November 08, 2024

25 กันยายน 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เริ่มให้บริการส่งข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยถึงมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว โดยเจาะจงพื้นที่ระดับตำบลและหมู่บ้าน

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ทรูห่วงใยประชาชน จึงร่วมมือกับ ปภ. และ กสทช. ส่ง SMS แจ้งเตือนภัยฉุกเฉิ โดยเริ่มนำร่องแจ้งเตือนภัยระดับ 3 กรณีแม่น้ำวังล้นตลิ่งในพื้นที่ 3 ตำบลของอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงที"

ข้อความแจ้งเตือนจะส่งจากชื่อผู้ส่ง "DDPM" ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล โดยจะแจ้งรายละเอียดครบ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง และวิธีปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย

ระบบ SMS มีข้อดีคือ ประชาชนสามารถรับข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ และใช้งานได้สะดวก

ปภ. เป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวัง รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนส่งแจ้งเตือนให้ทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งต่อไปยังมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยการแจ้งเตือนจะมี 2 รูปแบบ คือ แจ้งเตือนล่วงหน้า 12-24 ชั่วโมง และแจ้งเตือนฉุกเฉิน 6-12 ชั่วโมง

บริการนี้จะช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ลดความเสี่ยงและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ กสทช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมวิกฤตในอำเภอศรีสำโรงและอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เพื่อตรวจสอบคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการในพื้นที่ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งนำถุงยังชีพ 500 ชุดมอบแก่ผู้ประสบภัยในชุมชนต่างๆ โดยมีนายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. และรักษาการเลขาธิการ กสทช. พร้อมด้วยทีมงาน นำทีมลงพื้นที่ ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้วางแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดตั้งทีมเฝ้าระวังต่อเนื่องพื้นที่จังหวัดภาคกลางและกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือไหลบ่าและฝนตกหนัก

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นขอส่งกำลังใจถึงผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกท่าน โดยล่าสุดทีมงานของเรานอกจากจะดูแลความพร้อมระบบสื่อสารให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแล้ว ยังได้เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือ พร้อมนำถุงยังชีพ อาหารแห้ง น้ำดื่ม และยา มอบแก่ผู้ประสบภัยในจังหวัดสุโขทัยซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำเหนือทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ทั้งนี้ เราได้ดำเนินการช่วยเหลือจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดน่าน และโรงพยาบาลน่านในการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมมือกับ กสทช. ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตรวจสอบสัญญาณมือถือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทรูและดีแทคว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและน้ำเหนือที่ไหลผ่าน ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่”

ทีมเน็ตเวิร์กของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ประจำการตามสถานีฐานต่างๆ ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทางภาคเหนือ และพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดอื่นๆ โดยทีมงานได้เข้าปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนตามแผนฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ ทรูได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) พร้อมระบบ AI คอยเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งจัดเตรียมรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) และยานพาหนะทั้งรถและเรือสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม ตลอดจนอุปกรณ์สำรองและอะไหล่สำหรับซ่อมแซมในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้มอบความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งรวมถึงการขยายระยะเวลาใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน การระงับการตัดสัญญาณ และการขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนของทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เป็นเวลา 7 วัน สำหรับลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ (ลูกค้าจะได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์)

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำโดย รศ. ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. ด้านโทรคมนาคม ในโอกาสเยี่ยมชมเสาสัญญาณและการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายภายหลังการควบรวมของทรูและดีแทค ในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี และนายจิระชัย คุณากร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและทีมงานให้การต้อนรับ

การตรวจสอบในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ทางทรู คอร์ปอเรชั่นได้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายเพื่อคุณภาพการใช้งานสัญญาณมือถือ 5G และ 4G ให้แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการจัดการโครงข่าย ทั้งนี้ ก่อนและหลัง การพัฒนาโครงข่ายทันสมัย (Network Modernization) มีบางแห่งที่รวมเสาสัญญาณเพื่อลดจุดซ้ำซ้อนแต่ไม่ได้ลดอุปกรณ์รับ-ส่งหรือสถานีฐาน อีกทั้งยังเพิ่มการลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ทันสมัยในการรับส่งสัญญาณครอบคลุมคลื่นความถี่ใช้งานทั้ง 5G และ 4G เพื่อเพิ่มความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศ

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรูและดีแทคได้ผสานรวมกันสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และมีโครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือ 5G, 4G   มุ่งเน้นการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มคุณภาพและความเร็วของสัญญาณด้วยการผสานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทีมงานได้วางแผนวิเคราะห์แต่ละพื้นที่อย่างละเอียด รวมทั้งประเมินการใช้งานในอนาคตของแต่ละแห่ง โดยให้ความสำคัญต่อการส่งมอบคุณภาพเครือข่ายที่ดีที่สุด และยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ปัจจุบัน ทรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเครือข่าย 5G ครอบคลุม 99% ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และครอบคลุม 90% ทั่วประเทศ”

การพัฒนาโครงข่ายทันสมัย (Network Modernization) การผสานจุดแข็งเสาสัญญาณและคลื่นความถี่ของทรูและดีแทค

  • เพิ่มคุณภาพบริการและเปลี่ยนอุปกรณ์ทันสมัย: การรวมเสาสัญญาณของทั้งสองบริษัทจะช่วยลดจำนวนเสาสัญญาณในจุดที่ซ้ำซ้อน แต่ไม่ได้ลดจำนวนสถานีฐานหรืออุปกรณ์รับส่งสัญญาณ โดยจะเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่เพิ่มประสิทธิภาพบริการ และมีส่วนในการบริหารการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ขยายพื้นที่ให้บริการ: การใช้งานเสาสัญญาณร่วมกันจะทำให้ทั้งทรูและดีแทคสามารถขยายพื้นที่ให้บริการได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • รองรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง: การรวมเสาสัญญาณทรูและดีแทคจะสามารถพัฒนาและขยายโครงข่าย 5G, 4G ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งเพิ่มคลื่นความถี่ให้กับสถานีฐานมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มคุณภาพและความเร็วการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลดความซ้ำซ้อนจำนวนเสาสัญญาณบางแห่ง และเปลี่ยนใช้อุปกรณ์รับส่งคลื่นความถี่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ประหยัดพลังงาน และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการวางแผน

"ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าโดยเฉพาะเรื่องคุณภาพสัญญาณ เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงมุ่งพัฒนาเครือข่ายคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายพื้นที่ให้บริการ นำคลื่นความถี่ที่ครอบคลุมทุกย่านมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณ กสทช. ที่ให้ความสำคัญและร่วมตรวจสอบการดำเนินงานของเรา  สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของเราทั้งทรูและดีแทคว่าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน" นายประเทศกล่าวในที่สุด

การพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาโครงข่ายของทรูและดีแทค ที่จะช่วยให้ทั้งสองแบรนด์สามารถพัฒนาและให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการร่วมตรวจสอบจาก กสทช. ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าการพัฒนาเสาสัญญาณหลังการควบรวมจะส่งผลดีต่อคุณภาพการให้บริการอย่างแท้จริง

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ จับมือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT พร้อมด้วย AIS และ True Move H จัดงานแถลงข่าวแพ็กเกจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และส่วนลดราคา สำหรับผู้พิการ โดยมี นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช.) เป็นประธาน พร้อมด้วยนายเสกสรรค์ มิตรเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ NT ร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร

ความร่วมมือในครั้งนี้เกิดจากเจตนารมย์ของทุกหน่วยงานที่ต้องการส่งเสริมและสนับสนุนประชาชนกลุ่มผู้พิการทุกประเภท รวมถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้สามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้ในราคาประหยัด และใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุดได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

โดยในส่วนของ NT ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ Services Brand "my by NT" และ "NT Mobile" ได้จัดแพ็คเกจเสริม แบบเติมเงิน สำหรับผู้พิการทุกประเภทสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็ว 4Mbps จำนวน 50GB FUP 384Kbps พร้อมสิทธิ์โทรในเครือข่าย NT ได้ฟรีไม่จำกัด ทั้ง mobile และ Fixed Line ค่าบริการเดือนละ 100 บาท โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถแสดงบัตรประจำตัวผู้พิการ หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ที่ศูนย์บริการ NT ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ NT Contact Center 1888

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click