November 08, 2024

กระทรวงดีอี และ ดีป้า จัดกิจกรรม ‘Ignite Digital Thailand’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND พร้อมรับข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการดิจิทัลและผู้บริหารแต่ละภาคส่วนที่ร่วมหารือ ทั้งแนวทางการขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพ อีคอมเมิร์ซ การพัฒนากำลังคน และการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ ก่อนนำข้อมูลมาตกผลึกและทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ

 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) เป็นประธานในกิจกรรม ‘Ignite Digital Thailand’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND ที่ดำเนินการโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ และ ดร.ชินาวุธ ชินาวุธ ผู้ช่วยอำนวยการใหญ่ พร้อมด้วย นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย นายธนพงษ์ ณ ระนอง นายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย นางสาวกุลนันท์ พันธุ์นุกูล MD & COO บริษัท เอ็ดไวซอรี่ จำกัด (EdVISORY) และ ดร.ณรงค์ บริจินดากุล ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย รวมถึงกลุ่มดิจิทัลสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ร่วมพบปะหารือในประเด็นต่าง ๆ ณ Gaysorn Urban Resort เกษรทาวเวอร์

ในเรื่องของการยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพ นายธนวิชญ์ เสนอให้ภาครัฐส่งเสริมการจัดตั้ง Hub for International Accelerators ในประเทศไทย เพื่อเป็นชุมชน (Startup Community) ที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับดิจิทัลสสตาร์ทอัพ และผลักดันดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยที่มีความพร้อมให้สามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการพิจารณาปรับเงื่อนไขการขอรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนแก่ดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงพัฒนากลไกช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของ Angel Investor ขณะที่ นายธนพงษ์ เสนอให้ภาครัฐเร่งพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้งระบบ พร้อมแนะว่า การให้เงินทุนสนับสนุนแก่ดิจิทัลสตาร์ทอัพจากหน่วยงานภาครัฐควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีความเหมาะสมกับช่วงระยะการเติบโตของสตาร์ทอัพรายนั้น ๆ

 

ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทย นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยเติบโต และสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศได้ ขณะเดียวกันต้องให้การส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลแห่งอนาคตที่เกี่ยวข้องแก่กลุ่ม Mid-career ขณะที่ นางสาวกุลนันท์ เสนอว่า กระทรวงดีอี ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานให้มีความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ควรปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาเพื่อการเติบโตในมิติต่าง ๆ ในรูปแบบ One Stop Service รองรับดิจิทัลสตาร์ทอัพ ขณะที่ ดร.ณรงค์

เสนอว่า ภาครัฐและภาคเอกชนควรบูรณาการการทำงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมกันนี้ยังเสนอให้เกิด Open Source แบ่งปันความรู้และข้อมูลระหว่างนักพัฒนาภายในประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนต่อไป

นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการหารือในครั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้รับทราบมุมมอง ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นจากผู้บริหารทุกท่านที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาคส่วน ซึ่ง กระทรวงดีอี และ ดีป้า จะนำข้อมูลที่ได้รับจากการหารือมาตกผลึกและทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป

สำหรับ DIGINEXT by SEED THAILAND เป็นส่วนหนึ่งของการขยายผลการดำเนินโครงการพัฒนาเมล็ดพันธุ์นักรบดิจิทัลรุ่นใหม่ (SEED THAILAND) โดยนำคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยกระดับทักษะดิจิทัลแล้วมาพูดคุยกับบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และผู้ประกอบการดิจิทัลตัวจริงอย่างใกล้ชิด โดยมีการดำเนินกิจกรรมใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม รวมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของประเทศและผู้ประกอบการดิจิทัลไทยร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดกว่า 400 ราย นักเรียนนักศึกษา กลุ่มคนรุ่นใหม่ร่วมกิจกรรมกว่า 150 คน ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: depa Thailand

กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกกำลังแบงก์กรุงไทย เพิ่มช่องทางแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางการเงินผ่านแอป “เป๋าตัง” เพิ่มสปีดในการเข้าถึงประชาชนมากกว่า 40 ล้านคน เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียก่อนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์

 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการบริการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เกิดจากเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องต่อประชาชนและสาธารณชน ผ่านแอป “เป๋าตัง” ซึ่งบริหารจัดการโดยธนาคารกรุงไทย และปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน โดยจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้เท่าทันการหลอกลวงทางออนไลน์ และข่าวปลอม เพื่อป้องกันและยับยั้งก่อนเกิดปัญหาการถูกหลอกลวง ลดความสูญเสียของประชาชนในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์

ด้านรูปแบบความร่วมมือ จะมีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้บริการข้อมูลจากฐานข้อมูล ข่าวปลอม ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (AFNC) ที่ดำเนินงานโดยกระทรวงดิจิทัลฯ ไปยังแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อให้มีการเผยแพร่การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางการเงิน หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งทางออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชน เพื่อให้รับทราบทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ

“แอปเป๋าตัง จะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง ที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ในรูปแบบการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางการเงิน หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ให้ทันต่อสถานการณ์และรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันและสามารถรับมือกับการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่ทวีความซับซ้อน และก่อความเสียหายรุนแรงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน” ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์กล่าว

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ควบคู่กับการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันภัยทางการเงินในทุกรูปแบบ ทั้งภัยทางไซเบอร์ กลโกงทางการเงิน รวมถึงการสร้างข่าวปลอม (Fake News) เพื่อหลอกหลวงประชาชนให้ข้อมูลส่วนตัว โดยล่าสุด ธนาคารได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (AFNC) ที่ดำเนินงานโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Banking ที่คนไทยคุ้นเคย มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารทางการเงินที่ถูกต้อง พร้อมแจ้งเตือนภัยกลโกง หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกง และไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ปัจจุบันมิจฉาชีพได้อาศัยเทคโนโลยี เป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์ในทางที่มิชอบในทุกรูปแบบ และมีการปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามยุคสมัย ทั้งภัยทางไซเบอร์ กลโกงทางเงิน เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ แม้ว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันเต็มกำลังเพื่อป้องกันระวังภัยดังกล่าว แต่ยังมีเหยื่อถูกหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการสร้างข่าวปลอม (Fake News) บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจผิด หลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ ดังนั้น การให้ความรู้ทางการเงินกับประชาชนอย่างทั่วถึง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเกราะป้องกันภัยให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยสร้างเกราะป้องกันภัยทางการเงินให้กับประชาชนทุกกลุ่ม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าธนาคารกรุงไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะมีความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

สำหรับความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ และธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เพื่อให้บรรลุภารกิจตามยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการบริการประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพบริการภาครัฐให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและไร้รอยต่อ รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการนำข้อมูลดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนกลไกการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทยมีเจตนารมณ์ที่จะนำเสนอและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อปัญหาการหลอกลวงข้อมูลทางสื่อออนไลน์ โดยมีการบูรณาการการสร้างการตระหนักรู้ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงดิจิทัลฯ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการป้องกันและยับยั้งก่อนการเกิดปัญหา ที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย โดยในครั้งนี้เราได้พัฒนาการแจ้งเตือนข่าวผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน โดยเป็นการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฐานข้อมูลข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake News Center Thailand :AFNC) ที่ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีการเผยแพร่เป็นการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกหลวงฉ้อโกงทางการเงินหรืออาชญากรรมทางการเงินในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางออนไลน์และข่าวปลอมต่างๆอย่างเสมอ เพื่อลดการสูญเสียและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และเพื่อเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับภาคประชาชนในการนำข้อมูลดิจิทัลไปใช้ในการขับเคลื่อนกลไกลต่างๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นในด้านความมั่นคง ความปลอดภัยทั้งทางทรัพย์สิน สังคม และความยั่งยื่นต่อไปในอนาคต โดยในการดำเนินการในครั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยจะไม่หยุดนิ่ง ที่จะพัฒนาแอปพลิชั่นเป๋าตังนี้ต่อไป

ดีอีเอส-ดีป้า เปิดฉาก “อาคารแสดงประเทศไทย” อย่างยิ่งใหญ่ ในงาน ‘World Expo 2020 Dubai’ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565 ภายใต้แนวคิดหลัก “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต: Connecting Minds, Creating the Future” มีผู้เข้าร่วมงาน 192 ประเทศ เพื่อแสดงถึงศักยภาพความพร้อมด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั่วโลก พร้อมเปิดให้นานาชาติเข้าร่วมชมเต็มรูปแบบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มั่นใจว่าตลอดการจัดงานอาคารแสดงประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในพาวิลเลียนยอดนิยม โดยได้รับเกียรติจาก

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมพิธีเปิดอาคารแสดงประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะ Commissioner General of Section for Thailand Pavilion นายวราวุธ ภู่อภิญญา เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี นายชัยรัตน์ ศิริวัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ นายปณต บุณยะโหตระ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ นายชัยวัฒน์ ตามไท ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบ และ ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และผู้อำนวยการโครงการ World Expo 2020 Dubai ร่วมงาน

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะ Commissioner General of Section for Thailand Pavilion เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมงาน World Expo 2020 Dubai ซึ่งเป็นมหกรรมใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก สำหรับอาคารแสดงประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) นำเสนอนโยบายการขับเคลื่อนประเทศ ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการ ทั้ง 4 ห้องหลัก ได้แก่ ห้องที่ 1: Thai Mobility ผ่านความงดงามของศิลปะไทย จัดแสดงในรูปแบบ Walkthrough Exhibition ผู้เข้าชมจะได้พบกับความงดงามตระการตาของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง และราชรถจำลอง ให้ความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยในอดีต ห้องที่ 2: Mobility of Life น้ำขับเคลื่อนชีวิตไทย จัดแสดงในรูปแบบ Aquatic Performance สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ สังคม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตจากอดีต สู่ปัจจุบัน ห้องที่ 3: Mobility of the Future นำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน 360 องศา เพื่อแสดงภาพในอนาคตของประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลผ่านเมืองอัจฉริยะ (Smart City) พร้อมผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาค และห้องที่ 4: Heart of Mobility นำเสนอภาพยนตร์สั้น โดยใช้เทคนิค Pyramid Motion Picture บอกเล่าเรื่องราวเสน่ห์ของประเทศไทยในหลากหลายมิติ ที่สร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมเยือน ทำธุรกิจ หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย

โดยยังมีส่วนของร้านอาหารไทย ‘The Taste of Thai’ ให้ผู้เข้าชมงานได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารไทยแท้ และร้านของที่ระลึก ‘Thai Souk’ ที่คัดสรรสินค้าดีมีคุณภาพจากประเทศไทยมาร่วมสร้างความประทับใจ ส่วนบริเวณด้านหน้าอาคารมีเวทีกิจกรรมจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ภายใต้แนวคิด “Thai iconic: ความเป็นไทยสู่สายตานานาชาติ” รวมทั้งยังมีนิทรรศการ และกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาหมุนเวียนมาร่วมจัดแสดง ภายใต้แนวคิด The Best of Thailand เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทย ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และศักยภาพด้านต่างๆ ของประเทศไทยบนเวทีโลก โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจัดกิจกรรมตลอด 6 เดือนเต็ม รวมถึงยังมีตัวแทนเยาวชนรุ่นใหม่ ที่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการ Thailand Pavilion Ambassador จำนวน 25 คน จากผู้สมัครกว่า 500 คนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำนิทรรศการของอาคารแสดงประเทศไทย อีกด้วย 

 

สำหรับอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) เป็นหนึ่งในอาคาร Self-Build Pavilion ตั้งอยู่โซน Mobility ขนาดพื้นที่ 3,606 ตรม. หรือ 2.25 ไร่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงานเวิลด์เอ็กซ์โป โดยการออกแบบนั้น ได้นำเอาเสน่ห์ของคนไทย (Thai Hospitality) มาร้อยเรียงอยู่ ในทุกองค์ประกอบ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมตั้งแต่แรกเห็น ด้วยลวดลายการถักทอคล้ายม่านดอกไม้ (ดอกรัก) คล้ายกับพวงมาลัยที่ประดับประดาโดยรอบตัวอาคาร สอดคล้องไปกับสัญลักษณ์ของอาคารแสดงประเทศไทยในครั้งนี้ ที่เลือกใช้ “พวงมาลัย” สำหรับการสื่อสารถึงมิตรภาพ และการต้อนรับที่จริงใจอบอุ่นต่อผู้มาเยือนทุกคนจากคนไทย นอกจากนั้นยังเลือกใช้ “สีทอง” เป็นหลักเพื่อสื่อถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ และยังเป็นสีที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในส่วนของโครงสร้างออกแบบให้มีลักษณะเป็นซุ้มโค้งคล้ายคนประนมมือไหว้ สื่อความหมายถึงเอกลักษณ์งานสถาปัตยกรรมไทยอย่างศาลาหน้าจั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายการไหว้ที่งดงามมาเป็นทางเข้าตัวอาคารที่พร้อมเปิดต้อนรับทุกคนจากทั่วโลก ด้วยองค์ประกอบที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้อาคารแสดงประเทศไทย สามารถแสดงถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรม และรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมี Mascot มาเป็นสัญลักษณ์นำโชค โดยมีชื่อว่า“รัก”(RAK)และ“มะลิ”(MALI)มาสคอต สองพี่น้องตัวแทนประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทย สร้างจากแรงบันดาลใจ คือ ดอกรักและดอกมะลิ ดอกไม้สำคัญของไทยที่ใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการร้อยพวงมาลัยเพื่อมอบให้ผู้มาเยือนแสดงถึงมิตรไมตรีและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจริงใจ อีกด้วย

ร่วมภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นไทย และให้กำลังใจทีมไทยแลนด์ที่ไปสร้างประวัติศาสตร์บนเวทีโลกกับอาคารแสดงประเทศไทยหรือติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่ www.expo2020dubaithailand.com หรือช่องทาง Facebook และ Instagram: expo2020dubaithailand

หวังติดปีกผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เตรียมความพร้อมสู่การเป็นเมืองเศรษฐกิจอัจฉริยะต้นแบบ

X

Right Click

No right click