February 23, 2025

กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) โดยนางสาววชิราพร โพธิพงษ์ ผู้จัดการแผนกองค์กรสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ เข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณจาก สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในฐานะองค์กรที่ให้การสนับสนุนการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ Pure and Applied Chemistry International Conference (PACCON 2025) และกิจกรรม Thailand Younger Chemists Network (TYCN) Chemistry Board Games ซึ่งจัดโดยสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนและบุคลากรด้านการศึกษาของไทย

 

นอกจากนี้ ครูที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมในการประกวด DOW-CST Award ประจำปี 2567 ภายใต้โครงการ ห้องเรียนเคมีดาว ได้แก่ นางรัตนาพรรณ อุตมีมั่ง โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จ.น่าน และนายมุตตาฆีน เจ๊ะและ โรงเรียนเวียงสุวรรณวิทยาคม จ.นราธิวาส ยังได้รับพระราชทานโล่เกียรติยศภายในงาน ณ เขาใหญ่คอนเวนชั่นเซนเตอร์ (KYCC) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

 

Dow ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทย ผ่านความร่วมมือกับภาคการศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพและขับเคลื่อนอนาคตของประเทศอย่างยั่งยืน

งานหลังคาเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของงานก่อสร้างอาคารทุกประเภท ปัจจุบันหลังคาเมทัลชีทที่มีการนำน้ำยาพียูโฟม (PU Foam) มาฉีดเป็นฉนวนหรือ “หลังคาพียู” เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากขึ้นและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะสามารถช่วยลดความร้อนสะสมในอาคารได้มากกว่าการติดตั้งหลังคาเมทัลชีทโดยไม่มีฉนวน ช่วยลดค่าไฟฟ้าจากการใช้งานเครื่องปรับอากาศลดลง และช่วยซับเสียงดังเวลาฝนตก เนื่องจากโฟมพียูในหลังคาเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากฉนวนที่ใช้ในตู้เย็น ทำให้มีประสิทธิภาพกันความร้อนได้ดีที่สุด มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นภาระกับโครงสร้างหลังคามากเกินไป อีกทั้งติดตั้งง่าย และมีความสวยงามไม่น้อยกว่าวัสดุหลังคาประเภทอื่น อย่างไรก็ตามแม้โฟมพียูในหลังคาเมทัลชีทจะดูเหมือนๆ กัน แต่แท้จริงแล้วโฟมพียูของผู้ผลิตแต่ละรายนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพการเป็นฉนวน ขึ้นอยู่กับสารเคมีในน้ำยาที่ใช้ฉีด

กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) บริษัทด้านวัสดุศาสตร์ชั้นนำของโลก คำนึงถึงความสำคัญของคุณภาพของโฟมโพลียูริเทน หรือ โฟมพียูที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตหลังคาพียู จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมที่มีคุณภาพสูง เพื่อตอบโจทย์การผลิตและการใช้งานหลังคาที่หลากหลาย โดยผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow มีคุณสมบัติสำคัญที่โด่ดเด่นและเป็นผู้นำตลาดในด้านการเป็นฉนวนที่มีประสิทธิภาพสูงในการกันความร้อนและเสียงรบกวน โฟมพียูที่ฉีดขึ้นรูปจึงมีลักษณะเนื้อแข็ง ที่สำคัญ Dow ได้ใส่สารกันลามไฟในผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมทุกเกรดที่วางจำหน่าย ช่วยเพิ่มคุณสมบัติความหน่วงระยะเวลาในการลุกลามไฟกรณีเกิดติดไฟ ผลิตภัณฑ์ของ Dow จึงได้รับความนิยมอย่างสูงในอุตสาหกรรมการผลิตหลังคาพียู

ปัจจุบัน กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมสำหรับฉีดหลังคาของ Dow ภายใต้เครื่องหมายการค้า “โวราคอร์” (VORACOR™) มีอยู่ด้วยกันถึง 4 เกรด ให้เจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมาได้เลือกใช้ตามความต้องการ ตั้งแต่การก่อสร้างขนาดใหญ่ อย่างโรงงาน คอมมูนิตี้ มอลล์ อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงเรียน บ้านเดี่ยวทรงโมเดิร์น และทาว์นโฮม จนถึงงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าขนาดเล็กและการต่อเติมครัว หรือ โรงจอดรถ โดยผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow ทั้ง 4 เกรดมีรายละเอียด ดังนี้

VORACOR™ CM 1040 เหมาะกับผู้ที่ต้องการโฟมคุณภาพสูง ต้องการหลังคาพียูเพื่อไปใช้ในงานโปรเจคใหญ่ ๆ เช่น สร้าง คอมมูนิตี้ มอลล์ ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หรืออาคาร เป็นเกรดสูงสุดของ Dow เป็นโฟมที่เรียกว่าเซลล์ปิด มีความหนาแน่นและแข็งมากที่สุด กันความร้อนได้ดีกว่าโฟมเซลล์เปิด เนื่องจากไม่มีช่องอากาศให้ไอร้อนผ่านไปได้ เนื้อโฟมมีความแข็งกว่าแบบเซลล์เปิด จึงมีความทนทานกว่า ใช้งานได้นานกว่า

VORACOR™ CM 1076/1077 เหมาะกับงานที่ต้องการโฟมที่ยังกันความร้อนได้ดี เช่น ทำหลังคาบ้าน โรงจอดรถ คาเฟ่ ร้านอาหารต่างๆ เป็นโฟมเซลล์ปิด เนื้อโฟมแข็งสวยงาม แต่ใช้น้ำหนักฉีดน้อยลง

VORACOR™ CM 1075 เหมาะกับงานที่ต้องการบริหารจัดการต้นทุนให้แข่งขันได้ สำหรับผู้ฉีดหลังคา น้ำยาชนิดนี้ใช้น้ำหนักฉีดน้อยกว่า และเป็นโฟมชนิดเซลล์เปิดที่ยังมีผิวแข็ง

และ VORACOR™ CM 1118 เหมาะกับงานที่เน้นประหยัดต้นทุนเป็นหลัก ใช้สำหรับงานทั่วๆ ไป สำหรับผู้ฉีดหลังคา เกรดนี้เป็นเกรดโฟมเซลล์เปิดที่ใช้น้ำหนักฉีดน้อยที่สุด จึงประหยัดที่สุด และแข่งขันกับตลาดได้

“Dow เป็นผู้ผลิตน้ำยาพียูโฟมที่มีโรงงานผลิตอยู่ในประเทศไทยตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง จึงมีความน่าเชื่อถือสูง สามารถตรวจสอบได้ การที่โรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทยทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาในการนำเข้าส่งออก อีกทั้งเรายังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากความเป็นบริษัทระดับโลก มีฝ่ายบริการด้านเทคนิคและทีมวิจัยที่จะช่วยให้คำแนะนำและบริการในการแก้ไขปัญหาการใช้งานต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทันท่วงที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow สามารถนำไปใช้ในการผลิตหลังคาพียูของทุกโรงงาน เพราะมีเกรดเฉพาะที่สามารถเข้ากันได้กับสารที่ใช้ประกอบการฉีดโฟม ที่เรียกว่า “สารฟูตัว” แต่ละชนิดในท้องตลาด ผลิตภัณฑ์ VORACOR™ ของ Dow จึงใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก” นายเมธี กฤษณาสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าว

แม้ว่าปัจจุบันตลาดหลังคาพียูจะมีผู้ผลิตและผู้ใช้งานมากขึ้นจนเกิดการแข่งขันด้านราคา และอาจจะเป็นการยากสำหรับผู้บริโภคที่จะเลือกผลิตภัณฑ์โฟมพียูจากการมองด้วยตาเปล่า แต่การเลือกใช้โฟมพียูจากผู้ผลิตหรือแหล่งที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือจะช่วยให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของโครงการก่อสร้างไม่ต้องประสบปัญหาจากหลังคาพียูที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโฟมที่นิ่มและกันความร้อนได้ไม่ดี หรือเนื้อโฟมนิ่มที่อุ้มน้ำฝนจนเกิดความชื้นสะสมและเชื้อราได้ง่าย ทำให้มีโอกาสเกิดรอยรั่วและน้ำรั่วตามมา ดังนั้น โฟมพียูคุณภาพสูงที่มีความแข็งเพียงพอ สามารถกันความร้อนและลดเสียงได้ดี และให้ความปลอดภัยมากขึ้นจากคุณสมบัติความหน่วงการลามไฟ จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่ผู้บริโภคจะพิจารณาเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าในระยะยาว

กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) รับรางวัล “องค์กรที่มีผลงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นประจำปี 2567 ระดับแพลตินัม” เป็นครั้งที่ 5 นับเป็นปีที่ 14 ติดต่อกัน จากการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีนายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย และนายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เป็นผู้รับมอบรางวัลจาก มร. โรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และมี มร. ไซมอน เดนนี่ กรรมการบริหารหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และผู้ประสานงานคณะกรรมการ Corporate Social Impact  ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมอวานี พลัส   ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ

รางวัล AMCHAM Corporate Social Impact Awards จัดขึ้นทุกปีเพื่อยกย่องบริษัทสมาชิกหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินงานด้านธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคม โดย Dow เน้นการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม ผลักดันการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ใส่ใจดูแลชุมชนรอบข้าง และส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นเป็นปีที่ 14 ติดต่อกัน และได้รับรางวัล “ระดับแพลตินัม” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Dow ในการสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมผ่านการทำธุรกิจและกิจกรรมที่มีคุณค่าและต่อเนื่องในประเทศไทย

ดาว (Dow) ในฐานะผู้นำด้านวัสดุศาสตร์และการผลิตซิลิโคนของโลก ผงาดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนด้านนวัตกรรมนี้ นอกจากจะเป็นกลยุทธ์การดำเนินการของดาวแล้ว ยังเป็นพันธกิจของ Dow ที่มุ่งมั่นส่งเสริมการเดินทางและการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีรถยนต์พลังงานใหม่จากจีนเข้ามาตีตลาดเป็นจำนวนมาก ข้อมูลจากสถาบันวิจัยอุตสาหกรรมรถยนต์หลายแห่งระบุว่า นับถึงเดือนพฤษภาคม 2567 แบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ที่มีชื่อเสียงจากจีนต่างเข้ามาตั้งฐานการผลิต ลงทุนสร้างโรงงาน หรือเริ่มไลน์การผลิตมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายอันดับหนึ่งของการลงทุนดังกล่าว ตามมาด้วยมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยอาจเนื่องมาจากประเทศไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (NEVPC) ขึ้นในปี 2563 กำหนดวิสัยทัศน์ปี 2578 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ยุคใหม่ที่ไม่ปล่อยมลพิษ และนวัตกรรมโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

ภายใต้บริบทใหม่ของการเดินทางและการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว Dow ซึ่งสั่งสมประสบการณ์ด้านวัสดุศาสตร์มายาวนานกว่า 120 ปี จึงมีบทบาทสำคัญในการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันสำหรับวัสดุ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์ตามแบบฐาน หรือ OEMs (original equipment manufacturers) ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ให้สามารถเอาชนะความท้าทายในการผลิตสินค้าด้านความปลอดภัย ระบบการตอบสนอง และระบบไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน โดย Dow มีความร่วมมือกับคู่ค้าที่ต่างๆ เพื่อเร่งการพัฒนานวัตกรรมให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในภูมิภาค

โดยล่าสุด Dow ได้นำเสนอโซลูชันการจัดการความร้อนและการป้องกัน ที่ช่วยปกป้องระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems - ADAS) และระบบแบตเตอรี่ รวมถึงสนับสนุนระบบชาร์จเร็วที่สถานีชาร์จไฟฟ้า โดยมีตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่น LuxSense™ หนังซิลิโคนภายใต้แบรนด์  “ลักส์เซนส์” (silicone synthetic leather) และซิลิโคนเคลือบยางรถยนต์ปิดผนึกรอยรั่วได้เอง (self-sealing silicone) ที่เป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพิ่มประสิทธิภาพของส่วนประกอบ ADAS

เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการความปลอดภัยและรถยนต์ที่มีความชาญฉลาดยิ่งขึ้น จึงมีการนำ ADAS มาใช้เพิ่มขึ้น โดยผู้ผลิตกำหนดมาตรฐานที่สูงขึ้นในกระบวนการประกอบรถยนต์ ทั้งในด้านความเที่ยงตรง (linearity) ความไว (sensitivity) การทำซ้ำ (repeatability) การตอบสนองอย่างรวดเร็ว (quick response) ความละเอียด (resolution) และความเสถียร (stability) ดังนั้น ตัวเลือกวัสดุจึงมีผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ ADAS ซึ่ง Dow ได้เล็งเห็นถึงความต้องการดังกล่าว จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การจัดการความร้อน DOWSIL™ ซึ่งมีระดับการนำความร้อนในหลายระดับให้เลือกได้ตามความต้องการ

นอกเหนือจากการจัดการความร้อนแล้ว Dow ยังมีโซลูชันซิลิโคนประสิทธิภาพสูงสำหรับการป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ป้องกันการรั่วซึม และการปกป้องเฉพาะทางสำหรับ ADAS โดยโซลูชันเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาออกแบบระบบเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

สร้างเกราะป้องกันสำหรับแบตเตอรี่

ปัญหาเรื่องความปลอดภัยของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เช่น Thermal Runaway หรืออาการที่แบตเตอรี่ร้อนและบวม จนทำให้เสียหรืออาจทำให้เกิดไฟไหม้ ซึ่งเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยที่สำคัญ Dow จึงได้พัฒนา DOWSIL™ ซึ่งเป็นวัสดุซิลิโคนขั้นสูงของดาวที่ถูกออกแบบเพื่อการป้องกันไฟไหม้จากแบตเตอรี่ โดยมีความเสถียรด้านความร้อนและความไวไฟต่ำ วัสดุเหล่านี้ได้รับออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อเสริมความทนทานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มีหลากหลายรูปแบบและคุณสมบัติ

ขณะเดียวกัน Dow ยังมีชุดวัสดุ สถานที่ทดสอบสถานการณ์จำลอง และการทดสอบประสิทธิภาพในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่และ OEMs ในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่

ขับเคลื่อนนวัตกรรมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว

ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีความกังวลเกี่ยวกับระยะทางขับขี่และแบตเตอรี่ที่อาจหมดระหว่างทาง (range anxiety) และให้ความสนใจกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มระยะการขับขี่ อย่างไรก็ตาม กระบวนการชาร์จแบตเตอรี่ในปัจจุบันยังมีความท้าทาย เพราะโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เพียงพอ นอกจากนั้น ยังมีความต้องการอัปเกรดสถานีชาร์จเป็นระบบชาร์จเร็วที่ต้องการการจ่ายพลังงานสูงและการระบายความร้อนอย่างรวดเร็ว และมีความทนทาน Dow จึงได้พัฒนาประสิทธิภาพของซิลิโคนในด้านการนำความร้อน การกันรั่ว และการประกอบรถยนต์ รวมถึงฉนวนและการนำความร้อน ภายใต้ผลิตภัณฑ์ DOWSIL™ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้

บรรลุเป้าหมาย "การพัฒนาที่ยั่งยืน" ด้วยนวัตกรรม

Dow มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยน "การพัฒนาที่ยั่งยืน" ให้กลายเป็นความจริงทางธุรกิจผ่านการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและความพยายามที่ไม่หยุดยั้ง บริษัทได้บุกเบิกพัฒนาโซลูชั่นด้านเครื่องหนังจากวัสดุซิลิโคน และซิลิโคนเคลือบยางรถยนต์ปิดผนึกรอยรั่วได้เอง (self-sealing silicone) เช่น

LuxSense™ หนังซิลิโคนภายใต้แบรนด์ “ลักส์เซนส์” เป็นวัสดุชั้นนำระดับสูงของโลกที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงเบาะและสิ่งตกแต่งภายในรถ วัสดุนี้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มสบาย ทำความสะอาดง่าย มีกลิ่นกลางๆ ทนทานต่อการใช้งาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปล่อยคาร์บอนต่ำ

SILASTIC™ ซิลิโคนเคลือบกันยางรั่ว เป็นโซลูชันรุ่นบุกเบิกระดับสากล ที่เคลือบซิลิโคนบนชั้นยางด้านใน เมื่อยางมีรอยรั่วชั้นซิลิโคนจะทำหน้าที่ผนึกรอยรั่วได้ด้วยตัวเอง และรักษาประสิทธิภาพการทำงานตามปกติของยางไว้ นวัตกรรมนี้ช่วยส่งเสริมการลดการใช้หนัง ลดการปล่อยคาร์บอน และสนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ Dow ได้นำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมตลอดอายุการใช้งานรถยนต์ ตั้งแต่การออกแบบและการพัฒนา ไปจนถึงการผลิต การใช้งาน และการรีไซเคิล โดยคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกขั้นตอน โครงการวิจัยและพัฒนาของ Dow มากกว่า 80% เป็นการผลิตโดยปกป้องสภาพภูมิอากาศ สนับสนุรนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และการพัฒนาวัสดุอย่างปลอดภัย โดยมีเป้าหมายคือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิต่อปี  5 ล้านตันภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593

บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเตรียมพร้อมสู่ “พันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพลาสติกหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในเอเชีย (Partnership to Accelerate the Circular Plastic Ecosystem in Asia)” เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการรีไซเคิลพลาสติกตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งเป้าเร่งพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกปริมาณกว่า 200,000 ตันต่อปีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนที่มีมูลค่าด้วยกระบวนการรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling) และการรีไซเคิลขั้นสูง (Advanced Recycling) ภายในปี 2573

เอสซีจีซี (SCGC) และ ดาว (Dow) มีแผนจะเร่งพัฒนาและยกระดับการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง สำหรับความร่วมมือในขั้นแรกนั้นครอบคลุมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อนำพลาสติกใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (PCR) โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในปัจจุบัน รวมทั้งบูรณาการการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการที่มีเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูงที่เกี่ยวเนื่องกับการรีไซเคิลเชิงกลและการรีไซเคิลขั้นสูงในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อสร้างระบบนิเวศห่วงโซ่คุณค่าที่แข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมทั้งบริหารจัดการและรีไซเคิลเพื่อหมุนเวียนพลาสติกใช้แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับในระยะถัดไป ทั้งสองบริษัทคาดการณ์ว่าจะร่วมกันจัดหาพลาสติกใช้แล้วจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตพลาสติกรีไซเคิลชนิดต่าง ๆ และขยายไปยังส่วนอื่น ๆ ของภูมิภาค เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง SCGC และ Dow ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งสำคัญที่สององค์กรชั้นนำด้านพลาสติกเพื่อความยั่งยืน จะมาร่วมมือกันขับเคลื่อนและยกระดับระบบนิเวศให้กับพลาสติกหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดย SCGC พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก Green Polymer และเทคโนโลยีคอมพาวนด์ (Compound) ในการเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดพลาสติก เพื่อคืนคุณค่าพลาสติกใช้แล้วตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านกระบวนการรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling) และการรีไซเคิลขั้นสูง (Advanced Recycling) โดยยังคงคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและรองรับความต้องการของตลาดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ทั้งในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไปจนถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า สะท้อนกลยุทธ์ Low Waste, Low Carbon ของ SCGC อย่างเป็นรูปธรรม”

นายบัมบัง จันดรา​ รองประธานฝ่ายธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และพลาสติกชนิดพิเศษของ Dow เปิดเผยว่า “เอเชียเป็นหนึ่งในแหล่งขนาดใหญ่ของพลาสติกใช้แล้วที่สามารถแปรรูปได้ เราต้องการพลิกโฉมวิธีการจัดการกับขยะในภูมิภาค โดยสร้างโมเดลใหม่ที่ให้คุณค่ากับพลาสติกใช้แล้วและวัสดุรีไซเคิลต่าง ๆ เพื่อเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกโดยพัฒนาเทคโนโลยีในการคัดแยกขยะ การรีไซเคิลเชิงกล และการรีไซเคิลขั้นสูง ความร่วมมือกับ SCGC จะทำให้ทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่เรามีจำหน่าย ความสามารถในการวิจัยและพัฒนา และลิขสิทธิ์ทางเทคโนโลยีของเรา เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในการผลิตเม็ดพลาสติกประสิทธิภาพสูงแล้ว ลูกค้าของเราจะได้รับความคุ้มค่าทั้งในด้านต้นทุน ความพร้อม รวมไปถึงคุณภาพของพลาสติกและวัสดุหมุนเวียน”

“Dow ได้ดำเนินกิจการในประเทศไทยมานานถึง 57 ปี เรามีความภาคภูมิใจที่จะได้เริ่มต้นก้าวต่อไปด้วยการพัฒนาพันธมิตรเพื่อธุรกิจพลาสติกหมุนเวียนร่วมกับ SCGC ซึ่งเป็นคู่ค้าที่เราไว้วางใจ โดยตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยกันในประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ทั้งสององค์กรมีความมุ่งมั่นที่เหมือนกันในด้านความเป็นเลิศและความยั่งยืน SCGC จึงเป็นพันธมิตรในอุดมคติของเราที่จะสำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกันในครั้งนี้ โดยเราตั้งใจที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้าควบคู่ไปกับการสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนของภูมิภาคนี้” นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวเสริม

ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานด้านความยั่งยืนในการ “เปลี่ยนขยะเป็นผลิตภัณฑ์ (Transform the Waste)” ของ Dow ทั่วโลก ซึ่งมุ่งมั่นจะเปลี่ยนขยะพลาสติกและนำวัตถุดิบทางเลือกรูปแบบอื่น ๆ มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ ให้ได้ 3 ล้านตันต่อปีภายในปี พ.ศ. 2573 รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ SCGC ตามแนวทาง Low Waste, Low Carbon ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% และมีเป้าหมายขยายสินค้าในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 อีกด้วย

 

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click