November 27, 2024

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ร่วมกับสำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมกับจังหวัดภูเก็ต จัดการทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ที่จังหวัดภูเก็ต มุ่งยกระดับความปลอดภัยในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งทรูในฐานะผู้รับผิดชอบการแจ้งเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Center: CBC เตรียมเดินหน้าเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Entity: CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร (end-to-end) เพื่อเตรียมความพร้อมอีกขั้นก่อนเปิดให้บริการจริง

จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติจังหวัดภูเก็ต ในปี 2566 ระบุว่าภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมสูงถึง 11.3 ล้านคน โดยเป็นชาวต่างชาติ 8.4 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.9 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 388,017 ล้านบาท นับเป็นจังหวัดอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานครเท่านั้น นอกจากนี้ ความโดดเด่นของภูเก็ตยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เมื่อเว็บไซต์ Bounce จัดอันดับให้เป็น "เกาะท่องเที่ยวที่ดีที่สุด" (The Best Island Destinations) ของโลกในปีนี้ ด้วยความสำคัญดังกล่าว ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงร่วมกับ กสทช. ดีอี ปภ. กำหนดภูเก็ตเป็นพื้นที่ทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน CBS เพื่อเตรียมยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนเมืองไข่มุกแห่งอันดามัน และเพิ่มศักยภาพความมั่นใจในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ในการทดสอบเสมือนจริงที่ภูเก็ตว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่นภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ในการทดสอบเสมือนจริงระบบ CBS ที่ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย การทดสอบครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการทดสอบเสมือนจริงครั้งแรกในไทยจากทรู คอร์ปอเรชั่นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

“ภูเก็ตถูกเลือกเป็นจังหวัดที่ 2 ที่จัดทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ Cell Broadcast Service (CBS) ซึ่งการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดให้บริการจริงจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในระบบความปลอดภัยให้กับชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน โดยเฉพาะการรับมือกับภัยธรรมชาติทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นคลื่นสูง พายุ หรือสึนามิ ระบบสามารถส่งการแจ้งเตือนแบบทันท่วงทีไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน พร้อมรองรับการแสดงผลได้ทุกภาษา ทั้งในรูปแบบข้อความ Pop-up และเสียงแจ้งเตือน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Text to Speech พิเศษสำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลการเตือนภัยได้อย่างทั่วถึง” นายจักรกฤษณ์ กล่าว

ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) สามารถออกแบบเตือนภัยได้ทุกภาษาที่ตรงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวของภูเก็ต นอกจากนี้ ทรูยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ หรือ Business and Network Intelligence Center: BNIC เพื่อเป็น War Room บริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

ระบบ CBS ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นนำมาทดสอบใช้งานมีจุดเด่นสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

  1. รวดเร็ว – สามารถส่งข้อความเตือนภัยได้ทันทีที่เกิดเหตุ
  2. แม่นยำ – สามารถกำหนดพื้นที่เป้าหมายในการส่งข้อความได้อย่างแม่นยำ
  3. ครอบคลุม – ส่งข้อความถึงผู้ใช้บริการทุกคนในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยไม่ต้องลงทะเบียน
  4. มาตรฐานสากล – เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับและใช้งานในหลายประเทศทั่วโลก
  5. รองรับทุกภาษา – สามารถออกแบบการแจ้งเตือนได้ทุกภาษาและส่งพร้อมกันได้ทันที

สำหรับการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือกับผู้ใช้งานจริง หรือ "LIVE – Cell Broadcast Service" ที่ภูเก็ต นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทัดเทียมนานาประเทศ โดยเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กสทช. ดีอี และ ปภ. ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยทรูในฐานะ Cell Broadcast Center หรือ CBC จะเตรียมเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่เป็น Cell Broadcast Entity หรือ CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร เพื่อความพร้อมก่อนเปิดให้บริการต่อไป

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย จัดการสาธิตเสมือนจริง "LIVE - Cell Broadcast Service" และสร้างความเชื่อมั่นในการเตรียมพร้อมให้บริการแก่คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร และให้การต้อนรับนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะอนุกรรมาธิการ เข้าเยี่ยมชมและร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่จะเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และนำชมศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ใช้บริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์  หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นได้แสดงความพร้อมอีกขั้นในการเตรียมระบบ Cell Broadcast Service (CBS) เพื่อเปิดให้บริการในไทย และเปิดสาธิตเสมือนจริงแก่คณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานของ CBS ที่เราพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายให้ใช้งานได้ในไทย โดยระบบนี้สามารถแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐานสากล  ส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงภัยได้พร้อมกันทันที ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนล่วงหน้า โดยได้พัฒนาระบบให้มีจุดเด่นสำคัญ คือ รองรับการแสดงผลได้ถึง 5 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย หรืออื่นๆ นอกจากนี้ยังมีทั้งการแจ้งเตือนด้วยสัญญาณเสียงและข้อความแบบ Pop up บนหน้าจอ พร้อมฟีเจอร์ Text to Speech ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้บกพร่องทางการมองเห็น ซึ่งจะช่วยให้การแจ้งเตือนภัยครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง"

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า "คณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Cell Broadcast เป็นอย่างมาก เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าหรือภัยพิบัติน้ำท่วม ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความสูญเสียได้อย่างมาก ซึ่งประเทศไทยได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของหลายประเทศที่ใช้ระบบนี้อยู่แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และมาเลเซีย โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปีหน้า"

ระบบ CBS ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

  • รองรับทุกภาษา - สามารถออกแบบการแจ้งเตือนได้ทุกภาษาและส่งพร้อมกันได้ทันที
  • รวดเร็ว - สามารถส่งข้อความเตือนภัยได้ทันทีที่เกิดเหตุ
  • แม่นยำ - สามารถกำหนดพื้นที่เป้าหมายในการส่งข้อความได้อย่างแม่นยำ
  • ครอบคลุม - ส่งข้อความถึงผู้ใช้บริการทุกคนในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยไม่ต้องลงทะเบียน
  • มั่นใจ - เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับและใช้งานในหลายประเทศทั่วโลก

การพัฒนาระบบ CBS เป็นความร่วมมือระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกรมอุตุนิยมวิทยา โดยมีศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC (BNIC) พร้อมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้นำคณะกรรมาธิการการสื่อสารฯ ชมศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยศูนย์นี้ใช้เป็นห้อง War room ในการบริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทรูและดีแทค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบ CBS ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การจัดทดสอบเสมือนจริงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการเตือนภัยของประเทศไทย ที่จะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในปี 2568

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 ชุด อายุตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี ผลตอบแทนระหว่าง 2.95-4.00% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของ TRUE ที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 - 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือ ชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.95% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.86% ต่อปี

5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี

ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมทำกำไร (หลังรายการปรับปรุง) ในไตรมาส 3/2567 ถึง 3,107 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) 41,509 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 24,981 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเติบโต 2.7% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการยังปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% โดยทรูจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าและการบริหารงานภายใน พร้อมมุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”

การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้คืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 2 ปี ถึง 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวน และในช่วงดอกเบี้ยขาลง ดังเช่นการที่ธนาคารแห่งประเทศ

ไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนคงที่ในระยะยาวได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

Page 1 of 13
X

Right Click

No right click