December 05, 2025

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดงานคนพิการสากล เพื่อสร้างความตระหนัก ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของ “คนพิการ” ในงานดังกล่าว

นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ภายใต้นโยบาย "พม.ใกล้คุณ" โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงมี และสามารถ "ตั้งหลักใหม่" เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมี นางสาวสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ครอบครัวคนพิการ องค์กรคนพิการ อาสาสมัคร เครือข่ายเอกชน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงและยืดเยื้อ และการดูแลแบบ "บ้านสองวัย" ที่ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่วัยทำงาน ซึ่งส่งผลต่อช่องว่างระหว่างวัย อีกทั้งคนพิการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป ทั้งค่าดูแลอุปกรณ์ และการเดินทาง มีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความยากจนซ้ำซ้อน

ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมุ่งขับเคลื่อนงานตามนโยบาย "พม.ใกล้คุณ" ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานใกล้ชิดประชาชนและปัญหา โดยใช้หลัก 3H คือ Heart Head Hand ด้วยการทำด้วยใจ คิดด้วยสมอง แล้วยื่นมือมาช่วยเหลือกัน ตามมาตรการ "เร่งสร้างคุณภาพชีวิตคนพิการ" เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วย 4 Quick Win ได้แก่ 1) เร่งทบทวนหลักเกณฑ์ประเมินความพิการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการ 1,000 บาท ถ้วนหน้า 3) ปูพรมลงพื้นที่สำรวจข้อมูล เพื่อส่งมอบกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทความพิการ และ 4) พัฒนาแนวทางการกู้ยืมเงินกองทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะทำให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนี้สิน และมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน

นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" นั้น เป็นหนึ่งในภารกิจของการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะอาชีพ เชื่อมโยงตลาดแรงงาน และเปิดเวทีให้คนพิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมืออย่างยิ่งจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งภายในงานนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิธีเปิดงานฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน การลงนามบันทึกความร่วมมือ "ด้านการเสริมสร้างโอกาสการจ้างงานและการประกอบอาชีพ" การมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านคนพิการของกรม พก. และรางวัล "We Can Do" เชิดชูคนพิการต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่สังคม ตลาดอาชีพและสินค้าคนพิการกว่า 300 ร้านค้า เวทีเสวนาและเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ การสาธิตอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ เก่ง ธชย, นัน อนันต์ ไมค์ทองคำ และไรอัล กาจบัณฑิต และการแสดงความสามารถของคนพิการ วงดนตรีคนพิการ S2S ถ่ายทอดบทเพลงแห่งแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด "ความพิการไม่ใช่อุปสรรคของความสามารถ"

นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มุ่งหวังให้งานครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้คนพิการมีงานทำ แต่ยังเป็นเวทีที่แสดงให้สังคมได้เห็นคุณค่าของคนพิการที่มีศักยภาพและความสามารถไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ต้องการโอกาสที่เหมาะสม โดยกระทรวง พม. พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจ ให้โอกาสแก่คนพิการ ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ และก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมั่นคง สู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดพิธีเปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2568 โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ซึ่งมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Ballroom Hall 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้งาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises เป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการต่อประเด็นท้าทาย "วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ" ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม.ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยภายในงาน มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) อาทิ UNDP, UNESCAP, UNFPA, UNICEF, World Bank, APCD และ ASEC รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการเสวนา การอภิปราย และการหารือ World Cafe เพื่อเปิดเวทีร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต รวมทั้งการตัดแสดงนิทรรศการสาระน่ารู้ต่างๆ กิจกรรม Workshop ทำของที่ระลึก และ Market place เปิดพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของกลุ่มเปราะบางและภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. เป็นการให้โอกาสในการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมและมีคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายอนุกูล กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับหลักการ "ความเสมอภาค และความยั่งยืน" เป็นกระแสหลัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังคงเกิด "ความเหลื่อมล้ำ" ในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ  เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับวิกฤตโครงสร้างประชากร นั้น มี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 1) "เด็กเกิดน้อย" ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี หรือมีเด็กเกิดใหม่เพียง 4.6 แสนคน 2) "วัยแรงงานลดลง" ปี 2567 วัยทำงาน 3 คน ต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน และ 3) "สังคมสูงวัย" ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2567 โดยประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก หรือมากกว่าร้อยละ 20.69 ของประชากรไทย

ทั้งนี้วิกฤตโครงสร้างประชากร ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ ภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดต่ำลง ภาครัฐแบกรับภาระผู้สูงวัยมากขึ้น โรงเรียนปิดตัวจำนวนมาก เด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.02 ล้านคน ครอบครัวแหว่งกลาง ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีบุตร การค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางออนไลน์

สำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงอันดับที่ 30 ของโลก ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ โดยประเทศไทยต้องเผชิญกับ 4 ภัยหลัก ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยความร้อน และการกัดเชาะชายฝั่ง ซึ่งขณะนี้ เราต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ สถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นพื้นที่ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม) ตั้งแต่ปลายปี 2567 ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน ทั้งนี้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ คลื่นความร้อนสูงส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุและคนพิการที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรก การย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยพิบัติและหางานทำในเขตเมือง เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งในชุมชน ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ตกต่ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับทางออกของวิกฤตโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ กระทรวง พม. ได้ปรับตัวและรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ (1) การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคนทุกช่วงวัย อาทิ การขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านอย่างมีมาตรฐาน, การพัฒนาข้อเสนอขยายอายุเกษียณ, กฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ, การพัฒนานักบริบาลและคุ้มครองสิทธิ

ผู้สูงอายุ , การพัฒนาผู้นำคนพิการที่สร้างแรงบันดาลใจ (TOP10), ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และนิคม NEXT โมเดล และ (2) การดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) , การจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) โดยกระทรวง พม. เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์, การจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2568 ของกระทรวง พม. ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย, การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชากรกลุ่มเปราะบางและชุมชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารโลก (World bank), การปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่กลุ่มเปราะบาง, การพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาที่รับภาระได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการจัดถุงยังชีพ GO BAG สำหรับกลุ่มเปราะบางได้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกิดภั

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับอนาคต ในส่วนของประเทศไทย นั้น เราได้ขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขข้อท้าทายที่เกิดจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากนวัตกรรมที่หลายหน่วยงานนำมาจัดแสดงในงานครั้งนี้ อาทิ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ, การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับคนทุกช่วงวัย, การนำเทคโนโลยีและหุ่นยนต์มาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ, การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า (เกษตรสร้างสรรค์) และการพัฒนาต้นแบบการจัดการเชิงพื้นที่ของคนทุกช่วงวัย (โครงการนิคม NEXT)

"วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาของโลก ที่ประชากรทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกประเทศมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาแบ่งปัน นำไปปรับใช้ และงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ทำนโยบายเชิงรุกในการพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และงานวันนี้ จึงเป็นวาระสำคัญในการมารวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในอาเซียน ที่จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ซึ่งได้มาร่วมกันสร้างเจตนารมย์ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์สำคัญ เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป" นายอนุกูลกล่าว

ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ระหว่างวันที่ 17 - 18 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพราะวันนี้ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป เราทุกคนต้องร่วมกันจัดการและหาทางออก เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises" ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายและน่าสนใจมากมาย เริ่มจากวันที่ 17 กันยายน 2568 มีการจัดเวทีอภิปราย 2 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ "Demographic and Climate Crises" เป็นเวทีนานาชาติระหว่างหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (NDP), คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP),  กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA), องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF), สำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR), องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), ธนาคารโลก (World Bank), ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD), ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ACAI) และ สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEC) รวมถึง สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ซึ่งดำเนินรายการ โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ 8 Minute History และ Morning Wealth จาก THE STANDARD PODCAST อีกทั้งมีการจัด เวทีเด็กนานาชาติ โดยผู้แทนเด็กอาเซียนนำเสนอข้อเสนอประเด็น “Children Who Shape Tomorrow: ASEAN Community Vision 2045”

ส่วนในวันที่ 18 กันยายน 2568 พบกับการประชุมในรูปแบบ World Café หรือ สภากาแฟ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นร่วมกันให้ได้มุมมองที่หลากหลายระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ โดยมี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาเด็กและเยาวชนคุณภาพ (Overcoming Challenges to Enhance Quality and Productivity of Children and Youth)   2. การเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทุกช่วงวัยเพื่อความเข้มแข็งของครอบครัว (Fostering Intergenerational Solidarity to Strengthen Families for a Better Tomorrow)  3. การสร้างสังคมที่เข้าถึงได้และยั่งยืนสำหรับทุกคน (Building the Accessible and Sustainable Society for All)  4. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางสังคม (Climate Change and Its Social Impacts: Building Resilience and Adaptation)

ภายในงานทั้ง 2 วันยังมีโซนนิทรรศการที่น่าสนใจ 5 โซน ได้แก่ 1) โซน SDx Pavillion: Demographic and Climate Crises นำเสนอสถานการณ์ แนวโน้ม ผลกระทบของ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศ ผ่าน จอ LED ลูกโลกขนาดใหญ่  

2) โซน Better Life นำเสนอการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการนำเสนอ 1. บูธกิจกรรมจำลองการเป็นคนแก่และคนพิการ 2. บูธศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) กระทรวง พม. 3. บูธศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม.  4. บูธนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร กระทรวง พม. และ 5 บูธการจำลองห้องต่างๆ ภายในบ้าน  พร้อมกิจกรรมสำหรับคนทุกช่วงวัย ได้แก่ ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องนอน และห้องน้ำ อีกทั้งจำลองพื้นที่นอกบ้าน เป็นพื้นที่ Safe Sport  และพื้นที่สุขสันทนาการ พร้อมกิจกรรมWorkshop อาทิ การนวดผ่อนคลาย, การนวดแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome),  การมัดหมี่ผ้าไหม, การทำกิมจิ ด้วยหัวใช้เท้า, การทำของที่ระลึก เช่น ผ้าพันคอลายบาติกและพวงกุญแจลูกปัด

3) โซน Better Society นำเสนอโมเดลในการสร้างโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ได้แก่ นิคม Next โมเดลที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ ด้วยการจัดนิทรรศการมีชีวิตจากนิคมสร้างตนเองเลี้ยงไหม จังหวัดสุรินทร์ อีกทั้งมีการจัดแสดงบูธกาแฟกับการพัฒนาชาวเขา

4) โซน Better Future & International Pavilion นำเสนอผลงานของหน่วยงาน พม. ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ  ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน

5) โซน Market place ตลาดเอื้อสุข เป็นการเปิดพื้นที่นำเสนอแนวคิด (Concept) “ทุกความสุขใจของผู้ซื้อ คือกำลังใจให้ผู้สร้าง” โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากกิจกรรมฝึกอาชีพกลุ่มเปราะบางและเครือข่ายในชุมชนของกระทรวง พม. อาทิ งานหัตถกรรม เสื้อผ้า สิ่งทอ งานศิลปะ เครื่องประดับ งานฝีมือพื้นถิ่น นวัตกรรมอาชีพ สมุนไพร อาหารแปรรูป งานจักสาน และผลิตภัณฑ์เกษตร

ขอเชิญประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises” ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อร่วมกันจัดการและหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยเราทุกคนต้องร่วมมือ รวมพลังกัน เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ : https://www.facebook.com/share/1AVVt5UNCK/ 

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click