December 05, 2025

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหืดคือ “ภัยเงียบ” ที่คร่าชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลกทุกปี ทว่าสังคมกลับมีการตระหนักรู้ต่อโรคเหล่านี้น้อยและทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในงาน Asia COPD & SEA Summit 2025 ที่ แอสตร้าเซนเนก้า ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพทางเดินหายใจระดับโลก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก 7 ประเทศ ได้เผยความก้าวหน้าตามแนวทางการรักษา GOLD Guidelines 2025 ชี้ชัดถึง ‘นวัตกรรมแห่งความหวัง’ อย่าง Triple Therapy ยาสูดที่ผสานตัวยาสามชนิดในอุปกรณ์เดียว และ ยาชีววัตถุ (Biologics) ที่ออกฤทธิ์ตรงต่อกลไกของโรค ซึ่งไม่เพียงลดการกำเริบและอัตราการเสียชีวิต แต่ยังคืนโอกาสให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติอีกครั้ง ความก้าวหน้านี้จึงไม่ใช่เพียงการรักษา แต่คือความหวังที่อาจหยุดยั้งไม่ให้ “ภัยเงียบ” พรากชีวิตใครอีกต่อไป

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก มีผู้ป่วยราว 392 ล้านคนทั่วโลก1 และคร่าชีวิตราว 3.5 ล้านคน2 ในปี พ.ศ. 2564 ในประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังถึงปีละ 20,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 50 คน3 ในขณะที่ โรคหืด (Asthma) พบว่ามีผู้ป่วยราว 262 ล้านคนทั่วโลก และเสียชีวิตกว่า 455,000 ราย4 โดยในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหืดเฉลี่ย 8–9 รายต่อวัน หรือกว่า 3,000 รายต่อปี จากสถิติจะเห็นชัดว่าทั้งสองโรคเป็น “ภัยเงียบเรื้อรัง” ที่กำลังคุกคามผู้คนนับล้าน และคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยอีกเกินครึ่งที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย5

ศ.นพ.กิตติพงศ์ มณีโชติสุวรรณ ศาสตราจารย์ประจำสาขาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “แม้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสามของโลก แต่ยังไม่ได้รับความตระหนักรู้เท่าที่ควร ทั้งที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์จากภาวะหายใจติดขัดรุนแรงเสมือนถูกกดใต้น้ำ โดยในไทยพบว่าราว 7% ของประชากรกำลังเผชิญโรคนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และการสูบบุหรี่ สถานการณ์ที่น่ากังวลดังกล่าวสะท้อนความสำคัญของเวที Asia COPD & SEA Summit 2025 ซึ่งเผยความก้าวหน้าของนวัตกรรม “Triple Therapy” หรือยาสูด (Inhaler) ที่ผสานตัวยาสามชนิด ได้แก่ ยาขยายหลอดลม 2 ชนิด และยาลดการอักเสบ 1 ชนิด ไว้ในหลอดเดียว มาพร้อมกับนวัตกรรม Aerosphere ในรูปแบบละอองยาที่ออกแบบให้กระจายตัวยาอย่างสมดุลลึกถึงปอดและหลอดลมเล็ก และสามารถเข้าถึงตำแหน่งของโรคได้อย่างตรงจุด จึงสามารถช่วยควบคุมอาการ ลดการกำเริบ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แต่ยังเป็นการจุดประกายความหวังในการเปลี่ยนอนาคตของผู้ป่วยในไทยและในระดับภูมิภาคให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่”

 

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคปอดและระบบทางเดินหายใจในระดับนานาชาติอย่าง ศ. นพ. ไมเคิล จี. ครูกส์ ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจ มหาวิทยาลัยฮัลล์ ยอร์ก เมดิคัล สคูล (Hull York Medical School) สหราชอาณาจักร และ รศ. นพ. เล คัค บ๋าว รองหัวหน้าแผนกโรคปอดโรงพยาบาลเกียดินห์ ประเทศเวียดนาม ต่างเห็นตรงกันถึงอันตรายของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่ไม่ได้จำกัดแค่ที่ ‘ปอด’ หากยังคุกคามถึง ‘หัวใจ’ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการกำเริบมากกว่า 2 ครั้งต่อปี ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโรคแทรกซ้อน ทั้งความดันโลหิตสูงกว่า 46% โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 40% หรือภาวะหัวใจล้มเหลวกว่า 20% ดังนั้น “การควบคุมการกำเริบ” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา โดยงานวิจัยได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของ Triple Therapy ว่าสามารถลดการกำเริบและความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจได้อย่างตรงจุด ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมที่เข้าใจทั้งโรคและผู้ป่วยอย่างแท้จริง

และจากประสบการณ์ของประเทศเวียดนามที่ได้บูรณาการ Triple Therapy เข้าสู่ระบบสาธารณสุขมาเกือบ 1 ปี สะท้อนผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าผู้ป่วยควบคุมอาการกำเริบได้ดีขึ้น รับยาได้ต่อเนื่อง และกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ ผลลัพธ์ความสำเร็จนี้จึงพิสูจน์แล้วว่า Triple Therapy ไม่ใช่เพียง ‘ทางเลือก’ แต่คือ ‘ทางรอด’ และเป็นคำถามที่ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ต้องร่วมกันทบทวนว่าในวันนี้เราได้มอบการรักษาที่ดีพอและทั่วถึงให้แก่ผู้ป่วยแล้วหรือยัง

รศ. นพ. ศิวศักดิ์ จุทอง อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและภาวะวิกฤตทางเดินหายใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า “โรคหืดเป็นภาวะหลอดลมตีบแคบจากการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดี อาจก่อให้เกิดเป็น ‘โรคหืดรุนแรง’ (Severe Asthma) จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 7 คน ต่อประชากร 100 คน มีอาการโรคหืดรุนแรง และได้คร่าชีวิตผู้ป่วยราว 2,000 รายต่อปี ในปัจจุบันการรักษาโรคหืดรุนแรงได้มีการพัฒนาไปอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในก้าวสำคัญคือ ยาชีววัตถุ หรือ Biologics ที่ออกฤทธิ์ตรงต่อกลไกของโรค ช่วยลดอาการเหนื่อยหอบได้อย่างแม่นยำ จากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยรายหนึ่งสะท้อนพลังของนวัตกรรมการรักษาอย่างชัดเจน เขาเล่าว่าเคยต้องทนกับอาการหอบหนักแม้เพียงเดินไม่กี่ก้าว แต่หลังได้รับการรักษาก็กลับมาหายใจโล่งขึ้น และจนสามารถคว้าเหรียญทองแบดมินตันได้สำเร็จ”

 

“คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก หากนวัตกรรมเหล่านี้ ทั้ง Triple Therapy และยาชีววัตถุ(Biologics) จะสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงภายใต้สิทธิการรักษาต่าง ๆ เพราะนั่นไม่ได้เพียงแต่ช่วยรักษาอาการ แต่ยังคือการคืนลมหายใจ ความฝัน และคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยอีกนับไม่ถ้วน เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ และก้าวเดินต่อไปด้วยความหวัง” รศ. นพ. ศิวศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

การประชุม Asia COPD & SEA Summit 2025 สะท้อนพันธกิจอันแน่วแน่ของ ‘แอสตร้าเซนเนก้า’ ในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนการดูแลโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหืดรุนแรงในภูมิภาคเอเชีย ภัยเงียบที่กระทบผู้คนนับล้านทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ผ่านการผสานองค์ความรู้ แนวทางการรักษา และนวัตกรรมระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับศักยภาพการวินิจฉัยและการรักษา ที่ไม่เพียงเสริมความเข้มแข็งให้ระบบสาธารณสุข แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนมุมมอง จากโรคที่ทำให้ตายได้ สู่โรคที่ไม่จำเป็นต้องตาย หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที พร้อมคืนคุณภาพชีวิตและความหวังให้ผู้ป่วย และขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีกว่าเดิม

แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประกาศความร่วมมืออันทรงคุณค่าโดยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมศักยภาพของนิสิตและบุคลากรในบริษัทฯ ผ่านโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงาน พร้อมกับการจัดการเข้าถึงยานวัตกรรม ร่วมยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขในการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขของประเทศไทย พิธีลงนามได้จัดขึ้น ณ อาคาร 80 ปี เภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีผู้บริหารจากทั้งสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน

ภายใต้ความร่วมมือ ประกอบด้วยโครงการ “Early Talent Future Career Development” ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านการฝึกงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อมอบประสบการณ์จริงให้กับนิสิต อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรม เวิร์กช็อป และการบรรยายโดยพนักงานของแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการเข้าสู่โลกการทำงาน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไปทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้าในการพัฒนาหลักสูตรการจัดการการเข้าถึงยานวัตกรรม ภายใต้โครงการ “Professional Market Access Capability Building” ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนนี้ สร้างความรู้ ทักษะ และศักยภาพให้พนักงานแอสตร้าเซนเนก้าในการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการการเข้าถึงยานวัตกรรม เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน 2568

 

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า “แอสตร้าเซนเนก้า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่เน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในประเทศไทย แอสตร้าเซนเนก้าพร้อมนำเสนอความรู้เพื่อสนับสนุนการศึกษาด้านเภสัชศาสตร์ รวมถึงส่งเสริมระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนชาวไทย”

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.วรสิทธิ์ วงศ์สุทธิเลิศ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ความร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยในครั้งนี้ ตอกย้ำเจตนารมณ์ของคณะเภสัชศาสตร์ ในการส่งเสริมบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศด้านวิชาชีพเภสัชกรรม พร้อมเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน และการสร้างองค์ความรู้จากการวิจัยสู่นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง ความร่วมมือครั้งนี้จะยกระดับศักยภาพของนิสิตและวงการเภสัชกรรมให้ตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการพัฒนาบุคลากรและขยายขอบเขตความรู้ในวงการเภสัชกรรม อีกทั้งยังเน้นย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขให้ก้าวไกลในอนาคตผ่านการให้องค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

จากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่ามะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 2.5 ล้านรายและผู้เสียชีวิตประมาณ 1.8 ล้านรายต่อปี ในประเทศไทย มะเร็งปอดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับสอง โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 17,222 รายต่อปี หรือเฉลี่ยผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดวันละ 40 คน1

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในงานประชุม European Lung Cancer Congress (ELCC) 2025 ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส แอสตร้าเซนเนก้าได้เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งปอดภายใต้โครงการ CREATE ที่มีการใช้เครื่องมือ qXR-LNMS ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Qure.ai เพื่อแสดงประสิทธิภาพในการคัดกรองมะเร็งปอดจากภาพเอกซเรย์ทรวงอกซึ่งอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือช่วย โดยนวัตกรรมนี้ช่วยขยายโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยโรคด้วยวิธีที่ทันสมัยและมีความสะดวก

โครงการ CREATE ได้ศึกษาประสิทธิภาพในการคัดกรองมะเร็งปอดใน 5 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 700 ราย ผลการศึกษาพบว่าค่าความแม่นยำของ Positive Predictive Value (PPV) อยู่ที่ร้อยละ 54.1 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นจำนวน 20% ส่วน Negative Predictive Value (NPV) อยู่ที่ร้อยละ 93.5 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นจำนวน 70% ผลการศึกษามีความสอดคล้องกันทุกกลุ่มประชากร ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่และบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 55 ปี ซึ่งโดยทั่วไปไม่ได้อยู่ในเกณฑ์การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่แบบจำลองการวิเคราะห์ผลกระทบด้านงบประมาณของโครงการ CREATE โดยอ้างอิงจากการใช้ข้อมูลในประเทศเวียดนามมาเป็นกรณีศึกษาต้นแบบ ซึ่งพบว่าการใช้ AI ร่วมกับการเอกซเรย์ทรวงอก นั้น สามารถนำมาปฏิบัติใช้เป็นขั้นตอนเบื้องต้นก่อนการทำการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยปริมาณรังสีต่ำ (Low Dose CT : LDCT) ในบริบทของสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจำกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมการคัดกรองโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง จากผลการศึกษานี้ยังพบว่าการนำ AI มาใช้ในกระบวนการคัดกรองมะเร็งปอดสามารถช่วยในการตรวจพบมะเร็งปอดได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม นำไปสู่การลดลงของค่าใช้จ่ายในกระบวนการรักษาได้

 

พญ. วาสนา ประสิทธิ์สืบสาย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “แอสตร้าเซนเนก้าได้ร่วมมือกับ Qure.ai ตั้งแต่ปี 2565 ภายใต้โครงการ Lung Ambition Alliance โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ qXR-LNMS มาใช้ในการคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โครงการนี้มีเป้าหมายในการตรวจคัดกรองประชากรกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2569 ปัจจุบัน เราได้ดำเนินการคัดกรองแล้วกว่า 5 แสน คน และมีอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% ข้อมูลจากการศึกษา CREATE แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้ AI ที่สามารถแพร่หลายได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และสามารถประยุกต์ใช้ในระบบสาธารณสุขเพื่อยกระดับการเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

นพ. ภาสกร วันชัยจิระบุญ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า เปิดเผยว่า “แม้ว่าแนวทางมาตรฐานในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจะแนะนำให้ใช้การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบปริมาณรังสีต่ำ แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านต้นทุนสูงและการเข้าถึงที่จำกัด การมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เสริมการตรวจภาพเอกซ์เรย์ทรวงอก สามารถเพิ่มการเข้าถึงการคัดกรองมะเร็งปอดในบริบทของประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดได้ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้นั้นจำเป็นต้องมาพร้อมกับความเข้าใจจากผู้ใช้ รวมถึงการวิจัยและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

การตรวจสุขภาพและการคัดกรองโรคอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ และยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชากรไทย การมีนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับการวินิจฉัยโรคให้มีความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรค เช่น มะเร็งปอด ให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จอีกครั้งด้วยการได้รับรางวัล Top Employer 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ แอสตร้าเซนเนก้า ในการมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม การเปิดกว้าง และการให้ความสำคัญกับพนักงาน เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเติบโตได้ทั้งในด้านการทำงาน และชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มประสิทธิภาพ

แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการสร้างสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมให้พนักงานสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง โดยสนับสนุนความหลากหลายและการมีส่วนร่วม บริษัทฯ เปิดกว้างในการรับฟังมุมมองที่แตกต่าง เพื่อให้บุคคลทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะมีแนวคิดที่แตกต่างกันเช่นไรก็ตามได้รับแรงบันดาลใจและการสนับสนุนในการทำงานร่วมกัน ความมุ่งมั่นนี้ยังรวมถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผ่านโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานอย่างต่อเนื่อง และการสร้างภาวะผู้นำที่เน้นการสร้างโอกาสทางอาชีพอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคน

 

องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างสถานที่ทำงานที่ดีเยี่ยมของแอสตร้าเซนเนก้า คือ การผสานนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการดำเนินงานของบริษัท โดยยึดถือแนวปฏิบัติการใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมเพื่อช่วยสนับสนุนกระบวนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพ โดยถือเป็นการพัฒนาวิธีการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยยะสำคัญ

อีกหนึ่งจุดเด่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการดูแลพนักงานและให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัวอย่างเปิดกว้าง และยืดหยุ่นมากขึ้นก็คือ นโยบายการให้พนักงานสามารถลาหยุดเพื่อดูแลครอบครัว โดยมอบสิทธิ์การลาที่ขยายระยะเวลา รวมถึงการกำหนดรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่นช่วยให้พนักงานสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว และเป้าหมายทางสายอาชีพได้ ตอกย้ำถึงความสำคัญของสวัสดิการ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานซึ่งทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets ได้กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “แอสตร้าเซนเนก้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Top Employer ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 สำหรับแอสตร้าเซนเนก้า นวัตกรรมไม่ได้หมายถึงเพียงการพัฒนาวิธีรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ยังหมายถึงการสร้างสรรค์พื้นที่ในการทำงานให้เป็นพื้นที่แห่งการเติบโตอย่างแท้จริง โดยการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม ของพนักงาน ความยืดหยุ่นในการทำงาน และการสร้างแรงบันดาลใจ เราพยายามสร้างองค์กรที่เอื้อให้ทุกคนมีเครื่องมือ และสภาพแวดล้อมที่จำเป็นในการเติมเต็มศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่”

ความสำเร็จนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของแอสตร้าเซนเนก้าในด้านสถานที่ทำงานที่ดีเยี่ยม ผ่านโครงการที่ส่งเสริมความหลากหลาย การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการสนับสนุนพนักงานในด้านต่างๆ แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นต้นแบบในการสร้างสถานที่ทำงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรของบริษัทฯ ทุกคน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 9 ธันวาคม 2567 – แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค เข้ารับรางวัล Most Innovative Company (รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม) จาก สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หรือ British Chamber of Commerce Thailand (BCCT) โดยรางวัลนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น โครงการ Lung Ambition Alliance และ การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัล "Chronic Kidney Disease (CKD) Risk Score" ซึ่งได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการด้านนวัตกรรมดังกล่าว ได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการตรวจหาความเสี่ยงของโรคในระยะเริ่มต้น ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทที่มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 

โครงการด้านการพัฒนาสุขภาพต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เข้ามาพลิกโฉมรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม ช่วยให้การตรวจหาโรคสามารถทำได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงการจัดทำแผนการรักษาที่ออกแบบให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้มากขึ้น โดยโครงการ Lung Ambition Alliance ที่ได้ริเริ่มร่วมกับ Qure.ai ในปี 2565 ได้มีการนำเครื่องมือ Chest AI มาใช้ เพื่อคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ด้วยจุดมุ่งหมายในการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นให้แก่ประชาชนจำนวน 1 ล้านคนภายในปี 2569 โดยขณะนี้ได้ดำเนินการคัดกรองไปแล้วกว่า 302,682 คน และพบอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% นอกจากนี้ เครื่องมือดิจิทัล CKD Risk Score ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ก็สามารถดำเนินการคัดกรองไปแล้วถึง 130,000 ครั้ง โดยตั้งเป้าคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง 1 ล้านคนภายในปี 2568 ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนานวัตกรรมหรือโซลูชันด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก พร้อมปรับเปลี่ยนจากวิธีการดูแลรักษาแบบดั้งเดิมไปสู่แนวทางที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และ ขอขอบคุณทาง BCCT สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้และต่อยอด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ดีในประเทศไทย ขอขอบคุณทีมงานแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งทุกคนสำหรับความทุ่มเทจนเกิดผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในอนาคตต่อไป”

แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ในการพัฒนายารักษาและโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย ระบบการดูแลสุขภาพ และสังคมโดยรวม วิสัยทัศน์ของบริษัทในการริเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถต่อยอดการใช้งานได้จริง การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างมีนัยยะสำคัญต่อสังคม ความสามารถในการขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งล้วนแล้วแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการดูแลเชิงรักษาสู่การดูแลเชิงป้องกัน ตอกย้ำ พันธกิจของบริษัท เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click