บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 3/67 เท่ากับ 41,774
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 603 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,825 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 14.2% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิปกติเติบโตขึ้นอยู่ที่ 905 ล้านบาท เติบโต 34.8% จากยอดขายที่เติบโตขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มสินค้าและบริการ รวมไปถึงการจัดทำโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ จากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 5,876 ล้านบาท ลดลง 205 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วมียอดขายที่ลดลงเล็กน้อยจากการปรับราคาลงตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง หลัก ๆ จากราคาโซดาแอชที่ลดลง ในขณะที่กลุ่มบรรจุภัณฑ์กระป๋องมียอดขายที่ลดลงจากธุรกิจในประเทศเวียดนาม จากผลกระทบของสถานการณ์น้ำท่วมและการบริโภคที่ชะลอตัวลง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 22.0 เพิ่มขึ้น 220 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง จากราคาวัตถุดิบที่ลดลง ทั้งโซดาแอชและเศษแก้ว และการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ปกติของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 16.3 เพิ่มขึ้น 210 bps จากไตรมาสเดียวกันของ
ปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น กำไรสุทธิปกติสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.6 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค จากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 5,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.1 เมื่อเปรียบเทียบ กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค โดยยอดขายในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวเติบโตจากสบู่แพรอท
สินค้าใหม่ (ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม แบรนด์ Promise) และยอดขายสินค้า OEM นอกจากนี้ ยอดขายในกลุ่มสินค้ากระดาษของแบรนด์บริษัท (owned brand) เพิ่มขึ้นเช่นกัน อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค
ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 19.4 เพิ่มขึ้น 92 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค จากการขายสินค้าที่มี Margin สูงกว่าได้มากขึ้น (Product mix) ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ปกติในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 7.5 เพิ่มขึ้น 170 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิปกติสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.8 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค ยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค
ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายกลุ่มเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น จากการออกสินค้าใหม่ และยอดขายกลุ่มเครื่องมือแพทย์ที่เพิ่มขึ้นจาก งบประมาณภาครัฐที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค
ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 31.3 เพิ่มขึ้น 162 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการขายสินค้าที่มี Margin
สูงกว่าได้มากขึ้น (Product mix) ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ปกติไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 13.8 เพิ่มขึ้น 150 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิปกติสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 18.8 เมื่อเปรียบเทียบกับ
ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ จากรายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 28,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 769 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 25,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 777 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสอยู่ที่ร้อยละ 0.02 (ไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ซึ่งรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของ
ปีก่อนหน้าเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในหมวดอาหาร สด (Fresh Food) และรายได้อื่นอยู่ที่ 3,160
ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ 25 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผล
มาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าเช่าที่ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ร้อยละ 17.5 เพิ่มขึ้น 14 bps เมื่อเปรียบเทียบกับ
ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักจาก Sales mix การบริหารจัดการสต๊อกสินค้าที่ดี และการลดลงของต้นทุนค่าขนส่ง ขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายปกติ (EBITDA margin) ในไตรมาส 3/67
อยู่ที่ร้อยละ 11.0 เพิ่มขึ้น 10 bps เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นและต้นทุนการขนส่งที่ลดลง กำไรสุทธิปกติสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.9 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต ในจังหวัดยะลาภาคใต้ ของประเทศไทยจำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 11 สาขา (รวมบิ๊กซี มินิจำนวน 1 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านขายยาเพรียวจำนวน 4 สาขา และร้าน หนังสือเอเซียบุ๊คส์จำนวน 3 สาขาในระหว่าง
ไตรมาส และมีการปิดบิ๊กซิ ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าจำนวน 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี สุขาภิบาล 3-2 และบิ๊กซี รังสิต 2 โดยหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าของร้านค้าสาขาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมี สาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ และบริษัทได้ปรับเปลี่ยนบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 1 สาขาที่ตึกสำนักงานใหญ่บีเจซี เป็นบิ๊กซี มินิ ในรูปแบบแนวคิดใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อย
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการประกาศจาก “นิตยสารฟอร์จูน” จัดอันดับให้ติด 1 ใน 100 “Fortune’s Most Powerful Women Asia 2024” ในฐานะ “สตรีผู้ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการบริหาร ความเป็นเลิศทางนวัตกรรม การช่วยเหลือสังคม และการขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มบริษัทบีเจซีให้สามารถขยายธุรกิจเเละเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การจัดอันดับครั้งนี้ในปี 2567 ประกาศให้ นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 14 ผู้บริหารสตรีสัญชาติไทย
Thapanee Techajareonvikul in Fortune Most Powerful Women Asia 2024
Mrs. Thapanee Techajareonvikul, Chief Executive Officer & President of Berli Jucker Public Company Limited has been recognized as one of Fortune Most Powerful Women Asia 2024. Fortune magazine ranking highlights influential women across the Asia Pacific region. This recognition derives from Mrs. Thapanee’s outstanding role in management, innovative initiatives, relentless support of society, while continuously driving the growth and expansion of BJC Group.
Mrs. Thapanee Techajareonvikul, Chief Executive Officer & President of Berli Jucker Public Company Limited, has been selected as 1 of 14 Thai female executives in this ranking.
คุณอัศวิน – คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และกลุ่มศิลปินที่ร่วมจัดคอนเสิร์ต Wonderman BJC Big C Be With You Charity Concert ตัวแทนโดย คุณหมู MUZU คุณต้า Mr. TEAM และดีเจมิกซ์-เจริญ แซ่จู ร่วมใจจัดถุงยังชีพ ประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุอุทกภัยในทุกพื้นที่ โดยพนักงานจิตอาสาของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จะลงพื้นที่และนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ขอส่งกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปโดยเร็ว
สำหรับลูกค้าที่สนใจร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สามารถบริจาคได้ที่ มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 033-8-08520-6 (สามารถลดหย่อนภาษีได้) และสำหรับสมาชิกบิ๊กพอยต์สามารถร่วมบริจาคเงินได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2567 โดยใช้คะแนนบิ๊กพอยต์ 50 พอยต์ เท่ากับร่วมบริจาค 50 บาท คลิก https://bit.ly/47BgNky
ภายใต้แนวคิด Highway to Net Zero มุ่งสู่การเป็นองค์กรไร้คาร์บอน
“บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “BJC” ผู้ดำเนินธุรกิจพาณิชยกรรมนำเข้า-ส่งออก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ด้วยมูลค่าเสนอขายหุ้นกู้รวม 13,000 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3 ปี ถึงอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.93% ถึง 3.77% ต่อปี และมีอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2567 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 5 รุ่น ต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.93% ต่อปี จำนวน 3,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี จำนวน 6,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.33% ต่อปี จำนวน 2,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี จำนวน 1,000 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.77% ต่อปี จำนวน 1,000 ล้านบาท ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองซื้อเกินเป้าหมายกว่า 4 เท่า จากมูลค่าเสนอขายเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทพิจารณาเพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้ ซึ่งเป็นหุ้นกู้ส่วนที่สำรองไว้มาเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe Option) อีกจำนวน 6,000 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการในการลงทุนของนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจในการเข้าลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัท ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีให้กับบริษัท ซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจหลัก ตลอดจนมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
“ในนามของ BJC ต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 140 ปี โดยการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและผู้ลงทุนให้การตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดย BJC จะยังคงเดินหน้าเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มั่งคงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนคู่สังคมไทยต่อไป เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ทุกท่านมอบให้กับเรา” นางฐาปณี กล่าวทิ้งท้าย