17 เมษายน 2567 : ช.การช่าง เคาะผลตอบแทนหุ้นกู้ 4 ชุด อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.61% ต่อปี อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.78% ต่อปี และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.10% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปในระหว่างวันที่ 25-29 เมษายน 2567 ผ่านสาขาและช่องทางออนไลน์ของธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย เผยหุ้นกู้ฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A- แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างและลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มั่นใจการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐสนับสนุนความแข็งแกร่งของธุรกิจ ขณะที่งานในมือเกือบ 1.3 แสนล้านบาท และผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ผู้ดำเนินธุรกิจก่อสร้างที่สามารถรับบริหารโครงการขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนทุกรูปแบบ และมีความสามารถในการพัฒนา ลงทุน และบริหารโครงการสัมปทานระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ในประเทศและภูมิภาคอย่างครบวงจร กำหนดดอกเบี้ยหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ประกอบด้วย

หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% ต่อปี

หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.61% ต่อปี

หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.78% ต่อปี

หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.10% ต่อปี

กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจะเสนอขายช่วงวันที่ 25 - 29 เมษายน 2567 (โดยในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 27-28 เมษายน 2567 จองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น) ผ่านสถาบันการเงิน 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย โดยหุ้นกู้ชุดที่ 2 - 4 มีเงื่อนไขให้ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ตามเงื่อนไขที่ระบุในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้

ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ประเภทชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อีกทั้งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 ที่ระดับ

“A-” แนวโน้ม “คงที่” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการรับงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงการที่มีความซับซ้อน และมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ รวมถึงโอกาสในการเติบโตจากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีปริมาณงานในมือที่รอรับรู้รายได้ มูลค่า 128,535 ล้านบาท

นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ช.การช่าง เปิดเผยว่า ช.การช่าง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ใหญ่ที่สุดในหมวดธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการด้านก่อสร้างและรับบริหารโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพ

ปัจจุบัน บมจ.ช.การช่าง ดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ (1) ธุรกิจการก่อสร้าง ทั้งระบบขนส่งมวลชน ท่าอากาศยาน ถนน ทางด่วน สะพาน พลังงาน ระบบน้ำและท่าเรือ และ (2) ธุรกิจการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภค ด้วยการเป็นผู้ลงทุนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคด้านต่างๆ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ประกอบธุรกิจก่อสร้างและบริหารทางพิเศษ รวมถึงบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า ในสัดส่วน 35.18% บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ผู้ผลิตจำหน่ายน้ำประปาและบริหารจัดการน้ำเสีย ในสัดส่วน 19.40% และถือหุ้นในบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ผู้ประกอบธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ในสัดส่วน 30.00% (ข้อมูลโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566)

บมจ. ช.การช่าง ยังได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2566 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และได้รับการประเมิน ESG Rating ในระดับ A จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประจำปี 2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลอีกด้วย

“โครงการที่มีอยู่เดิมจะช่วยสร้างความมั่นคง ส่วนโครงการใหม่จะสร้างการเติบโต ซึ่งเรามีพร้อมทั้ง 2 ส่วน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ นั้นเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน” นายณัฐวุฒิกล่าว

ทางด้านสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ช.การช่าง กล่าวเพิ่มเติมว่า มั่นใจว่าหุ้นกู้ ช.การช่าง จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ด้วยจุดแข็งในหลายด้าน รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ซึ่งระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด ของ ช.การช่าง อยู่ที่ระดับ 3 (จากความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 8) ประกอบกับผลประกอบการของ ช.การช่าง ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีรายได้รวม 14,419 ล้านบาท ปี 2565 มี

รายได้รวม 19,660 ล้านบาท และปี 2566 รายได้รวมเติบโตขึ้นเป็น 37,956 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิปี 2564 – 2566 เท่ากับ 906 ล้านบาท, 1,105 ล้านบาท และ 1,501 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ ช.การช่าง สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป

โดยติดต่อผ่าน 2 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืนด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 -4.50]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ยังคงระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นทั้งด้านโทรคมนาคมและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “การดำเนินงานของทรู คอร์ปอเรชั่น ในปี 2566 ภายหลังการควบรวมเป็นบริษัทใหม่นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รายได้เติบโตต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดย EBITDA เติบโตขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตและการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน อีกทั้งเรายังเป็นบริษัทไทยที่ได้คะแนนดัชนีความยั่งยืน DJSI สูงสุดอันดับหนึ่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)

ในปีนี้คาดว่ารายได้จากการให้บริการจะเติบโตประมาณ 3-4% สอดคล้องกับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ประเทศไทยและการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว รวมถึงแนวโน้มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่า EBITDA จะเติบโตขึ้น 9-11% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วผ่านผลการดำเนินงานปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในปีนี้ได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและการสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว”

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น มียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 5 แสนเลขหมายหรือคิดเป็น 1% จากไตรมาสก่อน ทำให้มียอดรวมผู้ใช้งานเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% ทั่วประเทศพร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมทั้งทรูยังได้ครองแชมป์ประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตมือถือที่ดีที่สุดในประเทศไทย 8 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2559-2566 จากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลกอย่าง nPerf ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางเป้าเพิ่มรายได้และยกระดับบริการ 5G โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้บริการ 5G มากกว่า 16 ล้านรายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อลูกค้า หรือ ARPU

บริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งตอกย้ำสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศพร้อมด้วยชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม (Synergies) รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต

หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกระดับ นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นยังคงสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 1 ปี 3 เดือน 2 ปี 6 เดือน หรือ 3 ปี 3 เดือน นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี 3 เดือน หรือนักลงทุนท่านใดที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการดอกเบี้ยเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกจะลงทุนในรุ่น 10 ปี เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือ Yield Curve ที่ปรับตัวลดลงหลังจากที่ธนาคารกลางประเทศหลักๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ เริ่มส่งสัญญาณหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบางประเทศเริ่มมีการพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงๆ และ TRUE ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” ทั้งยังเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ด้วย

วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการชำระคืนหนี้คงค้าง และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตของบริษัท โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป เสนอขายจำนวน 5 ชุด ดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.00]% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.45 - 3.55]% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 5 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00 – 4.20]% ต่อปี

5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.30 – 4.50 ]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 819 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

 

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

 “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน ให้แก่นักลงทุนสถาบันและหรือนักลงทุนรายใหญ่ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.30 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขาย อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ที่ระดับ “BB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยทริสเรทติ้ง คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 22-24 เมษายนนี้ นำทุนรุกแผนธุรกิจปี 2567 เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท และชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ตั้งเป้ายอดขายกว่า 9,000 ล้านบาท และยอดโอนมากกว่า 3,000 ล้านบาทในปีนี้

ดร. สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “MJD” เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2567 เพื่อรองรับการเติบโตตามแผนธุรกิจปี 2567 โดยนำศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับลักชัวรี มาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมีความท้าทายอย่างมาก โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์มิวนีค (MUNIQ) 2 โครงการ ใจกลางกรุงเทพฯ มียอดพรีเซล (Pre-sale) แล้วกว่า 4,400 ล้านบาท

 

หุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้มีประกัน ประเภทไม่ด้อยสิทธิ และมีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.30 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขาย ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและหรือนักลงทุนรายใหญ่ อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 โดยบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ (Stable)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 22 – 24 เมษายน 2567 โดยจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายไม่เกิน 1,000,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,000,000,000 บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองอีก 250,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 250,000,000 บาท จำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,250,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,250,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท

โดยในปี 2567 นี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าต่อตามแผนธุรกิจ โดยได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมีเนียมระดับลักชัวรี 2 โครงการ คือ โครงการมิวนีค พร้อมพงษ์ (MUNIQ Phrom Phong) และโครงการมิวนีค เจริญกรุง (MUNIQ Charoen Krung) และโครงการอื่นๆที่กำลังจะเปิดตัวภายในปีนี้อีกหลายโครงการ ตั้งเป้ายอดขายกว่า 9,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนมากกว่า 3,000 ล้านบาทในปี 2567 ภายใต้กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กรให้เปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกมิติ

นักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้มีประกัน สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่าน 7บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้แก่

· บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทรศัพท์ 02-249-2999

· บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทรศัพท์ 02-680-4004

· บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทรศัพท์ 02-695-5000

· บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-658-5050

· บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-660-6624

· บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทรศัพท์ 02-687-7543

· บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-659-5272-73

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

หมายเหตุ : บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ การจัดสรรเป็นไปตามที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายกำหนด รายละเอียดเป็นไปตามเงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

“APO” บมจ. เอเชียนน้ำมันปาล์ม หุ้นน้องใหม่ไฟแรง นำทัพโดย CEO หนุ่มหล่อ สิทธิภาส อุดมผลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APO พร้อมด้วย FA ระดับเทพ สมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แห่ง APM ควง ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ KFS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้น เปิดจองซื้อหุ้น IPO 25 - 27 มีนาคมนี้ เตรียมเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก 2 เม.ย. 67

ชูจุดเด่นความเชี่ยวชาญการสกัดน้ำมันปาล์มดิบกว่า 40 ปี พร้อมด้วยโครงการ Asian Plus+ ให้ความรู้เกษตรกร ตัดผลปาล์มคุณภาพสูง ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ส่วนฐานะทางการเงินอย่างแจ่ม สภาพคล่องอยู่ในระดับดี D/E Ratio เพียง 0.4 เท่า กำไรสะสมอีก 117 ล้านบาท พร้อมทุกด้านที่จะขยายการเติบโตในอนาคต

ที่สำคัญราคาหุ้นโคตรดี เพียง 0.99 บาทต่อหุ้น P/BV แค่ 1 เท่า ใครได้ไปเท่ากับว่ามีต้นทุนเดียวกับเจ้าของที่ทำมากว่า 40 ปี แถมยังอุ่นใจผู้ถือหุ้นเดิมสมัครใจ Lockup หุ้นเดิม 99.96% เป็นเวลา 6 เดือน ไม่ต้องกลัวการเทขายในวันเทรด นักลงทุนวางใจได้เลย

บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงเบื้องต้นตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือฉบับลงวันที่ 12 มีนาคม 2567 ขอให้ชี้แจง กรณียอดเงินสดในบัญชีของบริษัทฯ เปรียบเทียบกับหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในระยะเวลา 1 ปี

นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ฝ่ายบริหารของบริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า “ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตามข้อมูลในรายงานงบการเงินบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ คิดเป็นร้อยละ 0.58 ซึ่งคำนวณจากราคาสินทรัพย์ประเภทที่ดินของบริษัท ในราคาทุน โดยราคาตลาดของที่ดินมีราคาสูงกว่าราคาทุนมาก อาทิ ที่ดินที่เขาใหญ่ หรือสัตหีบ โดยล่าสุด หุ้นกู้ของบริษัท NUSA242A ซึ่งครบกำหนด วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการชำระเงินต้นทั้งจำนวนแล้วเสร็จตามกำหนด

ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯและบริษัทในเครือ เป็นหุ้นกู้มีหลักประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยสูงกว่า 1.2 เท่า ณ ปัจจุบัน โดยบริษัทมีการประมาณการกระแสเงินสดตลอดปี 2567 ที่เพียงพอต่อกำหนดการชำระหนี้ทุกประเภท ” นายวิษณุกล่าว

Page 1 of 9
X

Right Click

No right click