ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย มุ่งสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี” ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริโภคชาวไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SME และร้านค้า OTOP ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
ช้อปครบ จบทุกสิทธิประโยชน์ ลดภาษีง่าย ๆ กับ “Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี”
โครงการ “Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี” กับช้อปปี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการช้อปปิ้งและการลดหย่อนภาษี โดยครอบคลุมสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์, แฟชั่น, ของใช้ในบ้าน และ สินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงสินค้าท้องถิ่นที่ร่วมโครงการบนแพลตฟอร์มช้อปปี้หลากหลายรายการ
และเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและนักช้อปไทยให้สอดคล้องกับนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลผ่านโครงการ "Easy E-Receipt 2568" ที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร ผู้ซื้อสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 2568 โดยสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท และยังสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้า OTOP และ SME ที่เข้าร่วมโครงการได้ในวงเงินระหว่าง 20,000 ถึง 50,000 บาท เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี โดยโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568
ค้นหาสินค้าที่ร่วมโครงการได้ง่าย ๆ บนแอปช้อปปี้
ศึกษาขั้นตอนการขอใบกำกับภาษีได้บนช้อปปี้
ยกระดับการจัดการภาษีกับ Easy E-Receipt เพิ่มความสะดวกให้ร้านค้า พร้อมจัดการใบกำกับภาษีได้อย่างมืออาชีพ
ช้อปปี้แนะนำให้ผู้ขายจัดการระบบใบกำกับภาษีให้ชัดเจน เพื่อรองรับคำขอจากผู้ซื้อที่อาจเพิ่มขึ้นผ่านฟีเจอร์ Buyer Tax Invoice (การออกใบกำกับภาษีสำหรับผู้ซื้อ) โดยร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมแคมเปญ Easy E-Receipt จะต้องผ่านการตรวจสอบตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
เพื่อยกระดับความคุ้มค่าไปอีกขั้น ช้อปปี้ยังมุ่งมั่นสร้างความคุ้มค่าให้ผู้ซื้อและสนับสนุนการเติบโตของผู้ขายในทุกมิติ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านแคมเปญ “Easy E-Receipt” ผ่านดีลและโปรโมชันสุดพิเศษอย่าง โค้ดส่วนลด 10% ลดสูงสุด 5,000 บาท ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/easy-e-receipt
ประเทศไทย- 24 กันยายน 2567 - ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีคนไทยมากถึง 67% ที่เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะสูงถึง 750,000 ล้านบาทภายในปี 25681 ซึ่งสะท้อนถึงการก้าวไปข้างหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างมั่นคง ในขณะที่ภาค SMEs ตั้งเป้าหมายการเติบโตจากรายได้ 6.3 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 6.6 ล้านล้านบาทในปี 25672 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์และปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพและทันกระแสการค้าในยุคดิจิทัล
ล่าสุด ช้อปปี้ ผู้นำอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) จัดโครงการ “The influencer journey TiJ#1” สร้างตัวตนให้ปัง สู่เส้นทางคนดังที่สำเร็จ โดยโครงการนี้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เทคนิคสร้างแบรนด์บนร้านค้าออนไลน์จากรุ่นพี่ในวงการ Content Marketing กับ DBD Influencer Awards กิจกรรมเด็ดเพื่อเฟ้นหาสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์ผ่านการไลฟ์สตรีมมิ่ง เรียกได้ว่ากระแสตอบรับดีมากๆ ทั้งยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพอีกด้วย
เปิดสูตรลับ 2 SMEs ไทย สู่ความสำเร็จทางธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซ
หัทยา คัมบารา กรรมการผู้จัดการ แบรนด์ส้มใส (SOMSAI) ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 รางวัล DBD Influencer Awards 2024 แชร์มุมมองการสร้างแบรนด์และเทคนิคการตลาดไว้ว่า “แบรนด์ส้มใสเริ่มต้นจากการตระหนักถึงปัญหาผิวของคนไทย เราจึงพัฒนาสบู่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อ จนเกิดเป็นสบู่น้ำส้มใส ในช่วงแรกเราเน้นการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย แต่เมื่อโควิดทำให้ร้านค้าไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้เห็นโอกาสช่องทางออนไลน์ จึงมาเปิดร้านบนช้อปปี้ แพลตฟอร์มที่ ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง’ ทำให้หลายคนได้กลับมาพบกับแบรนด์ส้มใสอีกครั้ง บวกกับแบรนด์ของเราได้รับเครื่องหมาย อย. และ DBD Registered ที่สร้างความมั่นใจว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าที่ปลอดภัยและของแท้ 100% ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกการช้อปปิ้ง ระยะเวลาเกือบ 2 ปีบนช้อปปี้ รู้สึกประทับใจมากกับการดูแลอย่างใกล้ชิดและคำปรึกษาจากทีมงาน รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผ่านกิจกรรมแคมเปญเครื่องมือและฟีเจอร์ทางการตลาด ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยอดขายแบรนด์เติบโตกว่า 10 เท่า และยอดออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
“อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแบรนด์ส้มใส คือการคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในรางวัล DBD Influencer Awards 2024 จากโครงการ “The influencer journey TiJ#1” ซึ่งถือเป็นโครงการที่เราได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างยอดขายผ่านเครื่องมือการตลาดอย่าง ไลฟ์สตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการระบบหลังบ้าน การจัดตารางไลฟ์สด การวางโครงสร้างช่อง การถ่ายทำ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พร้อมพัฒนาผลลัพธ์ด้วยการใช้ AI ที่ทันสมัย เราเชื่อว่า การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ทันที เรียนรู้ระหว่างที่ลงมือทำ และพัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราชนะใจกรรมการ จากการแข่งขันไลฟ์สตรีมบนช้อปปี้พบว่า แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ อีกทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ จากเหล่าลูกค้า ทำให้ตัวเราและทีมงานแบรนด์ส้มใสรู้เลยว่า สินค้าไทยยังคงเติบโตได้อีกไกล หากเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการรับรองคุณภาพจากภาครัฐ และเลือกช่องทางการขายตรงตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา จะยิ่งช่วยขยายโอกาสในการเติบโต ต้องขอบคุณสำหรับโครงการนี้ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง” คุณหัทยา กล่าวทิ้งท้าย
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: ในช่วงที่การทำธุรกิจออนไลน์กำลังมาแรง ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งมีโอกาสเติบโตได้เร็ว ช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขายออนไลน์ ด้วยเครื่องมือครบครัน ทั้งการส่งเสริมการขายและการวิเคราะห์ ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันการสั่งซื้อออนไลน์สะดวกและง่ายดายกว่าเดิมมาก นี่คือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด
กษิรา ขันติศิริ เจ้าของแบรนด์เผือกกรอบ ทันจิตต์ ถ่ายทอดความอร่อยสู่การไลฟ์ที่น่าจับตามอง เล่าว่า “ทันจิตต์เริ่มต้นจากความหลงใหลในการทำขนม สืบทอดสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นแบรนด์ของฝากที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี โดยหัวใจหลักของเราคือการมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงสุด ส่งตรงถึงมือลูกค้าแบบกรอบใหม่เพื่อสร้างความประทับใจ เราพิถีพิถันในการสไลด์เผือกเป็นรูปตะแกรงด้วยตัวเองจนเกิดเป็น “เผือกกรอบรูปตะแกรง” ที่สวยงามเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้ และปัจจุบันเราได้ขยายช่องทางการขายสู่แพลตฟอร์ม 'ช้อปปี้' พิจารณาจากที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผลการสำรวจกลุ่มลูกค้าขนมขบเคี้ยว ทำให้เรามั่นใจว่านี่คือช่องทางที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ด้วยฟีเจอร์ Shopee Live เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้แบรนด์ทันจิตต์เพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว โดยในปีนี้ ยอดผู้ชม Shopee Live ของเราเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยการตอบรับที่ดีกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่อร่อยถูกปากคนไทยและโปรโมชันที่ดึงดูดใจ จึงพบว่า เผือกกรอบรูปตะแกรง ได้รับเลือกเป็นสุดยอดสินค้ายืนหนึ่งในใจนักช้อปประจำปี 2567
“การสร้างยอดขายของเรามาต้องมาพร้อมกับการเรียนรู้และพัฒนาเทคนิคในการเติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร สำหรับการเข้าร่วมโครงการ The Influencer Journey TiJ#1 ได้เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างยอดขายที่มีประสิทธิภาพ เราได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะการพูดและการนำเสนอในไลฟ์สตรีมมิ่ง ทำให้แบรนด์มีความมั่นใจและสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพบว่ายอดขายใน Shopee Live ช่วงการแข่งขันเพิ่มขึ้นกว่า 200% อีกทั้งสามารถสร้างเอนเกจท์เม้นระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้เป็นอย่างดี ท้ายนี้ เราเชื่อว่าความสำเร็จของ SMEs
มาจากการสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” กษิรา กล่าวเพิ่มเติม
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: หากคุณยังไม่เคยเปิดร้านบนช้อปปี้ แนะนำให้ลองเริ่มต้นหาความรู้บน Shopee University จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจการขายได้อย่างไม่ยากและคุณอาจพบว่ายอดขายของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ช้อปออนไลน์เป็นหมวดใช้จ่ายที่คนไทยมีความคุ้นเคยและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพลตฟอร์มหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งในไทย คือ ช้อปปี้ หรือ Shopee ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเคทีซีมายาวนานนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และเติบโตด้วยกลยุทธ์ของการจัดวันมหกรรมแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ 9.9 จนกลายเป็นกระแสความนิยมแบบก้าวกระโดดในหมู่นักช้อปออนไลน์และขยายวงกว้างในกลุ่มผู้บริโภค และธุรกิจอื่นๆ”
“สำหรับลักษณะการใช้จ่ายออนไลน์ของสมาชิกเคทีซีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2567) เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยสมาชิกมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่ยอดการซื้อต่อครั้งน้อยลง โดยสังเกตจากจำนวนรายการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกือบ 40% และทางอีมาร์เก็ตเพลสเอง ก็มีรายการส่งเสริมการขายต่างๆ มากมาย เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเข้าใช้บริการในแพลตฟอร์มมากขึ้น อาทิ การแจกโค้ดส่วนลดในช่วงเทศกาล Double Date, PAYDAY ต่างๆ รวมถึงการ ไลฟ์ขายสินค้าในราคาพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น พร้อมสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากขึ้น”
เคทีซีได้ร่วมกับช้อปปี้คัดสรร 3 สิทธิพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระใช้จ่ายให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ในแคมเปญ 9.9 โดยสิทธิพิเศษที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท เมื่อช้อปสินค้า 12,000 บาท ที่แอปฯ Shopee และทำรายการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท สิทธิพิเศษที่ 2 รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีหรือบัตรเคทีซีพราว มาสเตอร์การ์ด เฉพาะวันที่ 9 กันยายน 2567 สิทธิพิเศษที่ 3 ใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 2-16 กันยายน 2567 และใส่นำโค้ดส่วนลดในแอปฯ Shopee ก่อนชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมรายการ
นายการัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากแนวโน้มการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวไทยมีการปรับตัว และหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการจับจ่ายสินค้าและบริการมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยนักช้อปนิยมจับจ่ายสินค้าประเภท Home & Living สูงสุดผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บนแอปพลิเคชั่นช้อปปี้ สำหรับกลยุทธ์ที่เรามุ่งมั่นจะเดินหน้าพัฒนาให้ช้อปปี้เป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซผ่าน 3 โมเมนต์ (3S Moments) คือ ความเซอร์ไพรส์ (Surprise) ความคุ้มค่า (Saving) และความสำเร็จ (Success) ยังคงเป็นแนวทางที่เราให้ความสำคัญตลอดทั้งปีนี้”
“ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งครองใจนักช้อปชาวไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเคทีซีตลอดมา เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบายและเป็นการแบ่งเบาภาระทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดียิ่งขึ้น และเราจะพัฒนาบริการของเราต่อไปเพื่อให้ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในอนาคต”