December 05, 2025

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จับมือ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ลงนามในบันทึกข้อตกลง พิธีลงนามความร่วมมือ โครงการไลอ้อน-กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี ภายใต้โครงการพัฒนาวิชาการและโมเดลส่งเสริมสุขภาพช่องปาก : Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี ณ อาคารคิงบริดจ์ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่สะท้อนถึงเป้าหมายเดียวกัน ในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กไทย เริ่มต้นใน 13 จังหวัดนำร่อง ตอกย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กและประชาชนไทย สู่เป้าหมาย “เด็กไทยฟันดี ไม่มีฟันผุ”

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมอนามัยในฐานะหน่วยงานวิชาการหลักของกระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทสำคัญในการอภิบาลระบบส่งเสริมสุขภาพและสุขภาพช่องปากของประเทศ โดยการผนึกกำลังกับภาคเอกชนอย่างบริษัท ไลอ้อนฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการด้านสุขภาพช่องปากอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับภารกิจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมสุขภาพของเด็กและคนไทย

ทั้งนี้ โครงการไลอ้อน-กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี ภายใต้โครงการพัฒนาวิชาการและโมเดลส่งเสริมสุขภาพช่องปาก : Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี เป็นบันทึกข้อตกลงที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กและประชาชนไทย  มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการ ผ่านความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านวิชาการ การประชาสัมพันธ์สร้างกระแสสังคม และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและกลไกการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในกลุ่มเด็กอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ส่งเสริมกิจกรรม ฝึกทักษะผู้ปกครองแปรงฟัน ส่งเสริมกิจกรรมแปรงฟันในโรงเรียน โครงการ Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี จะเริ่มต้นใน 13 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงใหม่, ตาก, นครสวรรค์, นครนายก, เพชรบุรี, ฉะเชิงเทรา, กาฬสินธุ์, นครพนม, นครราชสีมา, ยโสธร, พังงา, นราธิวาส และกรุงเทพมหานคร โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 13 เดือน จะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2569 นอกจากนี้ ยังจะขยายผลโมเดลสุขภาพช่องปากไปยังทุกกลุ่มวัยในพื้นที่จัดบริการทันตกรรมโดยรถทันตกรรมเคลื่อนที่อีกด้วย

ด้านนายชาติ จันทร์วิจิตร ประธาน บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจคู่คุณธรรม พัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลากว่า 56 ปี เปิดเผยว่า ไลอ้อน ประเทศไทย มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยร่วมมือกับกรมอนามัย ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมด้านสุขภาพของประชาชนไทย นับเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สู่เป้าหมาย ‘เด็กไทยฟันดี ไม่มีฟันผุ’ ตามเจตนารมณ์ร่วมกัน ซึ่งบริษัท ไลอ้อนฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทันตกรรมป้องกัน สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย โดยมีโครงการต่าง ๆ อาทิ Lion Kodomo School Roadshow ที่ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 30 ปี เพื่อให้ความรู้ในการแปรงฟันและสร้างเสริมพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปากให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศ ปีละกว่าหนึ่งแสนคน โครงการไลอ้อนส่งเสริมการป้องกันและดูแลสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนทั่วไป โครงการบริหารช่องปากสำหรับผู้สูงวัยด้วยเทคนิค Kenkobi เป็นต้น โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นองค์กรธุรกิจคู่คุณธรรม ด้วยพันธสัญญาที่จะนำความดีสู่สังคม และพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภคทุกช่วงวัย

บริษัท ไลอ้อน มีเป้าประสงค์ ที่จะส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักในพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “ไลอ้อน - กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี” แล้ว ยังเปิดตัว โครงการ LION Smile Express ซึ่งปีนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 เป็นโครงการที่ทางไลอ้อนจัดรถทันตกรรมเคลื่อนที่มาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย ความทันสมัย เสมือนยกคลินิกทำฟันระดับพรีเมียมมาไว้บนรถ บริการตรวจฟัน เคลือบฟลูออไรด์ อุดฟัน ขูดหินปูน ออกให้บริการตามแหล่งชุมชน โรงเรียน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจ การดูแล และรักษาปัญหาในช่องปากได้ อาทิ กลุ่มเด็กเล็กในโรงเรียน กลุ่มเด็กด้อยโอกาส ผู้บกพร่องทางร่างกาย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยในภาวะพึ่งพิง ชาวบ้านในชุมชนแออัด เป็นต้น

โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการ LION Smile Express ได้ออกให้บริการใน 31 สถานที่ 9 จังหวัด และให้บริการกลุ่มเป้าหมายถึง 2,687 คน โดยในปีนี้มีแผนจะออกให้บริการควบคู่กับการขยายผลโมเดลการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากไปยังทุกกลุ่มวัยในพื้นที่จัดบริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ เพื่อเพิ่มความรอ และสร้างสังคมแห่งสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

จากสถานการณ์ภาวะหัวใจล้มเหลวในประเทศไทยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี และได้คร่ากว่าหลายล้านชีวิตทั่วโลก สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข Service Plan สาขาโรคหัวใจ และแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ผนึกกำลัง เปิดตัว “โครงการความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวแบบครบวงจร (Collaborative Excellence in Heart Failure Management)” โครงการนี้มุ่งจัดตั้งดัชนีชี้วัดการบริการและรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างเป็นระบบ พร้อมยกระดับมาตรฐานการรักษา และพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากร พร้อมเดินหน้าสร้างเครือข่ายการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยากร ตลอดจนผลักดันระบบสาธารณสุขไทยให้มั่นคงและยั่งยืน

พล.ต.ต. นพ. เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “โรคหัวใจเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยทั่วโลกพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งร้อยละ 85 ของการเสียชีวิตเกิดจากอาการหัวใจล้มเหลวและโรคหลอดเลือดสมอง โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 50% ภายใน 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัย และจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยชาวเอเชียที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวมักมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ป่วยชาวตะวันตกประมาณ 10 ปี สะท้อนให้เห็นว่าภาวะหัวใจล้มเหลวอาจเป็นภัยคุกคามที่มีความรุนแรงมากกว่าในประเทศแถบเอเชีย นอกจากอัตราการเสียชีวิตที่สูงแล้ว โรคหัวใจยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดภาวะทุพพลภาพทั่วโลก

ดังนั้นโรคหัวใจจึงเป็นหนึ่งในความท้าทายด้านสาธารณสุขที่ต้องการการสนธิกำลังจากทุกภาคส่วน ในการพัฒนาแนวทางที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ที่จะช่วยป้องกันและดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว แม่นยำ และการให้การบริบาลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่จะช่วยควบคุมระดับความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ ในโอกาสนี้ทางสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข Service Plan สาขาโรคหัวใจ และภาคเอกชนอย่างแอสตร้าเซเนก้า ประเทศไทย ในการดำเนินโครงการความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวแบบครบวงจร (Collaborative Excellence in Heart Failure Management) โดยการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ การกำหนดดัชนีชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคนไข้ภาวะหัวใจล้มเหลว ตามแนวทางมาตรฐานการวินิจฉัยและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายในการลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งจะนำร่องโดยการจัดการอบรมใน 4 เขตสุขภาพทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ เขตสุขภาพ 1, 6, 7, และ 11 ภายในปลายปี 2568 และมีแผนที่จะนำมาโครงการมาใช้ทั่วประเทศหลังจากนี้”

 

นพ. สิทธิลักษณ์ วงษ์วันทนีย์ รองผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ เลขานุการ Service Plan สาขาโรคหัวใจกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “ในประเทศไทยพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 2.5 แสนราย และเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 4 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน1 แม้สถานการณ์โรคหัวใจในปัจจุบันจะดูน่ากังวล แต่ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้เดินหน้าตามนโยบายสาธารณสุขในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาและเผยแพร่สื่อการเรียนการสอนเพื่อติดองค์ความรู้ให้กับประชาชน การวางนโยบายสาธารณสุขและการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการเข้าถึงสายด่วนเจ็บป่วยฉุกเฉิน 1669 ที่พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที

สถานการณ์โรคหัวใจนับเป็นวาระด้านสุขภาวะแห่งชาติที่จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง แต่ยังส่งผลกระทบต่อประเทศในองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นต่อระบบสาธารณสุข ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ความร่วมมือของทั้งสามภาคีพันธมิตรในครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญทางสาธารณสุขที่ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอย่างยั่งยืน แต่ยังสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติในการเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบสาธารณสุขไทยให้มีความมั่นคง ยั่งยืน เข้าถึงประชาชนทุกคน”

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า “แอสตร้าเซนเนก้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบริษัทที่ต้องการอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี โดยแอสตร้าเซนเนก้าจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรอย่างใกล้ชิดในการสนับสนุนทรัพยากร เพื่อเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการอบรมองค์ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกับแผนเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ตลอดจนสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบสาธารณสุขในประเทศไทยเพิ่มความมั่นคงและยั่งยืน”

ภายในงานยังมีการจัดเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ นำโดย ศาสตราธิคุณ พญ. สมนพร บุณยะรัตเวช สองเมือง อุปนายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ศ.นพ. รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ ประธานชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย, นพ. สิทธิลักษณ์ วงษ์วันทนีย์ รองผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สาธารณสุข เลขานุการ Service Plan สาขาโรคหัวใจกระทรวงสาธารณสุข และพญ. อรวรรณ อนุไพรวรรณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันทรวงอก ภายใต้สังกัดกรมการแพทย์ ที่มาร่วมอภิปรายถึงความสำคัญและการพัฒนาระบบสุขภาพสำหรับคนไข้ภาวะหัวใจล้มเหลว รวมถึงทิศทางการดูแลคนไข้ภาวะหัวใจล้มเหลว ภายใต้หัวข้อ “Act on Heart Failure: Moving Forward with Holistic Heart Failure Management in Thailand, เรื่องหัวใจล้มเหลวดูแลได้ หากเข้าใจ ร่วมพัฒนาระบบสุขภาพไทยเพื่อผู้ป่วย” โดยเล่าถึงอาการที่พบได้ทั่วไปในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ความกังวลต่ออาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้และลุกลามจนก่อให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน รวมถึงกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลว แนวทางการป้องกันโรคที่เริ่มต้นได้จากที่บ้าน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานประธานในพิธี และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง การบูรณาการเพื่อการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจําเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อวางกรอบความร่วมมือในการบูรณาการทำงานคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงานเชิงรุก ให้ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในทุกกรณี โดยมี นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือดังกล่าว ณ ห้องประชุม 9 ชั้น 15 กระทรวงพลังงาน อาคาร บี ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พร้อมตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล ในการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าได้ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว MEA ดำเนินการตามประกาศของ สำนักงาน กกพ. มาอย่างต่อเนื่อง โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเดินเครื่องมือทางการแพทย์ โดยเปลี่ยนเป็นการทำงานเชิงรุกผ่านการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ MEA สามารถเข้าถึง และดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ได้รับพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ และต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อต่อสุขภาพผู้ป่วย

นอกจากนี้ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานดังกล่าว ยังครอบคลุมถึงการร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูล หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละหน่วยงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก เป็นปัจจุบัน และสามารถนำไปใช้ตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานได้ ตลอดจนสนับสนุน เผยแพร่ข้อมูล และเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนผู้ใช้พลังงานที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความคุ้มครอง เกี่ยวกับการได้รับสิทธิการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือ มีผู้ป่วยที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล มิให้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการงดจ่ายไฟฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม การร่วมมือครั้งนี้ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ MEA และหน่วยงานพันธมิตรในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาเครื่องมือทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในระบบบริการด้านพลังงานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ MEA พร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การจัดการด้านพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างความมั่นคงให้แก่ประชาชนในทุกมิติ อันสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนในอนาคต

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click