

Thailand Fast Track ทางด่วนสตาร์ทอัพและนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย หนึ่งในความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่น่าลงทุน ผ่านการผนึกพลังกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทุกทวีปทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในไทย ปิดช่องว่าง ลดอุปสรรคและความท้าทายในการเข้ารับบริการต่างๆ ในไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ทั้งบริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย ตอบโจทย์การเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เปิดให้บริการแก่สตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างชาติแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ผสานระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม
พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand’s Growth สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เร่งเพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์จากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ จากผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติในงาน
ทรู มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ
นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ยุดดิจิทัล ผ่านทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยได้สรรหาทรัพยากรให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอมานานกว่า 6 ปี เราได้ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและธุรกิจระดับโลก สร้างเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีที่มีการขับเคลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย สำหรับงาน Thailand Fast Track นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ ทั้งยังได้เปิดตัว TDPK International Service Center ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งการจัดตั้งธุรกิจ บริการวีซ่า และสนับสนุนด้านการลงทุน และในฐานะตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอสำหรับวีซ่าพํานักระยะยาวในประเทศไทย จะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น
บีโอไอ กรุยทางดึงสตาร์ทอัพลงทุนในไทย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั่วโลก มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ ได้แก่
· ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดที่สำคัญอย่างอาเซียน จีน และ อินโด-แปซิฟิก รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
· บุคลากรที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
· นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพจากบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล และ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ และโครงการ Startup Matching Fund ที่ให้
เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Talent Attraction ผ่านวีซ่าพิเศษสำหรับสตาร์ทอัพ ทั้ง Long-Term Residence (LTR) Visa และ Smart Visa ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ด้วยการร่วมมือกับภาคการศึกษาต่าง ๆ ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนต่าง ๆ รวมถึงได้แต่งตั้งให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์สนับสนุนการขอวีซ่าและการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และเสริมสร้างการเติบโตของสตาร์ทอัพและระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ"
ญี่ปุ่นเน้นพัฒนาบุคลากร ควบคู่กับธุรกิจที่เติบโตไปกับคนไทย
Mr. Kajiwara Toru, Minister and Chief of the Economic Section Embassy of Japan ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยว่า มีบริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยมีกลยุทธ์ที่ต้องการเติบโตไปด้วยกันกับคนไทย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสําหรับนักพัฒนาแรงงานไทย รวมถึงร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งยังชี้ให้เห็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ปัญหามลภาวะทางอากาศ รวมถึงกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ (Decarbonization) ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ครบทุกมิติ พร้อมย้ำว่า เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
สหราชอาณาจักร ชื่นชมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยที่แข็งแกร่ง

Mr. Zak Lawton, Frist Secretary Technology & Head of Investment Embassy of the United Kingdom
กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยว่า สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ มากมาย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดธุรกิจด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เช่นปัญญาประดิษฐ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีโครงการที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการลดการใช้กระดาษและขั้นตอนต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ระบบข้อมูลดิจิทัล อาทิ การจัดเก็บ การสืบค้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเสนอแนะเรื่องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อช่วยให้การค้าและการลงทุนดำเนินการได้ง่ายมากขึ้น
ลักเซมเบิร์ก มองไทยโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีทางการเงินและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
Mr. Eric Lauer, Trade and Investment Advisor, Embassy of Luxembourg กล่าวว่านโยบายหลาย ๆ ด้านที่ไทยกำลังดำเนินการเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขั้นตอนทางกฎระเบียบให้คล่องตัวมากขึ้น หรือการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ อีกทั้งประเทศไทยยังมีความโดดเด่นมากใน 2 ด้าน ได้แก่ ความมุ่งมั่นของประเทศในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และ การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มี Sustainability Linked Bonds หรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการ ASEAN Startup Exchange ระหว่างลักเซมเบิร์กและอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพในแต่ละประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDPK International Service Center สามารถดูได้ที่ https://www.truedigitalpark.com/business-service
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ (คนกลาง) พร้อมด้วยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (คนแรกซ้ายมือ) และ ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) (คนแรกขวามือ) ประกาศความร่วมมือในการก่อตั้ง Sustainable Business Desk ในงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เมื่อเร็วๆ นี้
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพ ล่าสุดผนึกพลังกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสริมแรงดึงดูดชาวต่างชาติเข้าลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ด้วยบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบทุกความต้องการด้านการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ผ่าน TDPK International Service Center เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอกาสสร้างธุรกิจเติบโตได้เร็วตามเป้าหมาย ครอบคลุมบริการสำคัญๆ ทั้งเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาว กระตุ้นชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่งและมีทักษะสูงเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียนที่น่าลงทุน
รายงานของ ASEANstats เปิดเผยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับ 6 และมีอัตราการเติบโตลดลงต่อเนื่อง ในปี 2567 ที่ผ่านมา FDI ของประเทศไทยมีมูลค่าราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2566 ที่มีมูลค่า 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคอาเซียนยังคงน่าลงทุนและมีเม็ดเงิน FDI เติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศ ประเทศไทยจึงต้องเร่งส่งเสริมการลงทุน รวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการลงทุนของชาวต่างชาติในอาเซียน หากชาวต่างชาติหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา ส่งผลให้การจ้างงานในประเทศลดลง และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอ มานานกว่า 6 ปี เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งในการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับการแต่งตั้งจากบีโอไอ ให้เป็นตัวแทนที่ได้รับการรับรอง (Certified Agent) ให้ดูแลชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) และผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย โดยได้จัดตั้ง
TDPK International Service Center เป็นศูนย์บริการแบบครบวงจรทั้งเพื่อธุรกิจและการพำนักในประเทศไทย ที่ผ่านมา เราสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติให้ได้รับการอนุมัติวีซ่า SMART “S” Visa มากกว่า 100 ราย จาก 32 สัญชาติ เพื่อประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ดิจิทัล การเงิน ความบันเทิง และการศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนมากมาจากทวีปเอเชียและยุโรปตามลำดับ รวมถึงดูแลให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงได้รับวีซ่าพำนักระยะยาวแล้วกว่า 50 ราย จาก 15 สัญชาติ และมีบริษัทต่างชาติในระบบนิเวศของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค มากกว่า 300 บริษัท ผ่านโปรแกรม Global Startup หรือเช่าพื้นที่สำนักงานและโคเวิร์คกิ้งสเปซ
การทำงานอย่างใกล้ชิดกับบีโอไอและนักลงทุนต่างชาติจากทุกทวีปทั่วโลก ทำให้เราเข้าใจความท้าทายที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ โดยเฉพาะในด้านการเข้ารับบริการต่างๆ ในประเทศไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ ทำให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้ามาดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตในประเทศไทย
ระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สามารถตอบโจทย์และลดอุปสรรคในการเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center เชื่อมโยงทุกความต้องการของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งบริษัทเทคระดับโลก องค์กรเอกชนชั้นนำ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่และสตาร์ทอัพในแวดวงธุรกิจต่างๆ และให้บริการครบวงจรครอบคลุมทั้งบริการด้านกฎหมาย การเงิน การลงทุน บริการสนับสนุนทางธุรกิจ และอีกมากมาย จึงช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาในการติดต่อขอรับบริการต่างๆ สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมได้ชัดเจน และที่สำคัญยังได้รับคำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย เปิดโอกาสใหม่ๆในการเริ่มต้นธุรกิจ

เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย
TDPK International Service Center ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย
1. บริการวีซ่า : ทรู ดิจิทัล พาร์ค สนับสนุนนโยบายของบีโอไอ โดยส่งเสริมให้ชาวต่างชาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยในระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Residence Visa) บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ (Thailand Privilege Card) สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa) สำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพ และ วีซ่านักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ (Destination Thailand Visa - DTV) ทั้งนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์คยังเป็นศูนย์ให้คำแนะนำเรื่องการ ตั้งถิ่นฐาน รวมถึงบริการให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและประกันอีกด้วย
2. บริการด้านธุรกิจแบบครบวงจร : บริการดูแลเรื่องการปรึกษาด้านธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย และการหาเครือข่ายและนักลงทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในอนาคต รวมไปจนถึงการเช่าออฟฟิศที่เป็นที่อยู่สำหรับการจัดตั้งบริษัท
3. เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต : บริการต่างๆที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เช่น ฟิตเนส สปา ร้านอาหาร และโรงเรียนนานาชาติ รวมไปถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายชุมชนชาวต่างชาติในประเทศไทยที่จัดขึ้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ชมรมวิ่ง และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ
“ทรู ดิจิทัล พาร์ค ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนนี้ เรามุ่งมั่นที่จะดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศไทยผ่าน TDPK International Service Center เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2568 โดยเน้นนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด ผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เรามั่นใจว่า ความพยายามต่อเนื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย ช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก” ดร.ธาริต กล่าวสรุป
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ กล่าวถึง การจัดตั้ง Sustainable Business Desk ในการเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality - CN) ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อโลกอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ ทำให้หลายประเทศร่วมมือกันประกาศเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยหลายหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมโลกได้กำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตาม ส่วนผู้บริโภคและคู่ค้านั้นก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจหรือสินค้าที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) มากขึ้น

ดังนั้นเจโทร กรุงเทพฯ จึงจัดตั้ง Sustainable Business Desk ขึ้น ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ มีหน้าที่ช่วยเหลือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งไทยและญี่ปุ่นในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลของความร่วมมือสะท้อนผ่านการจัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เวทีความร่วมมือของภาครัฐไทยและญี่ปุ่น ทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) รวมถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่น ที่ได้ร่วมกันทำงานจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในด้านการดำเนินงาน พร้อมนำเสนอแนวทางความยั่งยืนในโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ และขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่ร่วมกันพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงยังมีการเซ็นต์สัญญาความร่วมมือระหว่างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio ในโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Microalgae CCUS)

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน โดยศูนย์แห่งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG (Bio Circular and Green Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลและ BOI
ที่ผ่านมา BOI มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยในปี 2567 BOI ได้อนุมัติโครงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวมวล ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิล เป็นต้น รวม 939 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 230,000 ล้านบาท หากนับตั้งแต่ปี 2561-2567 BOI ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG รวม 5,380 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสะสมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และความมุ่งมั่นของไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค
BOI ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การขยายการส่งเสริมกิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก การพัฒนา Bio Hub ในภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย และการปรับปรุงมาตรการ Smart & Sustainable Industry เพื่อช่วยให้กิจการต่างๆ สามารถลงทุนเพื่อยกระดับการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงส่งเสริมให้ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล ทั้งนี้ BOI จะยังคงทำงานร่วมกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน
สำหรับบทบาทของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC นั้น ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI ระหว่างปี 2561-2567 ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,823,805 ล้านบาท หรือประมาณ 52.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สัดส่วนเฉลี่ยการลงทุนในพื้นที่ EEC คิดเป็นร้อยละ 52 เทียบกับทั้งประเทศ

ในปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI สูงถึง 374,407 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ EEC เมื่อปี 2561 โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2,425 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 110,681 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ 75,302 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG 27,609 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ 41,686 ล้านบาท และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง 116,704 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญในพื้นที่ EEC ด้วยสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 12 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ EEC ระหว่างปี 2561-2567 โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
สำนักงาน EEC ตั้งเป้าหมายการลงทุนปี 2568 ไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566 - ปี 2570) ตั้งเป้าการลงทุนรวมไว้ที่ 500,000 ล้านบาท
ในปัจจุบัน สำนักงานมีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนของญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่ EEC หลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นั้น สกพอ. ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง โดยทางญี่ปุ่นเองถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน การผลิตพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการติดตามและบริหารจัดการคาร์บอนในองค์กร ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและยังมีช่องว่างในการเติบโตที่สูง จึงเหมาะกับการจับคู่ทางธุรกิจให้เกิดการลงทุนใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัทญี่ปุ่น และในอนาคตจะไม่จำกัดเฉพาะการซื้อและใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคมากขึ้น สอดคล้องกับการส่งเสริมด้านการลงทุนที่เน้น Co-creation ของรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย