

SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และตลาดหุ้นไทย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC, SCB Finance Market, SCB CIO และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ลูกค้าได้รับทราบอย่างทันท่วงทีภายหลังการประกาศผลการประชุมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%ต่อปี พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย SCB EIC มอง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจเริ่มสอดคล้องภาคเอกชน คาดว่ายังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้าน SCB Finance Market ประเมินเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น และกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายปีที่ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทย แต่ยังไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แม้หากถูกปรับลดในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade ด้าน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. แต่อาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีเท่ากับภูมิภาค ขณะที่ กองทุนThai EGSX จะช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้ ส่วน SCB CIO เผย ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมสนับสนุนการขาย 4 กองทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์ IPO 2 – 8 พ.ค. นี้ หลังจากนั้นจะเปิดขายพร้อมรับสับเปลี่ยน LTF หลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC เปิดเผยว่า จากผลการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.00% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี สะท้อนว่า กนง. เริ่มมีมุมมองเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเริ่มมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากมุมมองเดิมหลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีนำเข้า และ กนง. ได้ประเมินมุมมองเศรษฐกิจไทยออกมาเป็นฉากทัศน์อ้างอิง (Reference Scenario) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.0% ในปีนี้ และ 1.8% ในปี 2569 และฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Scenario) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.3% ในปีนี้ และ 1.0% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ด้วย นอกจากนี้ กนง. ยังกล่าวถึงภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว ดูจากสินเชื่อที่หดตัวและ NPL ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ มุมมองต่อเศรษฐกิจของ SCB EIC และ กนง. ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุมมองล่าสุด SCB EIC ณ เดือน เม.ย. มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 1.5% ในกรณีฐาน บนสมมติฐานที่ว่า ไทยจะต่อรองลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ได้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้สหรัฐฯ จะชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปชั่วคราว 90 วัน ผลกดดันต่อการส่งออกไทยจะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งหลัง แต่สำหรับความเชื่อมั่นในการลงทุนของธุรกิจไทยน่าจะถูกกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้แล้ว ผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้มองว่าการลงทุนเอกชนปีนี้จะยังไม่ฟื้นจากที่เคยหดตัวในปีที่แล้ว ภาคการท่องเที่ยวเองก็อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากอย่างที่เคยคาดไว้ หากดูทิศทางเศรษฐกิจรายไตรมาสจะเห็นว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงเรื่อยๆ จากไตรมาสแรกที่จะยังเห็นเติบโตได้ 3% ไตรมาส 2 จะขยายตัวลดลงเหลือ 2.2% และลดลงเหลือเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 4
SCB EIC จึงยังคงมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามเดิม โดยมองว่า จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 อย่างละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่องไปปีหน้า และความไม่แน่นอนยังสูงมาก หลังจากนี้คงต้องอยู่ที่ภาครัฐว่าจะเจรจาต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ภาคธุรกิจและประชาชนจะเตรียมปรับตัวจากสถานการณ์ข้างหน้าที่มองเห็นแบบนี้อย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาระทางการเงินลูกหนี้และช่วยดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนภาครัฐอาจอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกทาง
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการประชุม กนง. ที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี และ 10 ปี ทรงตัว ส่วนประเด็นที่ Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทยนั้น เนื่องจากเป็นเพียงการปรับมุมมอง แต่ยังไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยังอยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตขั้นต่ำของระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ดังนั้น แม้จะถูกปรับลดลงในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade จึงยังไม่เห็นความเสี่ยงของการเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยออกมา
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า ในระยะสั้น ไตรมาสที่ 2 ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้ โดยอยู่ในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า ที่สหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้นภาษีตอบโต้บางส่วน หลังผ่านช่วงเวลา 90 วัน ที่ชะลอการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งจะทำให้เงินเอเชีย รวมถึงเงินบาทอาจอ่อนค่า โดยที่ธนาคารกลางต่างๆ อาจยอมให้ค่าเงินอ่อนค่าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจกลับมาแข็งค่าบ้าง นอกจากนี้ยังมาจาก เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีนี้ รวมทั้งเป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่บริษัทข้ามชาติจะส่งเงินกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ (Dividend payout) รวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง
สำหรับระยะยาว คาดว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ โดยมอบกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.50-33.50 บาท ในช่วงสิ้นปี 2568 เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง มีการนำเงินออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่สกุลเงินหลักอื่น เช่น เงินยูโร เยน และสวิสฟรังก์ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินยูโร มีแนวโน้มแข็งค่า จากเงินทุนไหลกลับเข้ายุโรป ส่วนเงินเยน อาจแข็งค่าขึ้นต่อตามการขึ้นดอกเบี้ยและกลุ่มประกันที่นำเงินกลับเข้าญี่ปุ่น
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า โดยปกติตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองได้ดีกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไป 0.25% จะให้ประโยชน์ 1.3% ของกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 20-25 จุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะตลาดหมี ดังนั้น จึงอาจปรับขึ้นได้ในช่วงสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับในภูมิภาค ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และขนส่ง
ส่วนกรณีการปรับลดมุมมองเครดิตของไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบระยะยาว โดยในปี 2565 ไทยก็เคยถูกปรับลดเครดิตของกลุ่มธนาคารมาแล้ว เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการปรับลดมุมมองเครดิตทั้งหมด สะท้อนถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP และอัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อรายได้ ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับที่เคยมีอยู่ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเรื่องการเปิดให้ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai EGSX) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้
นายสรรค์ชัย สกุลสุรเอกพงศ์ ผู้จัดการ Investment Product Selection and Partnership, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB WEALTH พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนการจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ผ่านสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ประกอบด้วย
1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBT70X) มีความเสี่ยงระดับ 5 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พื้นฐานดี ไม่เกิน 70% และตราสารหนี้ที่เด่น ESG 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAPX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พร้อมกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงไม่เกิน 20% 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนไม่น้อยกว่า 80% และใช้กลยุทธ์คัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุน เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ 4) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTS100X) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 100 บริษัทที่คำนวณอยู่ในดัชนี SET100FF ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นเงินลงทุนใหม่ โดยสามารถลงทุนได้ในช่วง IPO และหลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ส่วนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุน 5 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน
ส่วนที่สอง สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีหน่วยลงทุนอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน Thai ESGX และไม่ได้ดำเนินการสับเปลี่ยนหรือขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ นับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา ส่วนนี้สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทุกหน่วยลงทุน จากทุก บลจ. มายังกองทุน Thai ESGX ได้ นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะเริ่มรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568 โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสัดส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างปี 2569-2572 สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท
สำหรับ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF มายัง Thai EGSX จะช่วยให้นักลงทุนได้ต่อยอดสิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนใหม่ ทำให้ไม่ต้องรีบขายขาดทุนหน่วยลงทุน LTF ที่ขาดทุนอยู่ ขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนใน Thai ESGX เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นการลงทุนในบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ด้วย
เมื่อนับรวมวงเงินสำหรับการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ หากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนครบทุกรูปแบบ จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมสูงสุดที่ 1,400,000 บาท แบ่งเป็น กองทุนรวม Thai ESGX ส่วนเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 300,0000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน, Thai ESGX ส่วนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF สูงสุด 300,000 บาท, กองทุนรวม Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และ การลงทุนเพื่อการเกษียณรวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันบำนาญ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
คำเตือน
· เอกสารนี้จัดทำขึ้นโดย SCB CIO ณ วันที่ 2 พ.ค. 2568 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง
· กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
· โปรดศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดโครงการของกองทุนรวม Thai ESGX และคู่มือภาษีจากบริษัทจัดการลงทุน และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนดต่อไป
· เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
· เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777
SCB CIO มอง Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% ต่อปี พร้อมปรับลดต่อเนื่องในปีนี้อีก 50 bps และในปีหน้าอีก 100 bps จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้เป้า 2% ของ Fed ขณะที่การจ้างงานที่อ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ ผนวกกับภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการเกิด Recession ชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ช่วยนโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น ต้นทุนการเงินต่ำลง หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น แนะหุ้นสหรัฐฯ ยังให้ผลตอบแทนที่ดี กลุ่ม Quality Growth ประเภท IT รวมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค สุขภาพ และสินค้าจำเป็น ยังคงน่าสนใจ
ส่วนการจัดพอร์ตเน้นกระจายความเสี่ยงโดย Core portfolio แนะลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง (IG) เน้นลงทุนตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ ยังให้น้ำหนักส่วนใหญ่บนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านพอร์ตเสริม แบ่งเงินลงทุน 15 -25% ในตลาดหุ้นเวียดนามและไทย จากเศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนไทยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า Fed มีความมั่นใจมากขึ้นบนทิศทางอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่กำลังเข้าสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน โดย Fed กล่าวว่า ความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อ และการจ้างงานมีความสมดุลกัน และ Fed แสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนการจ้างงาน ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot นั้น เจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 bps ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 100 bps และ 50 bps ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ นอกจากนี้ Fed ยังได้ปรับคาดการณ์ต่างๆ โดย Fed ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 2.0% ต่อปี จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน มิ.ย.ที่ 2.1% ต่อปี ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในช่วงสิ้นปี 2567 เป็น 4.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.0% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์ของเงินเฟ้อ PCE ในช่วงสิ้นปี 2567 ลงเหลือ 2.3%YoY จากเดิมคาดไว้ที่ 2.6%YoY โดยอัตราเงินเฟ้อทั้ง PCE และ Core PCE จะเข้าสู่ระดับ 2.0% ในปี 2569 เป็นต้นไป
นายศรชัย มีมุมมองว่า แม้ว่าตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังไม่มีสัญญาณว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยการปลดพนักงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบ Soft landing ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการคลัง และการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเทียบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอดีต โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed fund ลงรวม 50bps ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ อยู่ที่ 4.25%-4.50% และปรับลดรวมอีก 100 bps ในปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Fed funds สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.25%-3.50%
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้เผชิญกับภาวะ Recession จะช่วยสนับสนุนทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้ง ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ตามสถิติตั้งแต่ปี 2517การปรับตัวของราคาสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ ในช่วงที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้ของสหรัฐฯ มักมีผลตอบแทนที่ดี โดยเงินดอลลาร์ สรอ.มักจะอ่อนค่าลงในช่วง 12 เดือนหลังจากการปรับลดดอกเบี้ย ด้าน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ล้วนปรับเพิ่มขึ้น
ในส่วนของตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มักปรับเพิ่มความชันขึ้น เมื่อใกล้ช่วงที่ Fed เริ่มจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ และไม่มี Recession การปรับเพิ่มความชันของ Yield Curve หลังจากนี้อาจไม่มากนัก ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นรอบนี้ แสดงถึงความกังวลด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 ยังคงต่ำ ทำให้คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ จะลดลงไม่มาก และผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าจะมาจาก Carry Yield เป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ
แนวโน้มของตลาดหุ้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และสนับสนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตามสถิติในอดีต หลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ย 12 เดือน ในภาวะที่ไม่เกิด Recession หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เช่น Russell 2000 นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth อย่าง IT และกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ยังคงน่าสนใจ โดยเรายังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ จากกำไรของตลาดเกิดใหม่ จะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวในปี 2568
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ยังคงยึด 3 วัตถุประสงค์หลักที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดยเน้นกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากได้รวบรวมสถิติต่างๆ แล้วพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เดือนกันยายน มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในทุกสินทรัพย์ และเดือนตุลาคม มีความผันผวนสูงที่สุดโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการเก็บสถิตินับตั้งแต่ 2527 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้นทั้งจากสงครามยูเครน -รัสเซีย และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และฮามาสที่มีการตอบโต้กันเป็นระลอก เราจึงให้ความสำคัญในเรื่องการกระจายการลงทุน เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
โดยพอร์ตลงทุนหลัก ( Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 1) เพื่อสร้างกระแสเงิน แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง ( IG) ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้เอกชนในไทย หุ้นกู้ Perpetual ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารที่สูง และตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาด ขณะที่ สามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรก และมีหลักประกัน เป็นต้น 2) เพื่อสร้างการเติบโต เน้นน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยยังให้น้ำหนักอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวในระดับปานกลาง กำไรบริษัทยังเร่งตัวสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงสนับสนุนการเติบโตของตลาดในระยะยาว และ 3) การป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ด้วยการลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) กรณีที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง – สูง โดยแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนบางส่วน ประมาณ 15 -25% อาจพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และไทย โดยตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจ เนื่องจากมีแนวโน้มได้แรงหนุนดังนี้ 1) เศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
โดยดัชนี PMI เดือนสิงหาคม ขยายตัว 53.4 ขณะที่ การส่งออกเดือนสิงหาคม ขยายตัว 14.5% YoY 2) กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน ใน 2Q2567 ขยายตัว 14%YoY และมีแนวโน้มขยายตัวดีใน 2H2567 3) เงินเฟ้อเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 3.5%YoY ลดลงจากเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าเป้าระยะยาวที่ 4.5% ส่งผลให้ความกังวลมบนประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามลดลง และ 4) Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 10.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -1 s.d.
ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ได้แรงหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน จากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ ที่ต่อเนื่องมากขึ้น และ จากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่า ในเดือน ธันวาคม นี้ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps และลดต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย ได้แรงหนุนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้น ตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ท่ามกลาง Valuation ของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดย SET Index ซื้อขายอยู่บนระดับ valuation ที่น่าสนใจ โดย 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 14.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ประมาณ -1.0 s.d. และมองว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ รวมทั้งเม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนผ่านกองทุนรวม Thai ESG จากการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมีแนวโน้มดึงดูดเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศที่ต้องการลดหย่อนภาษี และนักลงทุนต่างประเทศ จากธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน (Governance) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ ทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก Sentiment ที่ดีขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนที่ออกมา และจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.
สำหรับอัตราผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่ต้นปี 2567 – YTD (18 กันยายน 2567) ทองคำให้ผลตอบแทนดีที่สุด อยู่ที่ 24.5% โดยได้รับผลบวกจากการที่ Yield ปรับตัวลดลง และธนาคารกลางของประเทศต่างๆมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้น รองลงมาเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ 19.3% จากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดีในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับ การคาดหวังว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมีแรงส่งจากหุ้นกลุ่ม Tech ที่มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดีในช่วงไตรมาสที่ 1 แม้ในไตรมาสที่ 2 ผลประกอบการจะแผ่วลงแต่ถือว่าอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี ต่อมาคือ Global REITs อยู่ที่ 13.8% ได้รับอานิสงค์จากการที่ Bond Yield ปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนของ REITs ดีขึ้น DM Equity ex US อยู่ที่ 10.7% EM Equity อยู่ที่ 9.1% HY Bond อยู่ที่ 8.8% TIPS อยู่ที่ 5.2% IG Bond อยู่ที่ 5.1% Gov Bond อยู่ที่ 2.8% และ Oil อยู่ที่ -1.4% ส่วนการลงทุนในรายประเทศ US large อยู่ที่ 19.3% India อยู่ที่ 18.2% Vietnam อยู่ที่ 12.2% ยุโรปอยู่ที่ 11.8% China offshore 11.3% US Small 9.9% Japan 9.2% Indonesia 7.8% Thai 4.7% และ Korea -3%
คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ส่งผลบวกต่อทุกสินทรัพย์ในระยะยาว มองเดือนกันยายนเป็นจังหวะทยอยสะสม “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์” โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเติบโตแทบทุกราย ส่วนบิทคอยน์มีสัญญาณบวกจากสถิติเดิม ปีที่เกิด Halving ราคาจะสิ้นสุดการพักฐานในเดือนกันยายนก่อนจะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกสามเดือนติดต่อกัน ขณะที่หุ้นไทยเริ่มมีปัจจัยบวกหนุน
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในเดือนกันยายนนี้ คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 -19 กันยายนนี้ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้วที่การประชุมแจ็คสันโฮลว่านโยบายการเงินมีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการลดดอกเบี้ยถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอลง
ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) สัปดาห์ที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าที่คาดค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจนต้องลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ในการประชุมเดือนนี้ทันที จึงเกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดได้ซึมซับกับข่าวและความน่าจะเป็นที่จะใช้ยาแรงด้วยการลดดอกเบี้ย 0.5% ไปแล้ว ถ้าหากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ในสัปดาห์นี้ออกมาต่ำกว่าที่คาดมากก็ไม่น่าจะสร้างความตกใจให้กับตลาดได้มากกว่านี้
“ในระยะกลาง การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะลดดอกเบี้ยลงจะเป็นผลดีต่อตลาดการลงทุนทั้งหมด แต่ในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวน ถึงอย่างไรการที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์การลงทุนอื่นปรับฐานลงมาในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เพราะจากสถิติทุกปี เดือนกันยายนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด แต่หลังจากนั้นในไตรมาสที่สี่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี”
โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq หากมีการปรับฐานลงมา มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไออื่น ๆ เพราะภาพรวมของการประกาศผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้อง
กับเอไอ ยังคงทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดทั้งหมด รวมทั้งยังมองการเติบโตต่อในไตรมาสต่อไป แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเป็นไปตามภาวะตลาด
อาทิ หุ้น Nvidia ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า และรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ซึ่งรวมถึงโปรเซสเซอร์ AI เพิ่มขึ้น 154% จากปีที่ผ่านมา เป็นแรงหนุนสำคัญให้กับหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ
ขณะที่หุ้น Tesla นักลงทุนกำลังมองข้ามยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตลดลง และให้ความสำคัญกับการเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ Robotaxi หรือ แท็กซี่แบบไร้คนขับ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และทำกำไรให้กับ Tesla ในยุคต่อไป
ด้านสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายนสามารถที่จะทยอยเข้าลงทุนได้ เช่น ทองคำ และบิทคอยน์ จากสถิติที่ผ่านมา ปีที่เกิดการ Halving และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์จะจบการปรับฐานในเดือนกันยายนและจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดสามดือนสุดท้ายของปี และยังมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จึงสามารถทยอยเข้าสะสมได้ โดยมีแนวรับไม่ต่ำกว่า 49,000 ดอลลาร์
ทางด้านตลาดหุ้นไทย เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการได้รัฐบาลใหม่ การตั้งกองทุนวายุภักษ์ จนทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในแง่ทางเทคนิคมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,500 จุด ในปีนี้ เพราะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรไปจนถึงสิ้นปีนี้ได้ แต่หลังจากนั้นต้องจับตาการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ว่าจะทำให้จีดีพีสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง หรือไม่
“คาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดการลงทุนมีโมเมนตัมที่ดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะเริ่มต้นลดดอกเบี้ย หลังจากนั้นต้องมาติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะมีผลต่อสินทรัพย์ใดต่อไป”
SCB WEALTH เผยตั้งแต่ต้นปี 2566 เงินลงทุนทั่วโลกไหลเข้าตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดย money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ 5 ปีที่ผ่านมา เงินไหลเข้าประมาณ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากเฟดลดดอกเบี้ย เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐจะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แนะนักลงทุนหาจังหวะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ส่วนตลาดหุ้นแนะหาจังหวะช่วงปรับฐานทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปสามารถลงทุนต่อได้แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเหมือนปีที่ผ่านมา
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงช้ากว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อติดต่อกัน 6 เดือน คาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะค่อยๆ ลดลงและเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มั่นใจว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%ได้ หลังจากนั้น Fed จะกลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 2567 และรวมทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยประมาณ 3-4 ครั้ง โดยในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลง จะทำให้ผลตอบแทนของการถือครองเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับลดลง และผลตอบแทนไม่ได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น
“ในปี 2566 ที่ผ่านมา การถือเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 5.1% ดีกว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่ จากสถิติย้อนหลัง 30 ปี พบว่า เงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่นในปีที่เกิดวิกฤต แต่ในจังหวะที่เงินเฟ้อทรงตัว อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางเป็นขาลง เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สินทรัพย์เสี่ยงจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก ส่วนเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ดังนั้น เราจึงควรหาแนวทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นก่อนจะตกรถ” นายศรชัย กล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงต้นเดือน มี.ค. 2567 เงินลงทุนทั่วโลกยังคงไหลเข้าไปในตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดยในส่วนของ money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ หากนับรวมตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีเงินไหลเข้ามารวม 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว หมายความว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลง เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
สำหรับผู้ลงทุนที่นำเงินส่วนใหญ่พักไว้ใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมองว่าการลงทุนในตราสารการเงิน ซึ่งมีระยะเวลาสั้นๆ ยังให้ผลตอบแทนได้ดี ทำให้ไม่เคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดนั้น ในอนาคตผลตอบแทนระยะสั้นมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สินทรัพย์อื่นเริ่มปรับตัวดีขึ้นไปก่อนแล้ว ดังนั้น เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ผู้ลงทุนควรมองหาช่องทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ตราสารหนี้อายุประมาณ 1-3 ปี รวมถึงการเพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ มองว่า ตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ยังให้ผลตอบแทนสูง เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ และอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับลดลงในช่วง ไตรมาส 2-3 นี้ด้วย ส่วนการลงทุนในหุ้น พบว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ล้วนมีผลการดำเนินงานที่ดี ด้วยอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักในดัชนีค่อนข้างมาก เช่น ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ( YTD) ปรับขึ้นมาประมาณ 7-8% ผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่กลุ่ม 7 นางฟ้า ประมาณ 6% ส่วนที่เหลือไม่เกิน 2% เป็นผลตอบแทนของหุ้นอื่นๆ ในตลาด สะท้อนถึงการกระจุกตัวของผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนตลาดหุ้นยุโรป เมื่อดูจากดัชนี STOXX 600 พบว่า นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ปรับเพิ่มขึ้น 4.5% โดยเป็นผลการดำเนินงานจากหุ้นขนาดใหญ่ 7 ตัว เกือบ 4% มีเพียงส่วนน้อยที่เหลือที่มาจากหุ้นขนาดเล็ก
นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตลาดคาดหวังกับผลตอบแทนของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วค่อนข้างมาก และให้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่เป้าหมาย ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจมีการปรับฐาน จากการขายทำกำไร ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนให้เติบโตได้อีก และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ แม้นักลงทุนจะรับรู้ปัจจัยการลดดอกเบี้ยไปในราคาหุ้นแล้วก็ตาม ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตอาจจะปรับขึ้นไม่มากอย่างที่ผ่านมา ทำให้มองว่า นักลงทุนสามารถถือลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วต่อไปได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่สูงเช่นเดิม
สำหรับตลาดหุ้นในเอเชีย มองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ น่าสนใจ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ให้ผลตอบแทน 15-16% แต่ผลตอบแทนกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และเทคโนโลยีเป็นหลัก ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้จะปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นในรอบก่อนที่เคยทำสถิติสูงสุด พบว่า ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) มีความแตกต่างกัน โดยในครั้งนี้มีระดับ P/E ที่ต่ำกว่า ขณะที่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีมาตรการในการปฏิรูปธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้บริษัทนำเงินสดที่เก็บไว้จำนวนมากในงบดุล ออกไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะช่วยให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้ EPS สูงขึ้น และสามารถจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูงขึ้น ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นได้ เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ที่มี ROE มากกว่า 20% ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น เงินเฟ้อเริ่มปรับเพิ่มขึ้น การจ้างงานดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ ส่วนค่าแรงปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยให้การบริโภคในญี่ปุ่นดีขึ้น และจะส่งผลให้เกิดการลงทุนที่มาจากนักลงทุนญี่ปุ่นมากขึ้นตาม ดังนั้น เราจึงมองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจในระยะกลางถึงยาว เพียงแต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้นมามาก อาจจะมีการปรับฐานบ้าง นักลงทุนอาจรอจังหวะที่ตลาดปรับฐานเพื่อกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปัจจุบันยังมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำมากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจและมีเงินสดมากในงบดุล ซึ่งตลาดหุ้นเกาหลีใต้กำลังพยายามผลักดันการเพิ่มมูลค่าบริษัทคล้ายกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ผ่านการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุน นอกจากนี้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับวัฏจักรของการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น การส่งออกเกาหลีใต้ก็น่าจะฟื้นตัว ทำให้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดีขึ้น ส่วนกำไรต่อหุ้นก็
น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตามการส่งออก นอกจากนี้ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ก็ยังถูกอยู่ โดย P/E ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 10.6 เท่า หรือ -0.3 S.D. ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนส่วนเสริม สำหรับเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน ในไตรมาสที่ 2 นี้
EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์ เหลือ 6.00% ต่อปี เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทย สนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการหดตัวของการส่งออกตามปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลงจากสภาวะกีดกันทางการค้า
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจสนับสนุนธุรกิจการส่งออก การนำเข้า และการลงทุน ขานรับทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยความเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศในสภาวะที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จึงพร้อมช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนทางการเงินที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ซึ่งเทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ของธนาคารพาณิชย์ เหลือ 6.00% ต่อปี จากอัตราเดิม 6.125% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป
“EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างไม่สะดุด แม้ในภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง” นายพิศิษฐ์กล่าว