

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เปิดเผยว่า ตลาดอินเดีย ยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มเข้าลงทุนในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ปี 2562 และขยายการลงทุนก่อตั้งโรงงาน 1 แห่ง ที่เมืองปูเน่ และเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยกำลังการผลิต 300 ล้านชิ้นต่อปี เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดอินเดียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 30 – 40% ต่อปี และในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 50% ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายในอินเดียทั้งปี 2568 จะพุ่งสูงแตะ 400 กว่าล้านบาทได้
สำหรับเป้าหมายระยะยาว 3 – 5 ปี บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 800 ราย จากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ราว 300 กว่าราย ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมจะพิจารณาตามสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ โดยโรงงานปัจจุบันมีพื้นที่ที่สร้างเผื่อไว้สำหรับการขยายไลน์ผลิตในอนาคตแล้ว
เปิดมุมมองผลกระทบจากนโยบายภาษี “ทรัมป์”
![]()
นายชัยวัฒน์ ประเมินว่า ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูงกว่าครึ่งของจีดีพี และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ กว่า 20 – 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ส่วนกลุ่มลูกค้าของเอกา โกลบอล มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 70%
“จากการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้า พบว่าผลกระทบนี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากอัตราภาษีของไทยจบลงที่ 35 – 36% คาดการณ์เบื้องต้นจะทำให้ยอดขายมีโอกาสลดลงไม่ต่ำกว่า 10 – 15% ซึ่งไทยจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านเพราะสัดส่วนภาษีสูงกว่า ทำให้แข่งขันได้ยาก”
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ และกลุ่มลูกค้ายังคงเฝ้าติดตามและรอให้การเจรจาภาษี ทรัมป์ ของแต่ละประเทศนิ่งและได้ตัวเลขอัตราภาษีสุดท้ายก่อน เพื่อปรับกลยุทธ์และเตรียมโซลูชันไว้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีนี้ เอกา โกลบอล ตั้งไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดีตามเป้ากว่า 10 – 15% จากปีก่อน แต่ด้วยสถานการณ์สงครามภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่สิ้นสุดลง ทำให้ยังมองภาพได้ไม่ชัดเจนนัก อาจมีการพิจารณาลดเป้าลงตามสถานการณ์
กลยุทธ์ระยะสั้นและยาว รับมือความไม่แน่นอน
มุมมองในระยะสั้น 3 เดือนนี้ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะยังไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง เนื่องจากภาษีทรัมป์เป็นเรื่องที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบ ขณะที่ เอกา โกลบอล จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ที่เน้นบรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูง ทำให้การปรับเปลี่ยนคำสั่งสินค้าไปประเทศใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
อย่างไรก็ดี เอกา โกลบอล จะประเมินสถานการณ์เป็นระยะสั้น ๆ 2 – 3 เดือน ไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องภาษีทรัมป์ หลังจากนั้น ในระยะยาว บริษัทฯ จะประเมินและวางแผนรับมือร่วมกันกับกลุ่มลูกค้าอีกครั้งว่าจะมีการปรับกลยุทธ์การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อย่างไร
![]()
เดินหน้าขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากสงครามภาษีของทรัมป์ บริษัทฯ เตรียมลุยทำการตลาดในประเทศอินเดียมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวได้ดี ตลาดอินเดียแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ เนื่องจากอินเดียเน้นการขายภายในประเทศเป็นหลักกว่า 80% ซึ่งทำให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในส่วนนี้
นอกจากนี้ เอกา โกลบอล ยังมองหาโอกาสขยายตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เพราะการส่งออกจากอินเดียไปตะวันออกกลางจะไม่มีภาษี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาตลาดนี้แล้วและคาดว่าหากสำเร็จจะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ภายใน 2 – 3 ปี
“เราเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารที่มีนวัตกรรมสูง ซึ่งการเข้าไปทำตลาดใหม่ ๆ เราจะทำการศึกษาทำงานวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้า คาดว่าจะใช้เวลา 2 – 3 ปี จึงจะทราบผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ได้สำเร็จหรือไม่” นายชัยวัฒน์ กล่าวปิดท้าย
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรก 68 ยอดติดลบลดลงเป็น 7% จาก 15% ชี้ 3 กลุ่มราคาบ้าน ‘ดาวรุ่ง – ทรงตัว – ติดลบ’ บ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท มาแรงจากปัจจัยหลักเรียลดีมานด์หนุนพลิกกลับมาเติบโต กลุ่ม 10 – 20 ล้านบาท ยัง ‘ทรงตัว’ ด้านบ้าน 20 ล้านบาท ติดลบ 15% ลุ้นต่อไตรมาส 3 ช่วงไฮซีซัน จับตา ‘ขึ้นค่าแรง – ภาษีทรัมป์’ ส่งผลต่อต้นทุนสร้างบ้านปรับขึ้นส่งท้ายปี พร้อมเร่งสร้างการรับรู้ผู้บริโภค โชว์จุดเด่น ‘มืออาชีพ – เชื่อถือได้ – บริการครบวงจร’ ควบคู่จัดอีเวนต์ใหญ่ ‘รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025’ ระหว่าง 10 – 14 กันยายน 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6
นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2568 ว่า ยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ อยู่ในภาวะติดลบลดลง จากติดลบ 15% ในไตรมาสแรก มาเป็นติดลบเหลือ 7% โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักมาจากความต้องการที่แท้จริง หรือ เรียลดีมานด์ในเซกเมนต์บ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่ฟื้นตัวและสามารถผลักดันให้ตลาดส่วนนี้เติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน
ขณะที่ตลาดบ้านราคา 10 – 20 ล้านบาท ยังเป็นเซกเมนต์ที่ “ทรงตัว” และยังไม่พบปัจจัยที่เป็นสัญญาณบวกมาสนับสนุนให้ตลาดกลุ่มนี้ฟื้นตัว ส่วนราคามากกว่า 20 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นเซกเมนต์ที่มีการหดตัวมากกว่า 2 กลุ่มแรก โดยมียอดติดลบ 15%
“ผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นการสร้างเพื่ออยู่อาศัยจริงและกลุ่มมีกำลังซื้อมีเงินออมอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีความกังวลถึงต้นทุนก่อสร้างที่อาจปรับขึ้นได้จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งค่าแรง วัสดุก่อสร้าง ทำให้ตัดสินใจสร้างบ้านในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่บ้านเกินกว่า 20 ล้านบาท แม้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แต่เนื่องจากเป็นบ้านหลังที่สองและสามจึงยังไม่มีความจำเป็นด้านการเข้าพักอาศัย ทำให้เลื่อนการตัดสินใจสร้างบ้านออกไปก่อนเพื่อรอดูภาพรวมของเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่วนบ้าน 10 – 20 ล้านบาทที่ตลาดทรงตัว เพราะขาดความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ การเมืองภายในและต่างประเทศ อีกทั้งส่วนใหญ่จะไม่ใช่บ้านหลังแรกจึงขอรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งจากการตัดสินใจของผู้บริโภคทั้งสามกลุ่ม ทำให้ต้องจับตามองตลาดในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป” นายอนันต์กร กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากตลาดในภาพรวมแล้ว เมื่อเจาะลึกลงรายพื้นที่พบว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นตลาดที่มีภาวะหดตัวมากที่สุดประมาณ 30% ขณะที่ภาคตะวันออก ในภาพรวมเติบโตประมาณ 3% โดยมีจังหวัดชลบุรีเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุด ส่วนภาคใต้ เติบโตประมาณ 8% และมีการขยายตัวมากที่สุดในจังหวัดภูเก็ตและสงขลา ส่วนภาคเหนือโดยรวมตลาดหดตัวประมาณ 12% มีเพียงตลาดเชียงใหม่ที่สามารถ “ทรงตัว” อยู่ได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวมติดลบ 20% อย่างไรก็ดี นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่สามารถเติบโตได้ดีประมาณ 11% ส่วนตลาดภาคกลางและภาคตะวันตก ถือว่ายังอยู่ในภาวะทรงตัว
![]()
นายอนันต์กร กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดในครึ่งปีแรก สมาคมฯ ต้องเร่งจัดกิจกรรมและสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผู้บริโภคในวงกว้างให้มากขึ้นกว่าเดิมผ่านสมาชิกสมาคมฯ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเน้นถึงมาตรฐานการก่อสร้าง การให้บริการที่ครบวงจร ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างบ้านและจุดขายที่แตกต่างจากบริษัทรับเหมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น
“ที่ผ่านมา สมาชิกฯ ในต่างจังหวัดมีการจัดอีเวนต์สำหรับโซนของตัวเองเพื่อสร้างกำลังซื้อ และสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแตกต่างจากผู้รับเหมาอย่างไร ส่งผลให้บางพื้นที่มีผู้บริโภคเลือกใช้บริการมากขึ้น ส่งผลให้บางจังหวัดขยายตัวได้ดี” นายอนันต์กร กล่าว
สำหรับการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ผู้บริโภคในส่วนของสมาคมฯ จะเกิดขึ้นในไตรมาสที่สามในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025” โดยปีนี้จัดขึ้นในคอนเซ็ปต์ “สร้าง อยู่ ดี” สะท้อนภาพที่ชัดเจนในการสร้างบ้านกับนักสร้างมืออาชีพ บริษัทที่มีประสบการณ์สูง และความเป็นอยู่ที่ดีจากบ้านคุณภาพ ซึ่งงานจัดระหว่าง 10 – 14 กันยายน 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6
“หากผู้บริโภคคิดจะสร้างบ้าน ก่อนการตัดสินใจ แนะนำให้ศึกษาประวัติและผลงานของบริษัทนั้น ๆ ว่ามีประสบการณ์อย่างไร สร้างบ้านมาแล้วกี่หลัง รวมถึงสอบถามลูกค้าที่เคยสร้างบ้านกับบริษัทสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ จะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งถือเป็นไฮซีซันของธุรกิจรับสร้างบ้าน ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อผู้บริโภคจะกลับมา จากความต้องการสร้างบ้านเพื่ออยู่จริง ราคาสร้างบ้านที่ยังคงราคาต้นทุนเดิมในไตรมาสสาม ขณะที่มีแนวโน้มต้นทุนสร้างบ้านอาจปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้และในปีหน้า จากการประกาศปรับค่าแรง 350 เป็น 400 บาท รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่อาจปรับตัวขึ้นจากผลกระทบภาษีทรัมป์” นายอนันต์กร กล่าว