

สสว. MOU ไคโก ไลฟ์ จากแดนปลาดิบ เพื่อขยายช่องทางการตลาดไปในประเทศญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL เชื่อมต่อสถาบันการเงินทั้งไทยและญี่ปุ่น ให้บริการแก่สมาชิก ONE ID ของ สสว.
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า พิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง สสว. และ บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ผ่านแพลตฟอร์ม “Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นสมาชิก ONE ID ของ สสว. ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL (“TH-JP BAG”) กำหนดระยะเวลาความร่วมมือตั้งแต่ วันนี้ จนถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2571 หรือมีระยะเวลา 3 ปี เป็นต้นไป
รก. ผอ. สสว. เผยอีกว่า สำหรับบทบาทของ สสว. คือ เพื่อสร้างขีดความสามารถและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เอสเอ็มอี รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ และร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจการของเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย เช่น จัดหาสิทธิประโยชน์สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์ม “TH-JP BAG” และความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับคู่ธุรกิจระหว่างเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางธุรกิจเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
“บริษัท ไคโก ไลฟ์ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น คือ Kokopelli ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 64,000 ราย และธุรกิจเหล่านี้ก็จะเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยเอสเอ็มอีไทยในอนาคตอีกด้วย”
นายชินธิป พรประภา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า ขอบเขตความร่วมมือของบริษัท ได้แก่ การให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ สสว. ที่เป็นประโยชน์ให้แก่ เอสเอ็มอี และวิสาหกิจรายย่อย รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ “TH-JP BAG” ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศญี่ปุ่น ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย
“บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ขอมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการภายใต้ MOU โดยจะร่วมกันขยายช่องทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจที่มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ในด้านการเชื่อมต่อสถาบันการเงินร่วมให้บริการแก่สมาชิกเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์ม ปัจจุบันมีสถาบันการเงินกว่า 80 สถาบัน ร่วมให้บริการในประเทศญี่ปุ่น การต่อยอดในประเทศไทยจะเป็นการพัฒนาคุณลักษณะของการใช้งาน เชื่อมโยงสถาบันการเงินในประเทศไทยเพื่อให้บริการร่วมในแพลตฟอร์ม TH-JP นี้ โดย Kokopelli ร่วมกับบริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด พัฒนาระบบให้เหมาะกับเอสเอ็มอีไทยที่มีความแตกต่างในการทำธุรกิจและการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงินที่แตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากการดำเนินการที่ญี่ปุ่นเป็นพื้นฐาน รวมถึงการเชื่อมต่อเครื่องมือทางการเงินจากต่างประเทศและการสร้างโอกาสผ่านการจับคู่ธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตและบริการของเอสเอ็มอี” นายชินธิป กล่าว
เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ระดับ 53.9 อานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และการเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปีของภาคเอกชน ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคและกระตุ้นใช้จ่ายมากขึ้น
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนี SMESI ประจำเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.9 จากระดับ 53.0 ของเดือนก่อนหน้า และปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 มีปัจจัยบวกจากการขยายตัวอย่างชัดเจนของภาคการบริการ ตามแรงส่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งตัวสูงในช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกด้านกำลังซื้อจากการเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปีของภาคเอกชนที่กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก อย่างไรก็ตามภาคการผลิตมีแนวโน้มทรงตัว ตามการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลดกำลังการผลิตตามจำนวนวันหยุดในช่วงสิ้นปี เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนี พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ มีสาเหตุมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งด้านการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค โดยองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 62.0 เป็นระดับ 63.3 องค์ประกอบด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 58.1 เป็นระดับ 58.5 องค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดจากระดับ 50.6 เป็นระดับ 52.2 องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.2 เป็นระดับ 39.8 องค์ประกอบด้านกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 58.0 เป็นระดับ 59.4 และองค์ประกอบด้านการจ้างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.2 เป็นระดับ 50.3
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ ประจำเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 54.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.3 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งขยายตัวในทุกพื้นที่จากภาคการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศที่พุ่งสูงในช่วงปลายปี นอกจากนี้วันหยุดยาวและการจัดงานอีเว้นท์ส่งเสริมเทศกาลต้อนรับปีใหม่ ยังส่งผลดีให้กับหลายสาขาธุรกิจ ทั้งกลุ่มงานจัดเลี้ยง งานสันทนาการ ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 58.6 ปรับเพิ่มจากระดับ 57.8 ของเดือนก่อนหน้า โดยปรับตัวดีขึ้น ตามองค์ประกอบด้านปริมาณผลผลิตที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรเป็นสำคัญ หลายรายการยังมีราคาสูงต่อเนื่อง และแรงส่งด้านสภาพอากาศที่เย็นลง ส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 53.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.6 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งภาคการค้ายังขยายตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่กลุ่มการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามกลุ่มสินค้ากึ่งคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวดีขึ้นในบางพื้นที่จากการจ่ายเงินโบนัสประจำปี ขณะที่ภาคการผลิตอยู่ในระดับทรงตัวที่ระดับ 52.6 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.5 เป็นผลมาจากการทยอยขายสินค้าที่ผลิตไว้ โดยเฉพาะอาหาร ยาและสมุนไพร และสินค้าของฝาก ในกลุ่มที่มีราคาต่อหน่วยไม่สูง ในขณะที่ภาพรวมเดือนนี้มีการลดปริมาณการผลิตลง ตามจำนวนวันทำงานที่มีวันหยุดในช่วงเทศกาล ในขณะที่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก ชะลอตัวต่อเนื่อง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค ประจำเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.4 ของเดือนก่อนหน้า โดยภาคธุรกิจในพื้นที่ขยายตัวอย่างมากจากปัจจัยของสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิ
เย็นลง ทำให้กิจกรรมที่ดึงดูดกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น กิจกรรมที่พักแรม สินค้าของฝากของที่ระลึก เช่น ยา สมุนไพร เสื้อผ้า สิ่งทอ และกิจกรรมบริการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ธุรกิจการเกษตรยังขยายตัวดีจากปัจจัยของสภาพอากาศเช่นเดียวกัน ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.7 ของเดือนก่อนหน้า เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการเดินทางระหว่างภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นจากเทศกาลวันปีใหม่กับเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันในปีก่อน พบว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ตามเส้นทางการเดินทางขยายตัวอย่างชัดเจน ส่งผลดีต่อภาคการบริการ รวมถึงการค้าสินค้าของฝาก ของที่ระลึก และอาหาร ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 54.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.4 ของเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากแรงกระตุ้นของภาคการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มตลาดระยะไกล (Long-haul) ที่ยังเพิ่มต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก่อนหน้า ส่งผลให้กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขยายตัวชัดเจน ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปียังสร้างผลดีกับภาคการค้า และยอดขายของภาคการผลิตในพื้นที่ ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 54.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่เข้าสู่ช่วง High season เป็นปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อย่างไรก็ตามบางพื้นที่ เช่น สุราษฎร์ธานี ยังเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน และอุทกภัยระยะสั้นในช่วงกลางเดือน ซึ่งกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในบางส่วน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 54.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยธุรกิจในพื้นที่ได้รับกำลังซื้อเพิ่มเติมจากแรงงานกลับถิ่นในช่วงวันหยุดเทศกาล ส่งผลดีกับธุรกิจภาคการค้าปลีก ค้าส่ง รวมถึงกลุ่มค้าจักรยานยนต์ที่มียอดขายเพิ่มมากขึ้นจากรายได้ภาคการเกษตรตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเห็นการซื้อสินค้ากึ่งคงทนในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น สร้างผลดีกับสาขาการผลิตเฟอร์นิเจอร์ และภาคการค้าในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 53.3 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 53.1 ของเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วง High season โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซีย ส่งผลดีกับกิจกรรมบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น การขนส่งบุคคล ร้านอาหาร อย่างไรก็ตามในเชิงของที่พัก เริ่มเห็นการตึงตัวของค่าใช้จ่ายจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกที่พักที่มีราคาถูก รวมถึงกลุ่มที่พักที่ปล่อยเช่ารายวัน ผ่านแอปพลิเคชันที่มีราคาเฉลี่ยถูกกว่า
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.0 ซึ่งปรับลดลงจากระดับ 53.9 ที่คาดการณ์ในเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากความกังวลของผู้ประกอบการภาคการผลิตเป็นสำคัญที่ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งปัจจัยกำลังซื้อในระยะยาวยังแผ่วลงอย่างต่อเนื่องซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิต และปริมาณการขายสินค้า รวมถึงแรงกดดันจากด้านต้นทุน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งกระทบต่อการดำเนินการของภาคธุรกิจการผลิต ในขณะที่ภาคการค้าและการบริการชะลอตัวลงเช่นกัน ตามการขาดแรงส่งด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางเป็นหลัก
นอกจากนี้ สสว. ยังเปิดเผยถึงภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 52.4 ปรับตัวลดลงจากปี 2566 ที่ระดับ 53.2 มีสาเหตุมาจากภาพรวมเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคชะลอตัวลง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้นทุนราคาสินค้าและวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงปัญหาการเข้ามาแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาในระยะสั้น ปัญหาจากสภาวะแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตในภาคการเกษตร สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งที่ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยให้สิทธิในการเข้าร่วมมาตรการครอบคลุมถึงธุรกิจรายย่อยมากขึ้น เป็นการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้นและเป็นมาตรการที่เป็นแบบต่อเนื่อง รองลงมา คือ ด้านภาระหนี้สินและเงินทุน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาการผิดนัดชำระในช่วงเวลาถัดไป รวมถึงมาตรการควบคุมราคาต้นทุนปัจจัยการผลิต ที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคการผลิต นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐมีการส่งเสริมเรื่องศักยภาพของธุรกิจ เช่น การหาเครือข่ายหรือกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันเพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ โดย สสว. มีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301
สสว. จัดเวทีสัมมนาประจำปี “SME Symposium 2024” ชี้ทิศทางธุรกิจ SME ปี 2568 กลุ่มดาวรุ่ง ได้แก่ การผลิตสื่อคอนเทนต์ การขายสินค้าออนไลน์ การผลิตเครื่องดื่มอัดแก๊ส บริการจัดเลี้ยง ธุรกิจฟิตเนส ยิม และการจัดการแข่งขันกีฬา ส่วนธุรกิจหอพักนักเรียนนักศึกษา ต้องเฝ้าระวัง 3 ปีซ้อน เนื่องจากมูลค่าธุรกิจลดลงต่อเนื่อง ผลจากความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนแปลงไป สสว. เชื่อมั่นทางรอดเอสเอ็มอีแข่งขันได้ คือ การค้นหาเอกลักษณ์ สร้างอัตลักษณ์ เพิ่มความแตกต่างจากคู่แข่ง และใช้ ESG ช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้ต่อไป
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวว่า สสว. จัดงาน SME Symposium 2024 ให้เป็นงานสัมมนาประจำปีเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 เป้าหมายสำคัญเพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ของเอสเอ็มอีในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 รวมทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
สำหรับสถานการณ์เอสเอ็มอีปัจจุบัน พบว่าเอสเอ็มอีไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจเอสเอ็มอีมีจำนวนทั้งสิ้น 3.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจขนาดย่อมที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงในอัตราร้อยละ 8.2 และ 5.4 ตามลำดับ ด้านการจ้างเอสเอ็มอีได้สร้างงานกว่า 12.93 ล้านตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของการจ้างงานทั้งประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจในภาคการบริการและภาคการค้าที่เอสเอ็มอีมีบทบาทอย่างมากทั้งในด้านจำนวนธุรกิจและการจ้างงาน
โดยเอสเอ็มอีสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยสะสมตั้งแต่ไตรมาส 1 - ไตรมาส 3 ปี 2567 มากกว่า 4.81 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35 ของ GDP ประเทศ ขยายตัวได้ร้อยละ 3.0 โดยภาคการค้า การผลิต และการบริการ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การบริโภคจากนักท่องเที่ยวและการส่งออกที่เติบโตขึ้นได้ช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติหลายครั้งที่กระทบภาคธุรกิจการเกษตรอย่างมาก
ด้านการค้าระหว่างประเทศ 10 เดือนแรก เอสเอ็มอีไทยสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 1.15 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 ของรายได้จากการส่งออกรวม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 18.6
โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ในกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง ขณะที่การนำเข้าของเอสเอ็มอีไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 โดยเกือบร้อยละ 50 เป็นการนำเข้าสินค้าจากจีน โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางสำหรับใช้ในการผลิตทั้งเพื่อใช้ในประเทศและเพื่อส่งออก เนื่องจากสินค้าจีนมีราคาถูกกว่าและช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการไทยได้
จากผลการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลของ สสว. ในปี 2567 เทียบกับปี 2566 เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจใดขยายตัวหรือธุรกิจใดมียอดขายลดลง โดยใช้เกณฑ์ยอดขายมากกว่า หรือน้อยกว่า 30% จากปีก่อน พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวหรือการลดลงของยอดขายในธุรกิจ มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน เทรนด์หรือแนวโน้มการปรับตัวไปสู่ธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยธุรกิจที่มีรายได้ขยายตัวมากกว่า 30% จากปีก่อน หรือที่เรียกว่ากลุ่มดาวรุ่ง
ได้แก่ กลุ่มธุรกิจห้องพักรายเดือน ขยายตัวตามพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมการซื้ออสังหาริมทรัพย์และต้องการใช้ชีวิตในเมือง กลุ่มธุรกิจการขายสินค้าบนช่องทางออนไลน์ ขยายตัวจากพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนแปลงและง่ายต่อการเข้าถึง กลุ่มธุรกิจผลิตสื่อคอนเทนต์ ขยายตัวจากการผลิตสื่อบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เติบโตสูง กลุ่มธุรกิจฟิตเนส/ยิมและการจัดแข่งกีฬา ที่ขยายตัวตามเทรนด์การดูแลสุขภาพและการเติบโตของกิจกรรมการแข่งกีฬา และธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ขยายตัวได้ตามความนิยมการซื้อของออนไลน์
ส่วนธุรกิจเฝ้าระวัง พบว่า อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตได้ง่าย และต้องใช้เทคโนโลยีดั้งเดิม ยากต่อการปรับตัวเพื่อให้เข้าสู่ธุรกิจสีเขียวและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมได้ยาก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก การผลิตเคมีภัณฑ์ การผลิตเครื่องหนัง การผลิตสิ่งทอ และกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภครวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น
ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหอพักนักเรียนหรือนักศึกษาที่มีตัวเลือกมากและหลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน ธุรกิจสวนสนุก เช่น สวนน้ำที่มีการแข่งขันสูงกับธุรกิจสวนสนุกขนาดใหญ่ที่มีเครื่องเล่นหลากหลาย มีความเฉพาะในรูปแบบการท่องเที่ยวที่ต้องเน้นไปยังกลุ่มวัยรุ่นและเด็ก ต้องอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ การทำโปรโมชั่นที่แข่งขันอย่างรุนแรงในตลาด
โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้กล่าวไปนั้น ทั้งในส่วนที่เป็นกลุ่มดาวรุ่งและกลุ่มธุรกิจเฝ้าระวัง ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องในปี 2568 จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ กำลังซื้อภาคประชาชน เทรนด์หรือแนวโน้มใหม่ที่จะเกิดขึ้น
รักษาการ ผอ. สสว. เผยอีกว่า ส่วนการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์เอสเอ็มอีปี 2568 สสว. คาดว่า GDP เอสเอ็มอีไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.5-3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกที่ยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและการผลิต เช่น อาหารและเครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ยังคงต้องกังวลกับสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาจากสินค้าจีนบุกตลาดไทยและทั่วโลก เอสเอ็มอีไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวจากความท้าทายดังกล่าว โดยสร้างความแตกต่าง มีเอกลักษณ์ หรือการสร้างคุณค่าผ่านอัตลักษณ์ไทย
จากการศึกษาของ สสว. ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ไทยมีศักยภาพสูงในหลายด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว แหล่งผลิตอาหารคุณภาพสูงของโลก ศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า แต่ยังขาดการเชื่อมโยงไปยังสินค้าและบริการที่จะส่งผ่านคุณค่าไปยังกลุ่มเป้าหมาย หากเอสเอ็มอีไทยจะก้าวข้ามและสามารถแข่งขันได้ในระยะต่อไป จำเป็นต้องสู้ในธุรกิจมูลค่าสูง โดยการยกระดับสินค้าและบริการด้วยคุณค่าที่มากกว่าการซื้อสินค้าและบริการตามความจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่ต้องสร้างสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการเชิงอารมณ์ ที่สามารถเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ประสบการณ์ที่แตกต่าง ประสบการณ์ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าความปกติ สามารถส่งผ่านประสบการณ์ผ่าน Social Media ได้
ทั้งนี้ การยกระดับ พัฒนาสินค้าและบริการให้ไปถึงความต้องการนั้นได้ ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ แนวความคิดของผู้ประกอบการ การเข้าใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การสร้างคุณค่าของสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง 3 ปัจจัยหลักถูกเชื่อมโยงกันและขับเคลื่อนเป็นพลวัต ไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะประสบความสำเร็จได้ โดยปัจจัยด้านแนวคิดของผู้ประกอบการ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ของตัวผู้ประกอบการเองที่มีความสามารถในการมองเห็นโอกาส ทิศทาง หรือแนวโน้มอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ การสร้างคอนเนคชั่นในเชิงธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงและนำไปต่อยอดได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่วนปัจจัยในด้านกลุ่มเป้าหมาย หรือ กลุ่มลูกค้า พบว่า ปัจจัยที่มีความสำคัญ อาทิ ความเข้าใจและจำแนกกลุ่มลูกค้าของตนได้อย่างชัดเจน สามารถสร้างสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด พัฒนากลยุทธ์การตลาดกับกลุ่มเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงและเกิดความต้องการ
เช่น การสร้างเรื่องราวที่สัมพันธ์กับสินค้าหรือบริการ การดึงจุดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถใช้กลยุทธ์และเครื่องมือการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนดไว้
ส่วนปัจจัยด้านคุณค่าของสินค้าและบริการ เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งต่อคุณค่าไปยังกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ โดยมีพื้นฐานจากการใช้วัตถุดิบที่ดีและมีคุณภาพ การมีทักษะการผลิตหรือการให้บริการขั้นสูง มีมาตรฐานหรือผ่านการประกวด ได้รับรางวัลจากเวทีต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้าและบริการ
ในส่วนการสร้างธุรกิจมูลค่าสูงนั้น ผู้ประกอบการต้องมีแนวคิดและเข้าใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สามารถส่งผ่านคุณค่าของสินค้าและบริการนั้น ไปยังเป้าหมายที่กำหนด เพื่อให้เกิดความต้องการเชิงอารมณ์ มากกว่าแค่ความจำเป็นในการดำรงชีวิต
โดยสามารถเชื่อมโยงกับความเป็นไทย ศิลปะท้องถิ่น ทรัพยากรเฉพาะถิ่น นำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งการใช้เครื่องมือการตลาดที่เหมาะสม เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง คุณค่าดังกล่าวสามารถทำให้ผู้บริโภคมองข้ามปัจจัยด้านราคา และยอมจ่ายในราคาที่เหมาะสมกับคุณค่าที่ได้รับ และเป็นการสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้
อย่างไรก็ดี ภายในงาน “SME Symposium 2024” ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “สรรค์สร้างอัตลักษณ์
ฝ่าวงล้อมมังกรใหญ่ ทางรอดธุรกิจ SME ไทย” โดยวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาร่วมให้ข้อมูลรวมถึงมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์ ได้แก่
1) นายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมการค้าดิจิทัลไทย (TDTA) มาให้ข้อมูลแนวทางการรับมือกับการเข้ามาของสินค้าจีนและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่ตลาดจีน
2) นายดุลยพล ศรีจันทร์ Co-Founder ของ PDM Brand ผู้จำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เสื่อตกแต่งบ้านที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว มีการจัดจำหน่ายสินค้าโดยไม่ต้องมีโรงงานผลิต ไม่มีสินค้าในคลังสินค้าให้เป็นต้นทุนหลัก
3) นางสาวณัฐธิดา พละศักดิ์ เจ้าของธุรกิจร้านอาหารซาว ร้านอาหารอีสานพรีเมี่ยมที่มี Style เฉพาะตัวด้วยเมนูอีสานแท้หาทานยากและมีความหลากหลาย เน้นวัตถุดิบคุณภาพ สะอาด รสชาติที่มีความเป็นอีสานอย่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
และ 4) นายจิรายุทธ ภูวพูนผล Co-Founder ร้าน โอ้กะจู๋ กิจการฟาร์มผักออแกนิคสู่ร้านสลัดพันล้าน ผู้ให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ถือเป็นต้นทางของวัตถุดิบคุณภาพและการพัฒนาเครือข่ายสังคมให้ท้องถิ่นเติบโตไปพร้อมกัน การสร้างธุรกิจที่อยู่ในกระแสสุขภาพ รวมถึงการขยายธุรกิจโดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ร่วมทุนด้วยทำให้สามารถเสริมศักยภาพกิจการให้เติบโตได้เร็วขึ้น
เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มตลาดทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นจากการเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่มีการผลิต หรือมีส่วนของการดำเนินการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคิดเพื่อสังคม รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่เชื่อถือได้ ตามแนวทาง ESG (Environment, Social, และ Governance) เพื่อความยั่งยืน (Sustainability) ในการดำเนินธุรกิจด้วย
ดังนั้น เอสเอ็มอีที่เริ่มลงทุนใหม่หรือวางแผนลงทุนเพิ่มเติม ควรคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า แม้กระทั่งการเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ สสว. ได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งด้านการให้ความรู้เตรียมความพร้อมให้ การเพิ่มศักยภาพ การให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน การจัดทำมาตรฐาน การจัดทำข้อมูลการใช้คาร์บอน ผ่านงานส่งเสริมต่าง ๆ ของ สสว. และหน่วยร่วมดำเนินการ โดยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SME Connext และยังสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301