

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ จับมือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย เปิดตัวโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุนอย่างเป็นทางการ และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาเชิงรุกผลิตกำลังคนทักษะสูงตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม และภาคการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานในพิธี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าว ในนามของกระทรวงศึกษา รู้สึกยินดียิ่งที่ร่วมเปิดโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน Vocational Education Upskill (VOC-UP: ยกระดับอาชีวะไทย อัปสกิลกำลังคนไทยสู่อนาคต) ซึ่งมีเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย นับก้าวสำคัญของการศึกษา และการยกระดับการจัดอาชีวศึกษาให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเรียนสายอาชีพเพื่อการมีงานทำ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การฝึกอบรม Upskill – Reskill – New Skill ให้กับครู และนักเรียน นักศึกษา รวมถึงการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตรงตามความต้องการของเศรษฐกิจใหม่โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ร่วมพัฒนา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Advanced Electronics), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), โลจิสติกส์ และสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งมีความต้องการกำลังคนในระดับช่างเทคนิคและวิศวกรจำนวนมาก
รมช.ศธ. กล่าวต่อไปว่า โครงการ VOC-UP จึงนับเป็นต้นแบบความร่วมมือที่สร้างกำลังคนคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน การพัฒนากำลังคนให้มีทักษะที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ของประเทศผ่าน การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการทำงานจริงอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิด‘สร้างคน สร้างงาน’ จึงทำให้โครงการ VOC-UP มีการจ้างงานทันที 1,875 อัตรา และไม่น้อยกว่า 3,000 อัตรา ตลอดระยะเวลา 5 ปีของโครงการ
นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมงานเปิดโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน “VOC-UP” โดยนายวิทวัต ปัญจมะวัต กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานในการผลิตและพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อการพัฒนาประเทศ ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว การจัดอาชีวศึกษายุคใหม่จึงต้องเน้นการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน และบูรณาการการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและการฝึกประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งเป็นรูปแบบการศึกษาที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมเข้าสู่สถานประกอบการอย่างแท้จริง ความร่วมมือระหว่าง สอศ. BOI และสถานประกอบการ 6 แห่ง ภายใต้แนวคิด VOC-UP ครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเชิงระบบ ครอบคลุมการออกแบบหลักสูตร วางแผนการฝึกอบรม ไปจนถึงสร้างโอกาสทำงานทันทีหลังจบการศึกษา ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนที่ตรงสายงานของสถานประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน โดย สอศ. มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างกำลังคนอาชีวศึกษาคุณภาพสูงในระยะยาวและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
บีโอไอชี้โครงการ VOC-UP คือจุดเชื่อมสำคัญระหว่างภาคการศึกษา – กำลังคน – อุตสาหกรรม
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า หนึ่งในคำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในการพิจารณาเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีบุคลากรที่เพียงพอและตรงความต้องการหรือไม่” คำถามนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนกำลังคนเชิงรุกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม บีโอไอจึงได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และภาคเอกชน เดินหน้าโครงการ VOC-UP (Vocational Education Upskill ) ซึ่งเป็น “กลไกเชื่อมโยงที่สำคัญ” ระหว่างผู้เรียนอาชีวะ (กำลังคนในอนาคต) สถานศึกษา (ผู้ผลิตกำลังคน) และภาคอุตสาหกรรม (ผู้ใช้กำลังคน)
“บีโอไอ ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยประสานงานให้เกิดการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร บีโอไอเป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเข้ากับการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา เพื่อให้การผลิตกำลังคนเป็นไปอย่างตรงจุด ตรงกลุ่มมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของโลก และการลงทุนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยต้องการกำลังคนเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเทคนิคระดับสูงในระดับอาชีวศึกษากว่า 50,000 คน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะให้กับบุคลากรไทย และช่วยสร้างงานคุณค่าสูงในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการจากภาคเอกชนและสถานศึกษาอาชีวศึกษา 8 แห่ง เพื่อแสดงศักยภาพและนวัตกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคถลาง (สาขาอากาศยานและอากาศยานไร้คนขับ), วิทยาลัยการพาณิชย์นาวีนครศรีธรรมราช (สาขาพาณิชย์นาวี), วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ (สาขาปิโตรเคมี), วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (สาขาระบบขนส่งทางราง), วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ (สาขายานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ), วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น(สาขาการโรงแรมและธุรกิจการบิน), วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร และวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี
เซ็นทรัลพัฒนา ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ เชิญชวนเยาวชนทั่วไทยร่วมส่งประกวดคลิปสั้น “รักษ์โลก รักชุมชน” ประกอบเพลง ‘ลองมา(RE)’ ภายใต้โครงการ “เรียนดี มีความสุข สู่อนาคตที่สดใส”
สำหรับเพลง ‘ลองมา(RE)’ เป็นบทเพลงสนุกๆ ที่เชิญชวนให้เด็กรุ่นใหม่มีหัวใจรักษ์โลก ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้รักษ์โลกตามแนวคิด (RE)Lifestyle ด้วยวิธีการง่ายๆ อย่างการรีไซเคิลขยะเหลือใช้รอบตัว ลดการสร้างขยะโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะนำไปสู่ประโยชน์ทั้งในแง่การดูแลชุมชน การลดขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการสร้างรายได้พิเศษจากการนำขยะรีไซเคิลมาแลกพอยท์ ซึ่งได้ถ่ายทอดผ่านบทเพลงและมิวสิควีดิโอสนุกๆ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกของเรา
โครงการนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ปวช. และผู้เรียนในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ สวมบทบาทตามเนื้อหาในบทเพลง เต้น รวมถึงร้องเพลง ถ่ายทอดเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในบทเพลง ‘ลองมา(RE)’ ลงในวิดีโอคลิปความยาวระหว่าง 1 ถึง 2 นาที ที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับการเผยแพร่บน TikTok หรือ Facebook Reels พร้อมเผยแพร่คลิปวิดีโอลงบนแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยผู้ชนะจะได้เกียรติบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการและเซ็นทรัลพัฒนา พร้อมรับทุนการศึกษารวมมูลค่า 100,000 บาท จาก 8 รางวัล ได้แก่
สามารถส่งผลงานเข้าร่วมได้ทั้งในรูปแบบเดี่ยวหรือเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 10 คน และส่งได้ทีมละ 1 คลิป เริ่มเผยแพร่คลิปได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2568
ผลงานที่มียอด Social Engagement (Like, Share, Comment) แบบ Organic สูงที่สุดจำนวน 8 คลิปจากแต่ละประเภท จะเข้าสู่รอบสุดท้าย ได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์หรือแรงบันดาลใจ (50%) ความสนุก ความน่าสนใจ และการทำงานเป็นทีม (30%) และความสุภาพเหมาะสม ตรงตามกติกา (20%)
ติดตามมิวสิควิดีโอและบทเพลง “ลองมา(RE)” ได้ที่ https://youtu.be/5Z2HP0WR4ks ผู้สนใจสามารถติดตามกติกาการเข้าร่วม ได้ที่ https://www.centralpattana.co.th/en/shopping/shopping-update/event/1380 หรือFacebook: Central Pattana
มหาวิทยาลัยแมสซีย์ (Massey University) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในกระทรวงศึกษาธิการของไทย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อโอกาสในการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำจากนิวซีแลนด์ และกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (PCSHS) ในอนาคต
ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในระหว่างการมาเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ คริสโตเฟอร์ ลักซอน พร้อมด้วยคณะผู้แทนภาคธุรกิจจากประเทศนิวซีแลนด์ การมาเยี่ยมเยือนทางการทูตครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายโอกาสทางการค้า และเน้นย้ำนวัตกรรมที่สำคัญของนิวซีแลนด์ในภาคส่วนหลัก ๆ ได้แก่ การผลิตและเทคโนโลยี ตลอดจนความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา โดยรองศาสตราจารย์ แจน โธมัส และรักษาการแทน ร.ท.ธนู วงศ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ในนามของมหาวิทยาลัยแมสซีย์ และ สพฐ. เมื่อวันพุธที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา
ศาสตราจารย์โธมัสกล่าวว่า มหาวิทยาลัยแมสซีย์มีความยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศไทยผ่านบันทึกความเข้าใจ โดยระบุว่า “ความร่วมมือนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความเป็นเลิศในด้านการศึกษาและการวิจัย ด้วยการทำงานร่วมกับกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เราสามารถมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูนักเรียนและนักการศึกษาที่มีความสามารถรุ่นต่อไป เรากำลังปูทางไปสู่การแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมและโอกาสทางการศึกษาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในอนาคต"
บันทึกความเข้าใจระดับสูงนี้จะอนุญาตให้มีการทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงการเคลื่อนย้ายของพนักงานและนักศึกษา การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายอาจพบว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน
เครือข่าย PCSHS ประกอบด้วยโรงเรียน 12 แห่งที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ดูแลโดยสำนักความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ (ESEB) โรงเรียนแต่ละแห่งตั้งอยู่ครอบคลุมในสี่ภูมิภาคของประเทศไทย และเปิดรับสมัครนักเรียนที่มีพรสวรรค์ในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งนักเรียนทุกคนจะได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวนจากรัฐบาล
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกความเข้าใจนี้ ดร. คาเรน แอชตัน อาจารย์อาวุโสด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์ สาขามนุษยศาสตร์ สื่อ และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ของแมสซีย์ จะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมครูในประเทศไทยสำหรับโรงเรียมในเครือข่าย PCSHS โดย ดร. แอชตันจะจัดเวิร์คช็อปให้กับเหล่าครูจาก PCSHS จำนวน 40 คน รวมถึงการสัมมนาให้กับครู สพฐ. ในเดือนมิถุนายนนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวจะเน้นไปที่การสนับสนุนครูให้มีส่วนร่วมกับนักเรียนในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และเพิ่มขั้นตอนในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีการสื่อสารและโต้ตอบ เพื่อยกระดับการศึกษาในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป