บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด (SCIeco) ผู้นำด้านการจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม และบริการการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม ชวนทุกท่านมาเจาะลึกอนาคตแห่งการจัดการสิ่งแวดล้อม ในงาน Environmental and Waste Management Expo 2024 (EnwastExpo 2024) งานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อม และการจัดการของเสีย ภายใต้แนวคิด “Join the movement towards a better planet” หรือ “ร่วมขับเคลื่อนสู่โลก ที่ดีกว่า”
ห้ามพลาดกับ SCIeco ภายใต้ Green Circular ซึ่งครั้งนี้มาในคอนเซ็ปต์ “Waste to The Future” ด้วยโซลูชันด้านการจัดการ Waste เพื่อสร้างสรรค์โลกที่ดีขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้แก่ Industrial Waste Management บริการรับจัดการของเสียและกากอุตสาหกรรม, Municipal Waste Management การจัดการ waste ภาคชุมชนมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน RDF, Agricultural Waste Management แปลงวัสดุเหลือทิ้งภาคการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล, Environmental Service Solutions บริการตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม พร้อมดูแลครบวงจร พร้อมกันนี้ ทุกท่านยังจะได้สัมผัสการสาธิตแบบจำลองระบบตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม โดยมี Model ปล่องระบาย
อากาศที่แสดงผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการตรวจวัดและวิเคราะห์คุณภาพอากาศจากปล่องอุตสาหกรรม
นิวยอร์ค, 12 กันยายน 2567 – เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และ ฮุนได มอเตอร์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อศึกษาการร่วมมือกันในอนาคต ซึ่งจะครอบคลุมกลยุทธ์หลักในหลายสาขา จีเอ็มและฮุนไดต่างค้นหาหนทางที่จะสร้างประโยชน์สูงสุด จากการควบรวมระดับการผลิตและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกับการเพิ่มทางเลือกยานพาหนะให้หลากหลายยิ่งขึ้น และส่งมอบเทคโนโลยีใหม่ให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ทั้งสองบริษัทเป็นผู้ผลิตระดับชั้นนำของโลก ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะจัดซื้อวัตถุดิบในหลายสาขาร่วมกัน ทั้งวัตถุดิบในการทำแบตเตอรี่ โลหะ และอื่น ๆ ผู้ที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมี Euisun Chung ตำแหน่ง Executive Chair ของ ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป และ Mary Barra ตำแหน่ง Chairperson และ CEO ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส
ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะก่อให้เกิดศักยภาพ ในการพัฒนารถยนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการเพิ่มสเกลการผลิต และการจัดสรรงบประมาณได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น “จีเอ็มและฮุนไดจะนำจุดแข็งและทีมงานที่มีฝีมือมาควบรวมกัน โดยเป้าหมายของเราคือการปลดล็อคขนาดและความสร้างสรรค์ของทั้งสองบริษัทฯ เพื่อส่งมอบรถยนต์ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้น” Barra กล่าว
ความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วของจีเอ็มและฮุนได ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทฯ สามารถเริ่มการพัฒนาของการแลกเปลี่ยนความสามารถร่วมกันได้
“ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ฮุนได มอเตอร์และจีเอ็ม ประมวลโอกาสที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในหลายตลาดหลัก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า ผ่านการผสานความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมของทั้งสองบริษัทฯ เข้าด้วยกัน” Chung กล่าว
หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่มีผลบังคับทางกฎหมายฉบับนี้ ทั้งสองบริษัทฯ จะเริ่มกระบวนการประมวลผลและเริ่มดำเนินงานทันที
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน “Sustrends 2025” ณ พิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ ด้วยการส่ง e-PromptMove (อี-พรอมต์มูฟ) โซลูชันผลิตและกักเก็บไฟฟ้าพลังงานสะอาดแบบเคลื่อนที่ เพื่อจ่ายไฟฟ้าที่ใช้ในงาน (ประมาณ 78 กิโลวัตต์ชั่วโมง) และรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ในการอำนวยความสะดวกผู้เข้าร่วมงานจากรถไฟฟ้า MRT สถานี ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์การจัดงานสัมมนาด้วยการใช้พลังงานสะอาด
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยว่า “บ้านปูยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมลดการปล่อยคาร์บอนในงาน Sustrends 2025 ซึ่งนับเป็นปีที่สองที่เราได้นำเทคโนโลยีพลังงานมาสนับสนุนการจัดงาน Sustrends บ้านปูเชื่อว่าการส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย สำหรับบ้านปู เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ในธุรกิจของเรา เช่น การเพิ่มพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System Solutions: BESS) ระบบจัดการการเดินทางและขนส่งด้วยยานพาหนะไฟฟ้า การจัดการพลังงานในอาคารและเมืองอย่างเหมาะสม เป็นต้น”
นอกจากการสนับสนุนโซลูชันพลังงาน e-PromptMove และตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi แล้ว บ้านปูยังได้นำเสนอนิทรรศการแสดงข้อมูลและเรื่องราวความยั่งยืน หรือ ESG ของบ้านปู รวมถึงได้นำผู้ประกอบการเพื่อสังคมในโครงการ “พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม (Banpu Champions for Change: BC4C) มาร่วมแบ่งปันแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ประกอบด้วย insKru (อินสครู) แพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมให้ครูส่งต่อแรงบันดาลใจและไอเดียดีๆ ให้กับเพื่อนครูทั่วประเทศ และ Saen-D (แสนดี) แอปพลิเคชัน AI ผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อคนวัยทำงาน
งาน Sustrends 2025 ได้รวบรวม 45 เทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังเปลี่ยนโลก จาก 15 วงการ จัดโดย The Cloud และได้รับการสนับสนุนจากบ้านปูและอีกประมาณ 20 หน่วยงานด้านความยั่งยืน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ที่มาร่วมผลักดันการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในประเทศไทย
“บางกอกเคเบิ้ล” โชว์วิสัยทัศน์ครบรอบ 60 ปี ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลของไทย หลังผลวิจัยต่างประเทศพบยุค Net-Zero ดันความต้องการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกพุ่ง 3 เท่าในปี 2050 หนุนความต้องการสายไฟทั่วโลกทะลุ 80 ล้านกิโลเมตร ประกาศแนวคิด “3 เซฟ” เซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม ยกระดับความปลอดภัยและขับเคลื่อนอนาคตของเมือง ด้วยสายไฟและสายเคเบิลเกรดพรีเมียม-การพัฒนาเทคโนโลยีสายไฟสำหรับ Smart City-การอำนวยความสะดวกการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ลุยสร้างความต่อเนื่องด้านนวัตกรรม 6 ทศวรรษ เปิดตัวสายไฟฟ้าแรงสูง 230kV รองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-นำสายไฟลงดิน-อัปเกรดสู่พลังงานหมุนเวียน เพิ่มกำลังการผลิตสู่ 60,000 ตันต่อปี ตั้งเป้า 3 ปี ชูความล้ำสมัยด้าน R&D บุกตลาดสายไฟอาเซียนและตลาดโลก ควบคู่พัฒนา Smart Factory เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใส่ใจสังคม ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เตรียมจัดงานฉลองใหญ่ครบรอบ 60 ปี 9 ก.ย.นี้ พร้อมนิทรรศการโชว์เส้นทางเติบโตยั่งยืนและสายไฟพัฒนาเมือง
นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา บริษัทและสายไฟฟ้าของบริษัทได้มีส่วนช่วยเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคของประเทศ สร้างรากฐานการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม การพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิตของคนไทย อาทิ การพัฒนาสายไฟฟ้าใช้ในโครงข่ายของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง การริเริ่มนำสายไฟฟ้าลงดิน ตลอดจนการเชื่อมต่อสายส่งในระบบรถไฟฟ้า จนถึงวันนี้ที่โลกกำลังเดินหน้าสู่ยุค Net-Zero GHG Emissions มุ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ บริษัทประเมินว่าสายไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกมาก เนื่องจากทั่วโลกจะมีความต้องการการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงราว 3 เท่าตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านไปใช้แหล่งไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนถึงราว 91% ภายในปี ค.ศ.2050 ส่งผลให้จะมีความต้องการสายไฟฟ้าถึงราว 80 ล้านกิโลเมตร เพื่อใช้อัปเกรดสายไฟฟ้าเดิมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้าใหม่ ให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทดแทน
“แนวโน้มในประเทศไทยเอง ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราเห็นความต้องการสายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ทั่วประเทศ การเดินหน้าแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย หรือ Grid Modernization การขยายตัวต่อเนื่องของธุรกิจที่ต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลอย่าง Data Center การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับทิศทาง Net Zero สายไฟฟ้าจะเป็นอีกหนึ่ง Key Driver ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนอนาคตของเมือง” นายพงศภัค กล่าว
บางกอกเคเบิ้ล ในฐานะผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นนำความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมมาพัฒนาเทคโนโลยีสายไฟฟ้าอย่างไม่หยุดยั้งให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก โดยยึดหลักแนวคิด “เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม” เพื่อยกระดับความปลอดภัยของทุกคนและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ได้แก่ 1.เซฟคน ปกป้องบ้านจากอันตรายที่มองไม่เห็น มอบความปลอดภัยให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยสายไฟที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพสูงสุด อาทิ สายไฟฟ้าจากทองแดงบริสุทธิ์ 99.99% อะลูมิเนียมบริสุทธิ์ 99.7% ที่นำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน ปลอดภัยต่อการใช้งาน สายทนไฟที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี
2.เซฟเมือง ร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับการขยายตัวของเมืองและกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยสายไฟฟ้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพชั้นนำระดับนานาชาติ การทดสอบคุณภาพสายไฟในห้องปฏิบัติการทดสอบทางไฟฟ้า (Lab) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย การบริการรถทดสอบสายไฟฟ้าแรงดันสูงเคลื่อนที่บริเวณหน้างานของลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาโปรดักท์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเมือง และ 3.เซฟสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับสายไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางอนาคตในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยบริษัทได้เป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิลรายเดียวในประเทศไทยที่เข้าร่วมในสมาคมเครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) และคว้าการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 เดินหน้าธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
นายพงศภัค กล่าวอีกว่า แนวคิด “3 เซฟ” จะรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต และครอบคลุมทุกความต้องการใช้งานของลูกค้าทั้ง 7 กลุ่มของบริษัท โดยในระยะสั้น บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์แนวคิดดังกล่าว อาทิ สายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ (Extra High Voltage) ชนิด 230 กิโลวัตต์ รุ่น 230kV CE(CAS) รองรับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า การนำสายไฟลงดินเพิ่มสุนทรียภาพของเมือง การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตัวนำอะลูมิเนียมคอมโพสิตหลัก (ACCC® Conductor) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตรายแรกในไทย เพื่อใช้อัปเกรดระบบไฟฟ้าให้รองรับพลังงานหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมจาก 55,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน สู่ 60,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสายไฟจาก 25% เป็น 35%
ขณะที่ในระยะกลาง 3 ปี (พ.ศ.2567-2569) บริษัทมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคอาเซียน ตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าของทั้งไทยและโลก ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การขยายสู่ตลาดภูมิภาค (Global Expansion) นำงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ล้ำสมัยของบริษัท นำเสนอเป็นสินค้าที่โดดเด่นสู่เวทีโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายและซัพพลายเชนของบริษัท 2.การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) บูรณาการเทคโนโลยีใหม่ๆ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสายไฟ มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 3.การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ฉลอง 60 ปีบางกอกเคเบิ้ล ด้วยการยึดมั่นบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตสายเคเบิ้ลที่จำเป็นในการรองรับความต้องการด้านไฟฟ้าของโลกยุค Net-Zero
สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ