี จากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ชูจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ EEC เงินระดมทุนครั้งนี้ ใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นผู้ประกอบการเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ปักธงเทรด 26 เมษายน 2567 หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 21.16% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด

นายพงศ์ภัค สุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ STX ที่หุ้นละ 3.00 บาท จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 18,19 และ 22 เม.ย. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 26 เมษายน 2567 ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 19.10 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ STX พิจารณานำ P/E ของ คู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ

ชู STX เป็นบริษัทชั้นนำ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 27 ปี ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และยังมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.18 เท่า และมีส่วนของทุนสูงถึงกว่า 600 ล้านบาท จึงมีศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจ โดยภายหลังจากการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 172.30 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจเหมืองหินและแร่ ในการเข้าซื้อเหมืองใหม่

และลงทุนในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 22.30 ล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต และมั่นใจว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านร่วมเติบโตไปกับเรา

โดย STX วางเป้าหมายที่จะขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิตในอนาคต ต่อยอดธุรกิจหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองหินที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว หรือการพัฒนาเหมืองหินใหม่ ซึ่งอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมด้วยเจตนารมณ์การทำเหมืองอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้รับรางวัลมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 และรางวัล Green Industry อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 38.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.48 ล้านบาท หรือ 76.5% สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 มีรายได้รวม 371.29 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 32.8% โดยปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตดังกล่าวมาจากรายได้การขายหินแกรนิต 20 มม. ของเหมืองหนองข่าสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลับมาทําการผลิตดังเดิม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่เหมืองจอมบึงที่เป็นโดโลไมต์ผง โดยมีการจําหน่ายให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมกระจกและอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Valued added) และเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น สนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.26% อัตรากำไรสุทธิ 10.24%

ทั้งนี้ ปัจจุบัน STX ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และแร่โดโลไมต์ รวมทั้ง การให้บริการขนส่ง ให้บริการด้านขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไซต์งานอย่างครบวงจร ปัจจุบัน บริษัทและบริษัทย่อย มีเหมืองหิน 2 แห่ง ประกอบด้วย เหมืองหนองข่า (ผลิตและจำหน่ายหินแกรนิต) ตั้งอยู่ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และเหมืองจอมบึง (ผลิตและจำหน่ายหินปูนและแร่โดโลไมต์) ตั้งอยู่ที่ อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยเหมือนหินทั้ง 2 ที่ของบริษัท ระยะทางห่างกันเกินกว่า 150 กิโลเมตร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางด้านการขายของบริษัท โดยเหมืองหินแกรนิตซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของประเทศ จะสามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดชลบุรี ซึ่งรวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียง ในส่วนของเหมืองหินจอมบึงซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ถือได้ว่าเป็นเหมืองหินขนาดใหญ่ในพื้นที่ สามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดราชบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

เปิดกลยุทธ์การลงทุนเดือนเมษายน จับทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ ที่อาจมีย่อตัวลงหลังไตรมาสแรกราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก นักลงทุนรุ่นใหม่มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น แนะรอจังหวะสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ส่วนบิทคอยน์มีโอกาสดีดตัวขึ้นรับ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ หนุนราคาเหรียญทางเลือก (Altcoin) ปรับตัวขึ้นตาม

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ให้มุมมองว่า เดือนเมษายนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีโอกาสจะเข้าสู่รอบปรับฐาน หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทุกดัชนีมีการปรับตัวขึ้นได้ในระดับเกือบเลขสองหลักและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของดัชนีจากการที่หุ้นขนาดใหญ่บางตัว เช่น APPLE และ TESLA ถูกเทขาย เพราะมีความกังวลเรื่องผลประกอบการ และตลาดเริ่มกลับมากังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปีนี้ ตามที่ประกาศไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจยังเติบโตต่อเนื่อง และเงินเฟ้อยังไม่ลงมาถึงเป้าหมายระดับ 2% ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และมีกำไรแล้วระดับหนึ่งสามารถที่จะขายทำกำไร และรอให้ราคาปรับฐานลงก่อนเข้าไปลงทุนใหม่อีกครั้งได้ เพราะภาพใหญ่ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้น รวมถึงผลประกอบการของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ยังได้กระแสของเอไอหนุน แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างที่จะพรีเมียมแล้ว การที่ราคาปรับฐานลงในระดับ 10% ถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุน

ขณะที่ “ทองคำ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นในเดือนที่ผ่านมาจนราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่า น่าจะมีเหตุผลมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับมีแรงซื้อจากประเทศจีนที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วและใกล้จะถึงเป้าหมายแนวต้านแล้วทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น

“แนวโน้มหลักของทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และมีโอกาสจะแตะแนวต้านระยะยาวที่ระดับ 2,800 ดอลลาร์ ได้ แต่ระยะสั้นในระดับราคาที่เริ่มจะชนแนวต้านแรกที่ 2,360 ดอลลาร์ มองเป็นโอกาสขายทำกำไรระยะกลาง สำหรับผู้ที่ถือมาตั้งแต่ต้นทางและรอจังหวะที่จะเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้งที่แนวรับ 2,150 ดอลลาร์ และ 2,076 ดอลลาร์”

ทางด้าน “บิทคอยน์” ที่เคยร้อนแรงในช่วงไตรมาสแรกเริ่มที่จะมีการพักฐาน และเคลื่อนไหวแบบออกข้างมาได้ระยะหนึ่ง ในเชิงพื้นฐานยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อโดยมีเหตุการณ์ที่มาช่วยหนุนนั่น คือการเกิด Bitcoin Halving ในช่วงวันที่ 20 เมษายนนี้ แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนที่จะมี Halving ซึ่งแปลกไปจากรอบขาขึ้นครั้งก่อน ๆ แต่การที่มี Bitcoin Spot ETF จะเป็นตัวเร่งทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น

“ต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนที่ซื้อบิทคอยน์ผ่าน Spot ETF อยู่แถวราคา 50,000 ดอลลาร์ เทียบกับราคาตลาดปัจจุบันยังถือว่าไม่สูงมากนักที่จะมีแรงเทขายหนัก ๆ เข้ามา ประกอบกับแรงขายบิทคอยน์ใน Grayscale Bitcoin ETF เริ่มลดลง และแรงซื้อผ่านกองทุนของ Blackrock เริ่มกลับเข้ามา จึงเป็นโอกาสที่จะทยอยเข้าสะสมบิทคอยน์ในช่วงที่ราคายังนิ่ง โดยหากสามารถผ่านจุดสูงสุดเดิมที่ 74,000 ดอลลาร์ ไปได้ มีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้าน 82,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้เป็นอย่างน้อย”

ขณะที่ “อีธีเรียม” ซึ่งเป็นเหรียญใหญ่อันดับสองที่กำลังมีข่าวกำลังถูกพิจารณาจัดตั้งกองทุน Spot Ethereum ETF มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะยังไม่ได้รับการอนุมัติตามที่คาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ถึงอย่างไรพื้นฐานของอีธีเรียมยังคงเติบโตได้ดี และมีโอกาสจะเป็นผู้นำตลาดเหรียญทางเลือก หรือ Altcoin อื่น ๆ ที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงหลังจากนี้ ถ้าหากบิทคอยน์เริ่มประคองตัวอยู่ในโซนราคาที่สูงแล้ว โดยระยะสั้นจับตาแนวรับของบิทคอยน์ที่ 60,000 ดอลลาร์ ถ้าสามารถยืนระดับนี้ได้จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

นายณพวีร์ กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (10 เม.ย.) จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ถ้าหากออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 3.4% อาจเป็นตัวเร่งกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่เริ่มมีความรุนแรงกลับเข้ามา แต่ภาพรวมไม่ถือว่าจะเกิดปัจจัยลบแรง ๆ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนมากนัก การย่อตัวลงมาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล คือโอกาสที่จะเข้าลงทุนได้

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click