กรุงเทพฯ (16 ธันวาคม 2567) – 24X บริษัทสตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษาและติดตั้งแบบครบวงจรให้กับลูกค้าทั้งแบบ B2B และ B2C ผ่านพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีความหลากหลาย ประกาศความสำเร็จครั้งใหม่ในการระดมทุนรอบซีรีส์ บี โดยสองกลุ่มนักลงทุนระดับชั้นนำอย่าง เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์สและกรุงศรี ฟินโนเวต ในเครือกรุงศรี ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ 24X ในการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการเฉพาะทางด้านการซ่อมแซมบำรุงรักษาและติดตั้งครบวงจร
โดยธุรกิจการให้บริการของ 24X ประกอบไปด้วย
- 24 FIX บริการซ่อมแซมบ้านแบบ All-in-one สำหรับลูกค้าทั่วไป
- 24 House Solution บริการต่อเติมและตกแต่งพื้นที่อยู่อาศัยภายใต้การควบคุมดูแลของนักออกแบบตกแต่งภายในและ Project Managers ตลอดการทำงาน
- 24 FIX for Business บริการซ่อมแซมสำหรับลูกค้าธุรกิจอย่างมืออาชีพ
- 24 Projects บริการออกแบบและก่อสร้างสำหรับลูกค้าธุรกิจ
- VERTE ให้บริการด้าน Green Energy Solution เช่น การติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ และระบบชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger)
นายคณิศร มีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง 24X กล่าวว่า “24X เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มีประสบการณ์กว่า 6 ปีในการให้บริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษา และติดตั้ง แบบครบวงจรให้กับลูกค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและทิศทางในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยมุ่งเน้นสนับสนุนลูกค้าภาคธุรกิจต่างๆ เสนอโซลูชั่นในการซ่อมแซมแบบครบวงจร และการติดตั้งงานกลุ่ม Green Energy งานโซลาร์เซลล์ รวมถึงเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า จนทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาเราสามารถทำรายได้รวมกว่า 480 ล้านบาท ซึ่งโตกว่าปีก่อนถึง 2.5 เท่า และมากกว่าครึ่งมาจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจ ความสำเร็จนี้ ตอกย้ำให้สองนักลงทุนระดับชั้นนำอย่าง เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์สและกรุงศรี ฟินโนเวต มั่นใจในศักยภาพและโอกาสในการเติบโตในระยะยาวของเรา เป็นผลให้เราสามารถระดมทุนในรอบ Series B ได้สำเร็จ”
นอกจากการบริการด้านงานซ่อมแซมบำรุงรักษา ติดตั้ง และโซลูชั่นเพื่อบ้านและธุรกิจแบบครบวงจรแล้ว 24X ยังมุ่งเน้นในการขยายบริการและโซลูชั่นที่ครอบคลุมธุรกิจกลุ่ม Green Energy ไม่ว่าจะเป็นงานติดตั้งระบบ Solar และจุดชาร์จยานพาหนะ EV ผ่านดำเนินงานภายใต้แบรนด์ ‘VERTE’ โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ และพันธมิตรทางธุรกิจด้านระบบโซลาร์อย่าง JA Solar และ TRINA รวมถึงอีกหลายแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกสามารถติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกแบบครบวงจรไปแล้วกว่า 80 แห่ง ทั้งแบบ Engineering Procurement and Construction (EPC) และ Power Purchase Agreement (PPA) รวมทั้งสิ้นกว่า 20 เมกะวัตต์ (MW) และยังเป็นผู้ดำเนินการติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ AC และ DC มากว่า 2,000 แห่ง ให้กับแบรนด์รถ EV ชั้นนำอย่าง BYD, NETA, Changan, และ Aion รวมถึงสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ณ สถานีให้บริการน้ำมันอีกด้วย
Joel Ang Investment Principals ของบริษัท เวฟเมคเกอร์ เวนเจอร์ส กล่าวว่า “รูปแบบการบริการด้านการ ซ่อมแซม บำรุงรักษา การติดตั้ง และรีโนเวทในปัจจุบันนั้น ยังมีโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาได้อีกมาก โดยเฉพาะ ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาที่มักพบบ่อย เช่น การขาดความโปร่งใสด้านราคา ปัญหาด้าน คุณภาพ กำหนดเวลาที่คลาดเคลื่อน มาตรฐานการบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และนี่คือเหตุผลที่เราเลือกจะสนับสนุน 24X บริษัทที่กำลังสร้างนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ โดยเป็นแพลตฟอร์มที่
ลูกค้าจะไว้วางใจได้สำหรับบริการคุณภาพในราคาที่โปร่งใส ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบและเวลาส่งงานที่ชัดเจน และการสร้างเครือข่ายช่างฝีมือที่น่าเชื่อถือ ทำให้ 24X พร้อมที่จะตั้งมาตรฐาน ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงสร้างมูลค่าระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด”
นางสาวปาลิดา อธิศพงศ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจด้านการก่อสร้าง ซ่อมบำรุง และโซลูชั่นด้านพลังงานทางเลือก ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งสิ้น และการที่ 24X เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม ก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ เองก็มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยการลงทุนในรอบซีรีส์ B จะช่วยส่งเสริมให้ 24X สามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการเฉพาะทางด้านการซ่อมแซมบำรุงรักษา และติดตั้งครบวงจร”
“สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในขั้นต่อไป เราต้องการพุ่งเป้าไปที่การให้บริการด้านการซ่อมบำรุง ทั้งแบบ Preventive Maintenance (PM) และ Corrective Maintenance (CM) ธุรกิจจะสามารถไว้วางใจให้เราช่วยดูแลงานติดตั้งซ่อมแซมและบำรุงรักษาหลังบ้านด้วยประสบการณ์จากการบริหารงานกว่า 100,000 งาน พร้อมระบบ Digital Platform ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมา ได้แก่ Eagle Platform ระบบบริหารงานซ่อมแซม, Cheetah Platform สำหรับบริหารโครงการแบบศูนย์รวม และ Wolf App แอปพลิเคชันควบคุมงานช่าง ทั้งหมดนี้สร้าง Ecosystem ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้มั่นใจในคุณภาพบริการของเรา และสามารถทุ่มเททรัพยากรไปสู่การขยายธุรกิจสามารถทุ่มเทเวลาและทรัพยากรไปกับการขยายธุรกิจเป็นหลักได้” นายคณิศร กล่าวเสริม
มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) เนรมิตสถานที่ต้อนรับเหล่าสวิฟตี้ที่มาร่วมคอนเสิร์ต Taylor Swift The | The Eras Tour ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 13 มีนาคม โดยกิจกรรมต่าง ๆ จะถูกจัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบโดยเฉพาะบริเวณ The Shoppes ที่มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) และ Sands Expo & Convention Center เพื่อเฉลิมฉลองเรื่องราวอันเป็นตำนานของนักร้องและนักแต่งเพลงที่ในเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง Taylor Swift กิจกรรมมีตั้งแต่การตกแต่งพื้นที่สำหรับถ่ายภาพไปจนถึงการแสดงโชว์แสงสีและเสียงในบทเพลงที่สวิฟตี้ชื่นชอบ แฟน ๆ จะได้ร่วมกันสร้างช่วงเวลาอันน่าจดจำในขณะที่ดื่มด่ำไปกับความมหัศจรรย์ของไอคอนระดับโลกในระหว่างสองสัปดาห์ที่แสนพิเศษนี้
Irene Lin รองประธานอาวุโสและประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Senior Vice President and Chief Marketing Officer) กล่าวว่า “พวกเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour ในสิงคโปร์ โดย Taylor Swift ถือเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกตลอดกาล ซึ่งมารีน่า เบย์ แซนด์ส ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้เหมาะสมกับศิลปินคนนี้ เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความตื่นเต้น และสิ้นสุดเวลารอคอยกับคอนเสิร์ตที่กำลังเกิดขึ้นในสิงคโปร์ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์นี้”
ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของศิลปินระดับโลกผ่าน Taylor Swift | The Eras Tour Trail
(เส้นทาง Taylor Swift | The Eras Tour Trail จะจัดขึ้นทั่วมารีน่า เบย์ แซนด์ส)
ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พื้นที่บางส่วนของ The Shoppes และ Sands Expo & Convention Centre จะกลายเป็นสวรรค์สำหรับหล่าสวิฟตี้ เพราะสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นแผนที่จำลองการเดินทางสู่ชีวิตของศิลปินคนดังอย่าง Taylor Swift เจ้าของรางวัลอันมากมาย ในกิจกรรม Taylor Swift | The Eras Tour Trail โดยผู้เข้าชมสามารถสัมผัสประสบการณ์ 10 ยุค อันเป็น
เอกลักษณ์ของ Taylor Swift ผ่านการจัดแสดงใน 7 รูปแบบ ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องด้วยภาพเกี่ยวกับการเดินทางของ Taylor Swift โดยแต่ละโซนจะนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับวิวัฒนาการทางดนตรีของ Taylor Swift ซึ่งเป็นการระลึกถึงยุคที่เป็นหัวใจสำคัญอย่าง ยุค “Lover” และพาแฟน ๆ ย้อนกลับไปยังยุค “1989” ที่หวนคิดถึง กิจกรรมมีถึงวันที่ 13 มีนาคม เวลา 10.30 – 22.00 น.
รับชมการแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show
(บุคคลทั่วไปสามารถรับชม Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show ได้ตามจุดชมการแสดงต่าง ๆ)
ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 7 มีนาคม แฟน ๆ จะได้มีโอกาสรับชมการแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show สุดพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวัน เวลา 20.00 น. และ 21.00 น. และรอบการแสดงเพิ่มเติมในวันที่ 1 และ 2 มีนาคมเวลา 22.00 น. การแสดงพิเศษความยาว 14 นาทีนี้เป็นการพลิกโฉม Spectra – A Light & Water Show การแสดงแสง สี เสียง ของมารีน่า เบย์ แซนด์ส โดยประสานเข้ากับเพลงฮิตติดชาร์ต 4 เพลง ซึ่งครอบคลุมยุคสมัยทางดนตรีอันหลากหลายของนักร้องป๊อปสตาร์ Taylor Swift อย่าง 'You Belong With Me' (Taylor’s version), 'Cruel Summer', 'Style' (Taylor’s version) และ 'Shake It Off' (Taylor’s version) นอกจากนี้การแสดงยังประกอบด้วยการออกแบบลวดลายของสายน้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour พร้อมด้วยระบำน้ำพุ การฉายภาพประกอบ การฉายแสงเลเซอร์ และเอฟเฟกต์ลาวา
การแสดงแสง สี เสียง Taylor Swift | The Eras Tour Light & Water Show จะเปิดให้เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส เนื่องจากข้อจำกัดด้านความจุจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 12.00 น. โดยบัตรจะมีจำนวนจำกัดและสามารถแลกตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ได้สูงสุด 6 ใบต่อคน ประตูของแต่ละการแสดงจะเปิดให้เข้าครึ่งชั่วโมงก่อนการแสดงเริ่ม
ด้านหน้าของรีสอร์ทแบบครบวงจรจะสว่างไสวด้วยสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของธีมคอนเสิร์ต Taylor Swift ในยามค่ำคืนรีสอร์ทแบบครบวงจรอย่าง มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) จะถูกย้อมไปด้วยสีสันพาสเทลที่น่าหลงใหลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour โดยการโชว์ไฟตกแต่งบนตัวอาคารจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 ไปจนถึง 23.00 น. การจัดแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ไม่เพียงแต่จะทำผู้พบเห็นตราตรึงใจ แต่ยังเปลี่ยนด้านหน้าอาคารที่เป็นเอกลักษณ์และริมฝั่งแม่น้ำให้กลายเป็นผืนผ้าใบที่บันทึกช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์และสวยงาม
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก Taylor Swift | The Eras Tour Retail Pop-up
ร้านจำหน่ายของที่ระลึกสุดพิเศษของคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour จะตั้งอยู่ที่ Sands Expo & Convention Centre ห้องจัดแสดง C ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ บุคคลทั่วไปจำเป็นต้องลงทะเบียนจองช่วงเวลาที่ต้องการล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียงหนึ่งครั้ง และเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่
หากมีการเปลี่ยนแปลง จะมีการแจ้งให้ทราบบนเว็บไซต์ทางการของมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) www.marinabaysands.com/theErasTour.
แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์รับชมคอนเสิร์ต Taylor Swift | The Eras Tour ในสิงคโปร์ได้อย่างงดงาม ทำให้ความฝันของคุณกลายเป็น ‘Wildest Dream’ ในแบบที่ลืมไม่ลง และนอกเหนือไปจากประสบการณ์ด้านคอนเสิร์ตและความบันเทิงแล้ว สิงคโปร์ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่รอคุณไปค้นหา โดยสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ VisitSingapore.com
กรุงเทพฯ 17 มกราคม 2567 – โรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เปิดศักราชใหม่ปี 2567 ประกาศเดินหน้ายกระดับการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุม ภายใต้กลยุทธ์ “Outside In” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ใช้บริการยิ่งขึ้น ตลอดจนเทรนด์สุขภาพยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ “แอมิลิ (AMILI)” บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในลำไส้ จากความร่วมมือครั้งนี้ รพ.วิมุต พร้อมนำนวัตกรรมในการตรวจ “ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร” มาใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการดูแลเชิงป้องกันที่กำลังมาแรงและเป็นความหวังใหม่ในการป้องกันโรคร้ายในอนาคต นอกจากนี้ รพ. วิมุต ยังเผยตัวเลขการเติบโตของตลาดไมโครไบโอม มั่นใจนวัตกรรมใหม่ช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมร่วมเป็นหนึ่งกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของไทย คาดรายได้ปี 2567 ของศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุตจะเติบโตกว่า 30% จากการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจให้บริการสุขภาพแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการป้องกัน รักษา และฟื้นฟู
ไมโครไบโอม (Microbiome) คือชื่อเรียกระบบนิเวศของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งรวม โพรไบโอติกทั้งตัวดีและไม่ดีที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย โดยหากไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร (Gut Microbiome) มีความสมดุล กล่าวคือ มีจุลินทรีย์ดีหลากหลายสายพันธุ์ในจำนวนมากพอ ก็จะช่วยทำหน้าที่ย่อยอาหาร เสริมการเผาผลาญ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน สังเคราะห์วิตามิน และช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย สมอง และอารมณ์ได้ โดยไมโครไบโอมได้รับการศึกษาวิจัยมาอย่างต่อเนื่องและพบว่าการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโดยรวมเพื่อป้องกันโรคร้ายและสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว ปัจจุบัน วงการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และความงามทั่วโลกให้ความสนใจการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้ร่างกายทั้งภายในและภายนอก
นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รพ. วิมุต เล็งเห็นถึงการตื่นตัวของคนไทยและทั่วโลกในเรื่องการดูแลสุขภาพก่อนล้มป่วย ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์ไมโครไบโอมในลำไส้กำลังเป็นเทรนด์สุขภาพมาแรง โดย Research Reports World (RRW) เผยว่าตลาดไมโครไบโอมทั่วโลกมีมูลค่าถึง 743.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 และจะแตะ 3,523.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ที่ 29.61%
“รพ. วิมุต มุ่งเสาะหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาเสริมทัพบริการด้านสุขภาพให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดภายใต้กลยุทธ์ Outside-In เดินหน้าพัฒนาธุรกิจจากมุมมองของผู้ใช้บริการ เราได้ลงนามร่วมทุนกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านจุลชีพในลำไส้ เพื่อเปิดตัว Gut Microbiome Test โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคลที่โรงพยาบาล พร้อมมุ่งช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด ช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคต รพ. วิมุต มีแผนจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย
ด้านไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารแห่งแรกในไทยร่วมกับ AMILI ช่วยยกระดับการศึกษาไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารจากกลุ่มตัวอย่างคนไทยเพื่อนำข้อมูลไปใช้พัฒนาการรักษาโรคและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาอาหารเสริมโพรไบโอติกส์เพื่อเสริมการรักษาโรคทางเดินอาหาร ลำไส้แปรปรวน และโรคอ้วน” นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ กล่าวเสริม
นายแพทย์เจเรมี ลิมป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง AMILI กล่าวว่า “AMILI มีฐานข้อมูลและตัวอย่างไมโคร ไบโอมจากคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังเป็นธนาคารไมโครไบโอมแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราได้พัฒนา "AMILI PRIME" เครื่องมือวิเคราะห์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ที่ทำการทดสอบ วินิจฉัย ทำนายอัลกอริธึม และปรับเปลี่ยนไมโครไบโอมได้อย่างแม่นยำ ความร่วมมือครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของ รพ.วิมุตในการยกระดับบริการสุขภาพขึ้นไป อีกขั้นผ่านนวัตกรรมการตรวจไมโครไบโอม เราจะร่วมกันนำเสนอการตรวจสอบสุขภาพลำไส้และการนำวิธีปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ในอุจจาระ (Fecal Microbiota Transplantation: FMT) เข้าสู่ตลาดประเทศไทย AMILI พร้อมทำงานร่วมกับโรงพยาบาลเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ตามความตั้งใจของ รพ. วิมุตในการดูแลให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน”
นายแพทย์กุลเทพ รัตนโกวิท แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับระบบประสาทและการเคลื่อนไหวทางเดินอาหาร หัวหน้าศูนย์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า “หลายคนอาจไม่ทราบว่าการดูแลสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการทำงานที่เป็นปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย หากจุลินทรีย์ในลำไส้เกิดภาวะไม่สมดุล เราอาจเผชิญกับอาการเจ็บป่วยต่างๆ อาทิ ลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสียเป็นประจำ ระบบการเผาผลาญไม่ดี อาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ง่าย ๆหรือมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันโดยไม่ทราบสาเหตุ Gut Microbiome Test ที่ รพ.วิมุต ช่วยตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ผ่านการตรวจอุจจาระ เพื่อให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ความสมดุล (Balance) และความหลากหลาย (Diversity) ของจุลินทรีย์ในลำไส้ และวางแผนการปรับสมดุลในลำไส้ ซึ่งรวมถึงการปรับการรับประทานอาหารและปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้คนไข้แต่ละคนได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ อาจแนะนำให้รับประทานโพรไบโอติกส์ที่มีสูตรและสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะกับสุขภาพลำไส้ตามผลการตรวจจุลินทรีย์เฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากโพรไบโอติกส์”
สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรม Gut Microbiome Test ตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ สามารถติดต่อศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต ถนนพหลโยธิน พร้อมพบกับโปรโมชันพิเศษช่วงเปิดตัวโปรแกรม ในราคาเริ่มต้น 18,000 บาท สามารถโทรนัดหมาย 02-079-0034 เวลา 07.00-17.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX
ลงนามเอ็มโอยูกับ Proxtera เพื่อเพื่อสร้างกรอบโครงสร้างแบบเปิดสำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วม
กรุงเทพฯ – สกู๊ต สายการบินราคาประหยัดภายใต้การบริหารของกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ และสายการบินราคาประหยัดสำหรับเส้นทางบินระยะไกลที่ดีที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Skytrax กลับมาให้บริการเส้นทาง ภูเก็ต – สิงคโปร์ โดยจะให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน เริ่มวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ด้วยเครื่องบิน A320 หลังจากหยุดให้บริการไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ก่อนการแพร่ระบาดฯ จังหวัดภูเก็ตนับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมระดับต้นๆ ของประเทศไทย จนถูกขนานนามให้เป็น ‘ไข่มุกแห่งอันดามัน’ โดยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาพักผ่อนราว 10 ล้านคนต่อปี และกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวเดินทางมาด้วยสายการบินราคาประหยัด
เมื่อประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศเพื่อการท่องเที่ยวสามารถกลับมาให้บริการได้อีกครั้ง โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 2,330 ล้านบาท การกลับมาให้บริการของสกู๊ตในเส้นทางการบิน ภูเก็ต – สิงคโปร์ จะช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมายังประเทศไทย ตอบรับกับการขยายแผนแซนด์บ็อกซ์ให้ครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญมากขึ้น
นายเควิน เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการค้า สายการบินสกู๊ต กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นเส้นทางการบินสำคัญของสกู๊ตที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สกู๊ตจึงมีแผนกลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อความปลอดภัย เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้กลับมาทำการบินในเส้นทาง ภูเก็ต – สิงคโปร์ อีกครั้ง เพราะจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก โดยตลอดช่วงการแพร่ระบาดที่ผ่านมา สายการบินสกู๊ตไม่เคยหยุดปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และเราได้เพิ่มมาตรการเพื่อดูแลสุขภาพของผู้โดยสารและลูกเรือ สกู๊ตทุ่มเทที่จะให้บริการด้วยมาตรฐานสูงสุด เพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทางในเริ่มต้นกลับมาให้บริการนี้”
ในช่วงที่ผ่านมา สกู๊ตได้ยกระดับมาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของทุกจุดสัมผัส เช่น มาตรการเว้นระยะห่าง มาตรการลดการสัมผัสในการให้บริการ การเริ่มใช้เครื่องมือตรวจสอบแบบดิจิทัล และมาตรการใหม่อื่นๆ ส่งผลให้สกู๊ตเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกเดียวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัยสูงสุดจาก APEX Health Safety โดย SimpliFlying และ มาตรฐานการป้องกันโควิด-19 ระดับ 5 ดาว จาก SkyTrax นอกจากนี้ สกู๊ตยังได้รับรางวัล “สายการบินราคาประหยัดสำหรับเส้นทางบินระยะไกลที่ดีที่สุดในโลก” จากเวที Skytrax 2021 World Airline Awards อีกด้วย
สกู๊ตได้ขยายขีดความสามารถและกลับมาให้บริการในเส้นทางที่เหมาะสม โดยให้บริการแล้วถึง 25 เส้นทาง จากทั้งหมด 68 เส้นทาง โดยในประเทศไทยนอกจากเส้นทาง ภูเก็ต – สิงคโปร์ ที่กลับมาให้แล้ว สายการบินสกู๊ตยังมีบริการเส้นทางการบิน สุวรรณภูมิ - สิงคโปร์ สัปดาห์ละ 11 เที่ยวบิน อีกด้วย
ตารางเที่ยวบิน ภูเก็ต – สิงคโปร์ เริ่มให้บริการ 8 ตุลาคม 2564
*เวลาเดินทางเป็นเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้ตารางเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง
# # #