

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสู่โลกการค้ายุคใหม่ ในงาน "เสริมแกร่งทัพการค้าไทย ด้วยบริการดิจิทัล ยุค AI" เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ เป็นประธานเปิดงานและเป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU 2 ฉบับ ได้แก่ 1) การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยด้านการค้า ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระห่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลด้านการค้าร่วมกัน โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ 2) การเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานและข้อมูล SMEs ระหว่าง DITP และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ SMEs ไทยในการเข้าถึงบริการระหว่าง 2 หน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งนี้ ตั้งเป้าพัฒนา AI Chatbot แล้วเสร็จในปี 2569

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวงที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI สาขา Generative AI จะเป็น change agent สำคัญของโลกการค้ายุคใหม่ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้าแก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ประกอบการซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพทางเศรษฐกิจ สามารถต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ ท่ามกลางตลาดโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความท้าทายที่ต้องปรับตัวได้เร็ว เพื่อต้องชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่สามารถทะลายไซโลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรมของกระทรวง โดยมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานเดียวกันแก้ pain point ของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำการค้าได้ครบถ้วน”

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เสริมว่า “การพัฒนา AI Chatbot ครั้งนี้มุ่งยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า ช่วยลดอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยี ทลายข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลกฎระเบียบการค้าที่มีปริมาณมาก ซับซ้อนเข้าใจยาก กระจัดกระจายหลายแหล่ง และเป็นภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ ช่วยให้ SMEs ไทยก้าวทันข้อมูลแนวโน้มความต้องการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้ง AI Chatbot จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลา กำลังคนและทรัพยากรในการวิเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกรายเดิม และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่งออกรายใหม่ นอกจากนี้ AI Chatbot จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการค้าของ DITP และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีผู้ขอรับข้อมูลคำปรึกษารวมกัน 180,000 – 200,000 ครั้งต่อปี
นางสาวสุนันทา กล่าวต่อว่า “DITP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ AI Chatbot จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ร่วมดำเนินการร่วมกับ DITP นอกจากนี้ ยังมีทีม Hackathon อีก 2 ทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท เวสเทิร์น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาช่วยพิสูจน์แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาต้นแบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า โดยใช้โมเดล AI ที่แตกต่างกันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะคัดเลือกโมเดลที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป”

สำหรับ MOU ฉบับที่ 2 เป็นความร่วมมือในการเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานระบบดิจิทัลและข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ระหว่างระบบ DITP Single Sign-on (DITP SSO) กับ SME One ID ของ สสว. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานระบบของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย ให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร ไร้รอยต่อ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ช่วยลดความยุ่งยากในการเข้าถึงบริการภาครัฐ และยังมีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของทั้งสองหน่วยงานได้รวม 18 บริการ
พร้อมกันนี้ DITP ยังได้เปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ล่าสุดอีก 2 ระบบ ได้แก่ โมบายแอปพลิเคชัน DITP ONE ที่รวบรวมบริการดิจิทัลของกรมไว้ในที่เดียวในลักษณะ One Stop Service เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลที่นิยมใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบ DITP My Scores ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ความพร้อมและศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ และจะได้รับคำแนะนำกิจกรรมหรือบริการที่เหมาะสม เพื่อยกระดับศักยภาพทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด

“DITP ได้พัฒนาบริการดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลและบริการได้สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการของผู้รับบริการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านราย แต่ยังเป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล และคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็น 1 ใน 3 ของโลก ภายในปี 2570 อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป
เดินหน้าขยายพื้นที่ THAIFEX – ANUGA ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รองรับผู้ร่วมงานที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผู้จัดงานหลัก ผนึกกำลัง สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ผู้ร่วมจัดงาน และคณะกรรมการอำนวยการทั้งภาครัฐและเอกชน แถลงข่าวการจัดงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 วันที่ 9-13 กันยายนนี้ ณ ศูนย์สิริกิติ์ คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ประธานงานแถลงข่าวเปิดเผยว่า “งานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair จัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี ถือเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญของกรม ภายใต้ยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุก เพื่อเป็นเวทีการค้าระดับนานาชาติ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจจากทั่วโลกได้พบและเจรจาการค้า ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตร ขยายโอกาสทางธุรกิจ และเกิดความร่วมมือระหว่างกันแบบครบวงจร กำหนดจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าสำคัญของโลก และเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

“บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 72 นี้ จัดแสดงเต็มพื้นที่ฮอลล์ 1-8 ของศูนย์สิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 งานนี้มีผู้เข้าร่วมงาน (Exhibitor) 1,104 บริษัท 2,628 คูหา คาดการณ์ผู้เข้าชมงาน (Visitor) จากทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจงานครั้งที่ผ่านมา พบว่าความพึงพอใจภาพรวมการจัดงานในระดับดีเยี่ยม และพึงพอใจงานบางกอกเจมส์เป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับงานสำคัญทั่วโลก ปัจจุบันงานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นในทุกมิติอย่างเห็นได้ชัด และได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อผู้นำเข้าทั่วโลกว่าเป็น 1 ใน 4 งานแสดงที่สำคัญของโลก รวมถึงเป็นแหล่งค้าพลอยสีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย” อธิบดีสุนันทา กล่าวเสริม
ด้านนายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT พันธมิตรร่วมจัดงานสำคัญของ DITP กล่าวว่า “ความสำเร็จของงานบางกอกเจมส์ในวันนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อมั่นที่ผู้ซื้อทั่วโลกมีต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย โดยในช่วงที่ผ่านมางานบางกอกเจมส์ได้ต้อนรับแบรนด์จิวเวลรี่ดังระดับโลกหลากหลายแบรนด์ ถือเป็นการตอกย้ำความสำคัญของงานได้อย่างดี และการจัดงานครั้งที่ 72 ยังคงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้แสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราจะขยายพื้นที่จัดแสดงบริเวณ Foyer ชั้น LG ตั้งแต่ครั้งที่ 71 ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรองรับได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 2,600 คูหา แต่ยังคงมี waiting list”

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้กล่าวถึงกิจกรรมภายในงานครั้งที่ 72 ว่า “เราได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนาองค์ความรู้ด้านการตลาดและเชิงเทคนิค กิจกรรม Networking reception เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดนิทรรศการเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมจิวเวลรี่ไทย ตลอดจนการจัดประชุมของหน่วยงานพันธมิตรระดับโลก โดยในครั้งนี้สภาทองคำโลก ได้ร่วมกับ สถาบัน GIT และสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย จัดงานประชุม “Thailand Gold Forum” ภายในงานบางกอกเจมส์ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมคู่ขนานที่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุกของ DITP อีกด้วย”

สำหรับการส่งออกกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไม่รวมทองคำแท่ง ในปี 2567 สามารถทำรายได้เข้าประเทศถึง 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) เติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 63 หรือคิดเป็นมูลค่า 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และพลอยสี โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อินเดีย ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวตลอดปี 2568 คาดว่าจะทะลุเป้าส่งออกร้อยละ 5 แน่นอน

งาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ภายในงาน ยังมีกิจกรรมพิเศษ และกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอีกมากมาย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี ประกาศจัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” ในวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการได้มาค้นหาสินค้าและนวัตกรรมอาหาร สร้างโอกาสทางธุรกิจ และเปิดมุมมองใหม่ทางธุรกิจ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารโลก ภายใต้นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกของกระทรวงพาณิชย์ เปิดเจรจาธุรกิจทั้ง 5 วัน และเปิดให้ประชาชนเข้าชมและซื้อสินค้าในวันสุดท้าย
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งจากความหลากหลายของวัตถุดิบ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ และความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับตัวได้อย่างสอดคล้องกับตลาดโลก จากจุดแข็งดังกล่าว รัฐบาลจึงเดินหน้านโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านอาหารของภูมิภาค
ในส่วนของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันการค้าไทยสู่ตลาดโลก ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยกว่า 700 กิจกรรม โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้ารวมกว่า 92,000 ล้านบาท และช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 260,000 ราย โดยมีทูตพาณิชย์ 58 แห่งทั่วโลกทำงานเชิงรุก ติดตามสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ได้ยกระดับโครงการ Thai SELECT ที่มี 1,779 แห่งทั่วโลก โดยจะปรับเกณฑ์การรับรองเป็นระบบดาวผ่านสัญลักษณ์รูปดอกกล้วยไม้

“งาน THAIFEX – ANUGA ASIA ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของกรมฯ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงศักยภาพ เจรจาธุรกิจ และเรียนรู้แนวโน้มอุตสาหกรรมระดับโลก ภายในงานจะมีทั้งการแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่กับกิจกรรมให้ความรู้ เวิร์กชอป และการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก” นางสาวสุนันทนา กล่าว
สำหรับ THAIFEX - ANUGA ASIA 2025 มีกระแสตอบรับที่ดีมาก ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ารวม 3,233 บริษัท 6,205 คูหา จากประเทศไทยและอีกกว่า 56 ประเทศทั่วโลก นำสินค้ามาจัดแสดงอย่างครบครัน ทั้งเครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป เทคโนโลยีอาหาร อาหารแช่แข็ง ผักและผลไม้ เนื้อ ข้าว อาหารทะเล ขนมและของขบเคี้ยว โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงาน (trade visitor) ตลอดทั้ง 5 วัน กว่า 90,000 ราย จากทั่วโลก คาดการณ์มูลค่าการสั่งซื้อสินค้าทันทีและการสั่งซื้อสินค้าภายใน 1 ปี รวมกว่า 98,000 ล้านบาท
“จากความร่วมมือของพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศอย่างหอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี จะทำให้งาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2025 เป็นมากกว่างานแสดงสินค้า แต่จะเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางธุรกิจระดับภูมิภาค และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นางสาวสุนันทา กล่าว
ดร.กฤษณะ วจีไกรลาศ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า THAIFEX - ANUGA ASIA ถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ขยายตลาดอาหารและเครื่องดื่มสู่เวทีนานาชาติ โดยปัจจุบันประเทศไทยครองอันดับ 12 ของโลกด้านการส่งออกอาหาร และมีแนวโน้มว่าการส่งออกอาหารในปี 2568 จะมีมูลค่าถึง 1,750,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากปีก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการส่งออกอาหารของโลก

THAIFEX – ANUGA ASIA ในฐานะงานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทย ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการ SME สตาร์ตอัป และบริษัทขนาดใหญ่ ให้สามารถเชื่อมโยงกับผู้นำเข้า ผู้ซื้อ และพันธมิตรทางธุรกิจจากทั่วโลก โดยในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 1,184 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการ SME มากกว่า 500 ราย ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดระหว่างประเทศ ทั้งยังมีผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้าร่วมอีกกว่า 2,000 ราย จากภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ เอเชียตะวันออก อาเซียน ยุโรป สหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา และแอฟริกา
สำหรับ THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ปีนี้ เน้นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยเข้ากับเมกะเทรนด์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ Plant-Based, Sustainable Products, Functional Foods และสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดยุโรปและจีน ผู้ประกอบการจะมีโอกาสนำเสนอนวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถต่อยอดสู่ตลาดสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ SME รายหนึ่งเข้าร่วมงานด้วยบูธขนาดเล็ก แต่สามารถคว้ารางวัล THAIFEX – ANUGA tasteInnovation Award จากงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 และได้นำตรารางวัลไปต่อยอดสร้างแบรนด์จนสามารถปิดดีลกับผู้ซื้อจากอินเดียได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่า THAIFEX – ANUGA ASIA ไม่เพียงเป็นเวทีการเจรจาธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการไทยในการก้าวสู่เวทีโลก” ดร.กฤษณะ กล่าว
นายแมธเธียส คูเปอร์ กรรมการผู้จัดการและรองประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก โคโลญเมสเซ่ ย้ำถึงบทบาทเชิงกลยุทธ์ของงาน THAIFEX - ANUGA ASIA ในฐานะศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับการพบปะและเชื่อมโยงธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก โดยกล่าวว่า “จุดเด่นที่ทำให้ THAIFEX – ANUGA ASIA แตกต่าง คือความสามารถในการสะท้อนภาพพฤติกรรมผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเป็นแรงผลักดันให้นวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง”
สำหรับงานปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้นำในอุตสาหกรรมที่กลับมาเข้าร่วมงานจากทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันยังได้ต้อนรับผู้จัดแสดงสินค้ารายใหม่จากเอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก อาทิ สโลวีเนีย คีร์กีซสถาน และสโลวาเกีย โดยบูธแสดงสินค้าทั้งหมดถูกจองเต็มล่วงหน้า พร้อมรายชื่อผู้รอคิวเข้าร่วมงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความต้องการที่สูงเกินกว่าพื้นที่ที่มี และตอกย้ำความสำคัญของงานในฐานะแหล่งจัดหาสินค้าและเครื่องชี้วัดเทรนด์สำคัญของภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีการเพิ่มพาวิลเลียนใหม่จากออสเตรเลีย ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์ เพื่อขยายโอกาสในการจัดซื้อให้แก่ผู้ซื้อจากทั่วเอเชียแปซิฟิก
การมีส่วนร่วมจากผู้ซื้อในปีนี้จะขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยเกือบ 80% ของผู้เข้าร่วมในโครงการ Hosted Buyer Programme เป็นผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งจากภูมิภาคอินโดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงผู้ค้าปลีกชั้นนำระดับโลก อาทิ AEON (ญี่ปุ่น), Angliss (ฮ่องกง) และ Choithrams (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เป็นการตอกย้ำบทบาทของ THAIFEX – ANUGA ASIA ในการเป็นประตูเปิดสู่ตลาดใหม่ และส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจข้ามพรมแดนในระดับภูมิภาค
สำหรับกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมสนับสนุนในปีนี้จะเน้นการแสดงนวัตกรรมผ่านการจัดแสดงเฉพาะทาง อาทิ THAIFEX – ANUGA tasteInnovation Show, THAIFEX – ANUGA Startup, THAIFEX – ANUGA Trend Zone ที่ร่วมมือกับ Innova Market Insights, Future Food Experience+, การแข่งขัน Alternative Protein Taste & Flavour Challenge และโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาลและออร์แกนิก โดยทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย ทั้งในด้านเทคโนโลยี AI, โภชนาการจากพืช และอาหารเพื่อสุขภาพที่สนับสนุนการนอนหลับ การทำงานของสมอง และคุณภาพชีวิตโดยรวม
“ในขณะที่เอเชียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางชองเทรนด์อาหารระดับโลก งาน THAIFEX – ANUGA ASIA จึงเปรียบเสมือนหน้าต่างสำคัญที่เปิดให้เห็นนวัตกรรมซึ่งกำลังเปลี่ยนไปทั้ง ‘สิ่งที่เราบริโภค’ และ ‘เหตุผลที่เราบริโภค’ ” นายคูเปอร์ กล่าว
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) โทร.1169 หรือ www.ditp.go.th และลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ https://registration.thaifex-anuga.com/el/9An5Wm เจรจาธุรกิจวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-18.00 น. เจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกสำหรับประชาชนทั่วไป ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี