February 22, 2025

นายศรชัย สุเนต์ตา (กลาง) ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product  ธนาคารไทยพาณิชย์  นำทัพทีมผู้บริหาร SCB WEALTH  จัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025 โดยมีนางสาวรัฐยา ทองรัตน์  (ที่ 3 ขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน High Net Worth & Affluent Segment  นางสาวศลิษา หาญพาณิช  (ที่ 3 ซ้าย)  ผู้บริหารสายงาน Wealth and Insurance Capability Development และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน CASA Product  นายสุกิจ  อุดมศิริกุล (ที่2ขวา)  กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด  ดร. นิติ เนื่องจำนงค์  (ที่2 ซ้าย )ผู้อำนวยการอาวุโส  Wealth Planning  and Family Office ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์  (ที่1ขวา) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) น.ส.เกษรี อายุตตะกะ (ที่1 ซ้าย) CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO )  ร่วมแถลงข่าว พร้อมให้การต้อนรับสื่อมวลชน   ณ โรงแรมโซแบงคอก เมื่อเร็วๆนี้

นายศรชัย สุเนต์ตา เปิดเผยว่า การจัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts 2025 ในครั้งนี้ เพื่อต้องการมุ่งเน้นในการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุน  รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามองในปีนี้ พร้อมโซลูชั่นการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ที่สามารถให้คำแนะนำครบทุกองค์รวมของ SCB WEALTH Holistic เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ  SCB WEALTH ยึดมั่นในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งให้คำปรึกษาเพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายในทุกช่วง Stage of Life  เพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ  พร้อมส่งต่อมรดกและความมั่งคั่งให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดย SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0  และคาดว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศสหรัฐ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าปีนี้โต 2.4% รับผลกระทบการกีดกันการค้าจากสหรัฐ เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน ส่วน SCB CIO แนะตลาดหุ้นสหรัฐ โดดเด่นสุด ผลตอบแทนมีโอกาสเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดี แม้ Valuation แพง แนะลงทุนระยะยาว ในหุ้นกลุ่ม Quality Growth เกาะกระแส AI  ด้าน InnovestX แนะลงทุนแบบเก็งกำไร  ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,550 จุด จากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  

พร้อมเปิดโครงการ “ไทยพาณิชย์รวมใจไทยให้โลหิต” ประจำปี 2568

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ (Adrian Mazenauer) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ มีผลทันที

“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผู้ให้บริการธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ เพื่อนำทัพไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ สู่ผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรของเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้ นายเอเดรียน ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด

นายเอเดรียน มีประสบการณ์ และบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริหารระดับสูงให้กับหลายสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 25 ปี โดยร่วมงานกับ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2562 ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางที่สร้างสรรค์ในการวางแผนบริหารความมั่งคั่งให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย

ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายเอเดรียนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ รวมถึงนำทัพทีมดูแลลูกค้าและทีมปฏิบัติการของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ เพื่อสร้างการเติบโต และตอกย้ำบทบาทผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงของเมืองไทย

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจากทั่วโลกกว่า 25 ปี ผสานกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจด้านภูมิทัศน์การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความทุ่มเทในการทำงานของ นายเอเดรียน จะสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรในเมืองไทยที่สามารถดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นYour legacy. Our promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์”

มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชีย จูเลียส แบร์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เปิดเผยว่า “การแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับโลก และแนวทางในการบริหารงานแบบที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางของนายเอเดรียน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในฐานะผู้นำด้านบริหารความมั่งคั่งในภูมิภาค พร้อมทั้งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” 

SCB WEALTH นำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติของ SCB WEALTH Holistic จัดงาน SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ “Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025” วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การลงทุนปี 2568 พร้อมคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ได้ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน จากนโยบาย Trump 2.0 ที่กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน คาดปีนี้เฟดลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ด้านเศรษฐกิจไทยโต 2.4% รับผลกระทบการกีดกันการค้าจากสหรัฐ เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน พร้อมประเมินไทยปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 2% ส่วน SCB CIO แนะตลาดหุ้นสหรัฐ โดดเด่นสุด ผลตอบแทนมีโอกาสเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดี แม้ Valuation แพง แนะลงทุนระยะยาว ในหุ้นกลุ่ม Quality Growth เกาะกระแส AI ด้าน InnovestX แนะลงทุนแบบเก็งกำไร ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,550 จุด จากปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ Family officeพร้อมให้คำปรึกษาการลงทุนในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อความมั่งคั่งทางการเงินในอนาคต

คุณศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH จัดงาน SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ “Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025” เพื่อมุ่งเน้นให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องจับตามองในปี 2568 พร้อมโซลูชั่นการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ที่สามารถให้คำแนะนำครบทุกองค์รวมของ SCB WEALTH Holistic เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ SCB WEALTH ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งให้คำปรึกษาเพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายในทุกช่วง State of life  เพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ พร้อมส่งต่อมรดก และความมั่งคั่งให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน

ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2568 การขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน แม้แรงกดดันระยะสั้นจะลดลงตามทิศทางเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะส่งผลกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบาย Trump 2.0 ของสหรัฐฯ ที่จะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันการค้าโลกให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว แต่ปัญหาการเมืองในบางประเทศอาจเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ

ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินโลกในปี 2025 จะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยทั้งปี 125 BPS  และ 50 BPS  ตามลำดับ มากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 ที่เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่ำลงตามอุปสงค์โลกชะลอตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump

เศรษฐกิจไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 2.4% จากผลกระทบการกีดกันการค้ารุนแรงขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน นอกจากนี้ สงครามการค้ารอบใหม่จะทำให้ไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศจะมีปัจจัยกดดันมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไทยเติบโตชะลอลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มกระทบหลายประเทศ การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ในช่วงปีนี้ เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีความเสี่ยงหลายด้าน ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังฟื้นตัวจำกัด ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะใช้เวลาคลี่คลายส่งผลกดดันการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน  

SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับลดลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี อยู่ที่ 2% จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัวต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะขึ้นกับความจำเป็นในการเตรียมรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่จะเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 นี้ SCB CIO มองว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ท่ามกลาง 3 ประเด็นสำคัญ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนโลก ได้แก่

1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดการเงินโลก นโยบายที่สำคัญของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก่ นโยบายกีดกันผู้อพยพ การผ่อนคลายกฎระเบียบ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และการลดภาษีเงินได้ ซึ่งนโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น การผ่อนคลายกฎระเบียบและคุมการขาดดุลงบประมาณ อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสในสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อตลาดฯ เช่น ยืดอายุการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร่วมกับการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างมาก อาจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นและกระตุ้นเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ อาจผลักดันสกุลเงินดอลลาร์ สรอ.ให้แข็งค่ามากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของ Trump ที่ต้องการให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่า เพื่อสนับสนุนภาคการผลิต

2) ความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ยังหนืด จากผลกระทบของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำให้อาจปรับลดดอกเบี้ยได้ช้าลง และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯ ตัวสั้นมีโอกาสปรับลดได้น้อยลง ขณะที่ Bond Yield ตัวยาว มีโอกาสเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield Curve) ชันมากขึ้น ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ตัวสั้น ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้น น้อยกว่าตราสารหนี้ตัวยาว อย่างไรก็ตาม หากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น เช่น กรณีที่มีการตอบโต้ทางการค้ากันรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น และส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลงได้

3) กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทิศทางการเงินการลงทุน AI กำลังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI เช่น ศูนย์ข้อมูล ระบบประมวลผล และแหล่งพลังงานที่สนับสนุน AI จะมีความสำคัญอย่างมาก โดยการลงทุนใน AI ไม่เพียงแต่จะสร้างโอกาสสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เช่น กลุ่ม Software แต่ยังครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กลุ่ม Utilities และการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ เมื่อเรียงลำดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั่วโลก พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นที่สุด มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และกระจายเป็นวงกว้างขึ้น แต่ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้ลงทุนระยะยาว โดยคัดเลือกหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่เกาะกระแส AI ผสมผสานกับกลุ่ม Defensive ที่รายได้และกำไรของบริษัท มีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจต่ำ ขณะเดียวกัน ก็สามารถหาโอกาสจากการลงทุนระยะสั้น ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ทางด้าน ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เผชิญปัจจัยกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น เงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า และความไม่แน่นอนบนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จึงอาจยังไม่น่าสนใจลงทุนในระยะสั้น แต่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไทย ในส่วนของ ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชายขอบที่มีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ สามารถหาโอกาสลงทุนในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยท้าทายที่ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้มากขึ้น SCB CIO จึงแนะนำให้ ลดความเสี่ยงให้พอร์ต โดยลงทุนระยะยาวในหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ ที่มี Duration สั้น yield ยังน่าสนใจ พร้อมแบ่งเงินส่วนหนึ่งลงทุนใน REITs / สินทรัพย์ผสม เพื่อสร้างกระแสเงินสด นอกจากนี้ แนะนำลงทุน ทองคำ ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และสงคราม

คุณสุกิจ  อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด  เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนใน ปี 2025 จะมี “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปี 2025 คือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” จากความท้าทายสำคัญในปี 2025 ได้แก่ 1) นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า 2) ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูลข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก หากพิจารณาจากพฤติกรรมของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นายอีลอน มัสก์ ที่มักจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร 3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯแม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation ของหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี 4) เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับ 2 ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และ ผลกระทบจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และ 5) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Currency war ตามมา ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

ในปี 2568 ประเมินเป้าหมาย SET Index ที่ 1,550 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่น จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิเช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการแพทย์และกลุ่มพาณิชย์ สำหรับหุ้นแนะนำแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) Value stock  ได้แก่หุ้น AOT,BBL  และ CPALL  2) Dividend stock  ได้แก่หุ้น AP,BCP  และ LHHOTEL  3) Laggard stock   ได้แก่หุ้น BCH,GPSC  และ HMPRO  และ 4) Mid-small cap growth  ได้แก่ หุ้น AMATA , AU  และ INSET

ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส  Wealth Planning and Family Office  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2024 ต่อเนื่องมายังปี 2025 ทางลูกค้ากลุ่ม Wealth และ Family Business ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารจัดการและการส่งต่อทรัพย์สินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการวางแผนการส่งต่อธุรกิจครอบครัว (กงสี) การวางโครงสร้างและการลงทุนการขยายกิจการในธุรกิจใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการสะสมความมั่งคั่งและการวางแผนเพื่อการส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปทั้งในด้านความมั่งคั่งของครอบครัวและธุรกิจครอบครัว ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้บริการแก่ลูกค้าในรูปแบบ Holistic Solutions ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ช่วงอายุไม่ว่าจะในด้านการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation) การดูแลให้คำแนะนำในด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อการส่งต่อของธุรกิจครอบครัวและมรดก (Wealth Planning and Wealth Transfer)

สำหรับบริการของ Wealth Planning and Family Office  เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของลูกค้าทำหน้าที่เป็น Family Office เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) ในแต่ละช่วงวัยและแต่ละบริบทชีวิตในด้านการดูแลให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินการส่งต่อธุรกิจครอบครัวและมรดกในรูปแบบการแนะแนวทาง (Navigate) การดูแลอำนวยความสะดวก (Facilitate) และให้คำแนะนำในเบื้องต้น (Initial Advice) ให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยครอบคลุมในทุกๆ รุ่น อาทิ การวางรากฐานแนวความคิดของครอบครัว แนวการดำเนินการธุรกิจครอบครัวและการเชื่อมต่อจากรุ่นสู่รุ่น ธรรมนูญครอบครัว สัญญาก่อนสมรส บัญชีทรัพย์สิน พินัยกรรม พินัยกรรมชีวิต กลไกการขจัดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวโดยคนกลางผ่านกระบวนการประนีประนอม (Mediation) หรือการระงับข้อพิพาทโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ในด้านธุรกิจครอบครัว (Family Business) จะเป็นการให้คำแนะนำในด้านการวางแผนจัดตั้งบริษัท Holding การจัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุน การต่อยอดในธุรกิจเดิมและการขยายในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) การวางแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO : Initial Public Offering)  การควบรวมกิจการ (M&A) การวางแผนเพื่อการปกป้องกันธุรกิจครอบครัวไม่ให้ตกเป็นของบุคคลภายนอก หรือการวางกลยุทธ์สำหรับการออกจากธุรกิจเดิมไปยังธุรกิจใหม่ การวางแผนประกันชีวิตและภาษีเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่ง และภาษีรับมรดก รวมถึงภาษีที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ เป็นต้น

ในด้านบริการของ Wealth Planning and Family Office ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวของลูกค้า (Family Members Resource) ทุกๆ ท่านเพื่อช่วยในการวางรากฐานและการส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวในทุกๆ รุ่น โดยเฉพาะการตระเตรียมสำหรับทายาทในกลุ่ม Gen Alpha และ กลุ่ม Gen Beta เพื่อรองรับการส่งต่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นหลักการพื้นฐานของครอบครัวทั้งทางความคิด วัฒนธรรม ค่านิยม หลักคุณธรรม จริยธรรม ความเชื่อที่ครอบครัวยึดถือสำหรับปฏิบัติระหว่างสมาชิกครอบครัวและต่อสังคมตามหลัก ESG (Environment, Social, และ Governance) การกำหนดนโยบายและแผนการส่งต่อทรัพย์สินและสืบทอดตำแหน่งสำคัญๆ ของธุรกิจครอบครัว การกำหนดหน้าที่สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งข้อกำหนดว่าห้ามสมาชิกในครอบครัวทำเรื่องใดบ้าง สวัสดิการของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งธรรมนูญครอบครัว สัญญาผู้ถือหุ้น พินัยกรรม หรือเอกสารใดๆ เป็นเครื่องมือช่วยในการวางกฎระเบียบการส่งต่อเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คือการวางรากฐานทางความคิดจิตวิญญาณและการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างสมาชิกในครอบครัวจนมีการหล่อหลอมกลายเป็นเสาหลักที่เข้มแข็งจนกลายเป็นความมั่งคั่งทางความคิดของสมาชิกในครอบครัว เพื่อก่อให้เกิดความสามัคคีของสมาชิกในครอบครัวทุกๆ รุ่นที่จะช่วยกันดูแลความมั่งคั่ง ทรัพย์สินและธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยั่งยืน        

การประกาศใช้ข้อกำหนดใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ทั้ง Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ว่าด้วยการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และ Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) ว่าด้วยการสอบทานด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้ผู้บริโภคในยุโรปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทหรือองค์กรในยุโรปรวมถึงบริษัทต่างชาติที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานได้ภายในปี 2569 นั้นจะส่งผลกระทบต่อโรงแรมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อรับกติการักษ์โลกของ EU ภายในปี 2569 เนื่องจากโรงแรมและที่พักของไทยกว่า 2 หมื่นแห่งขายห้องพักบน Booking.com ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์รวมถึง Agoda ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การบริหารของบริษัทแม่เดียวกัน (Booking Holdings) ที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด CSRD และ CSDDD โดยทาง Booking.com และ Agoda ได้ขานรับข้อกำหนดของ EU พร้อมส่งเสริมโรงแรมทั่วโลกที่ขายห้องพักบนแพลตฟอร์มให้ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล อย่างเช่น Greenkey, Green Globe, Travelife, EarthCheck, GSTC และรวมถึง Green Hotel Plus ของไทยที่ได้รับ GSTC-Recognized Standard นอกจากนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวยังรวมไปถึงบริษัททัวร์ในยุโรปที่ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งนี้จากข้อมูลโครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในไตรมาส 3 ปี 2567 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า 56% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยนิยมจองโรงแรมและที่พักผ่าน OTAs และ 35% ของนักท่องเที่ยวยุโรปจองโรงแรมและที่พักผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่าข้อกำหนดใหม่นี้จะส่งผลกระทบกับธุรกิจโรงแรมไทยที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนในแต่ละปี โดยราว 20% เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป ขณะที่โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางของความยั่งยืน จากการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมทั่วโลกของ The Department for Environment, Food & Rural Affairs (DEFRA) ของสหราชอาณาจักร พบว่า ในปี 2566 โรงแรมไทยยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ค่อนข้างสูงที่ 43.4 kgCO2e per occupied room เมื่อเทียบกับ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิตาลี และฝรั่งเศส

 

โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก้าวสู่ความยั่งยืน สะท้อนจากจำนวนโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ราว 100 แห่งหรือมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของโรงแรมและที่พักในไทยทั้งหมด อีกทั้งยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยกว่า 60% เป็นโรงแรมเชนทั้งในเครือเชนต่างประเทศและเชนไทย ซึ่งเส้นทางสู่ความยั่งยืนของโรงแรมไทยยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการทั้ง 1) ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์ในระยะยาวของการเป็นโรงแรมยั่งยืน 2) ความพร้อมในด้านเงินทุน บุคลากร ที่ปรึกษา และการเก็บข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบเนื่องจากธุรกิจโรงแรมเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ไม่นาน และ 3) แรงกระตุ้นที่จะผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทั้งจากนโยบายภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจากเทรนด์ของนักท่องเที่ยว

ก้าวสำคัญ (3T) ที่จะช่วยให้โรงแรมยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง

· Target : การกำหนดเป้าหมายสู่ความยั่งยืนภายใต้กรอบเวลาและแผนงานที่ชัดเจน รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งธุรกิจโรงแรมอาจกำหนดเป้าหมายระยะสั้นควบคู่ไปกับเป้าหมายระยะยาว

· Teamwork : การสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้แก่พนักงาน Supplier ไปจนถึงผู้เข้าพัก ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการก้าวสู่ความยั่งยืนร่วมกันด้วย

· Transform : ธุรกิจโรงแรมอาจเริ่มต้นจากการปรับลดการใช้พลังงานและทรัพยากร รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง แล้วจึงวางแผนเพิ่มการลงทุนในพลังงานทดแทนหรือปรับปรุงอาคารเขียวเมื่อมีความพร้อม

การก้าวข้ามข้อจำกัดและการเสริมความแข็งแกร่งด้านความยั่งยืนต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ

· การยกระดับเป้าหมายความยั่งยืนไทย ด้วยการผลักดันให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องโจทย์ด่วนไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกของธุรกิจผ่านการออกข้อกำหนด/มาตรการการบังคับใช้เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเห็นความสำคัญในการก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมด้านความยั่งยืนให้กับสังคม

· การพิจารณาจัดตั้งกองทุนความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการดำเนินการด้านความยั่งยืนเพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งอาจครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนเงินทุนในการยื่นขอรับใบรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล

· การออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านความยั่งยืน อย่างเช่นการออกสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การฝึกอบรมบุคลากร หรือการขอใบรับรองมาตรฐานในระดับสากลเพื่อกระตุ้นให้โรงแรมไทยหันมาลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น

 

บทวิเคราะห์   :  ดร. กมลมาลย์ แจ้งล้อม  

                      นักวิเคราะห์อาวุโส  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ( SCB ) 

 

Page 1 of 22
X

Right Click

No right click