Tripadvisor แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของโลกได้ประกาศมอบรางวัล Travelers' Choice Awards 2024 ให้แก่ปางช้างที่เป็นมิตรในประเทศไทยที่ทำงานร่วมกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) 4 แห่ง ซึ่งโดดเด่นในด้านการให้ความสำคัญยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ ไม่มีกิจกรรมขี่ช้าง โชว์ช้าง หรือสัมผัสช้างใกล้ชิด เน้นศึกษาพฤติกรรมตามธรรมชาติของช้าง เดินดูช้างในระยะปลอดภัย ปางช้างที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ได้แก่ Boon Lott's Elephant Sanctuary จ.สุโขทัย, ChangChill จ.เชียงใหม่, Following Giants จ.กระบี่ และ Somboon Legacy Foundation จ.กาญจนบุรี โดยทั้ง 4 แห่งได้รับการคัดเลือกภายใต้หมวดกิจกรรมน่าสนใจที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ
รางวัล ‘Travelers' Choice - ที่สุดของที่สุด’ เป็นรางวัลพิเศษที่ตัดสินจากประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่แบ่งปันรีวิวบน Tripadvisor สะท้อนถึงประสบการณ์ที่แปลกใหม่ คุณภาพการให้บริการ และความประทับใจของนักท่องเที่ยว
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการยกย่องปางช้างทั้ง 4 แห่งที่เป็นมิตรต่อช้างและยึดมั่นในแนวทางการยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ แต่ยังตอกย้ำถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ยกระดับสู่การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ โดยผสานการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ากับการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่นักท่องเที่ยว รางวัลนี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ป่าในประเทศไทย
หทัย ลิ้มประยูรยงค์ ผู้จัดการฝ่ายแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “แนวโน้มการท่องเที่ยวโลกในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปควบคู่กับบริบทของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการท่องเที่ยวที่ใส่ใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสวัสดิภาพของสัตว์ สำหรับการท่องเที่ยวช้างก็เช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวในยุคนี้มองหาประสบการณ์ที่สามารถเชื่อมโยงกับช้างในรูปแบบที่ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือทำลายความเป็นอยู่ของช้าง โมเดลการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับช้างจึงเป็นทางเลือกที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว และยังเป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้ทั้งผู้ประกอบการและช้างได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน”
Tripadvisor ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคน
ทั่วโลก ได้ขับเคลื่อนนโยบายที่ปกป้องสวัสดิภาพสัตว์ป่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เคารพชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ นโยบายนี้ยังห้ามกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ เช่น การสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น และการจัดแสดงสัตว์น้ำที่ถูกคุมขัง ยกเว้นกรณีเพื่อการศึกษาหรืออนุรักษ์ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ นโยบายนี้มุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
การเยี่ยมชมช้างในปางช้างเป็นมิตรกับช้าง ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่อยากเรียนรู้พฤติกรรมตามธรรมชาติของช้างและนอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุน การทำงานของปางช้างเป็นมิตรให้สามารถเลี้ยงช้างที่เคยถูกใช้งานอย่างหนัก และดูแลช้างให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีไปจนตลอดชีวิตของพวกเขา
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกให้การสนับสนุนปางช้างที่เป็นมิตรหลายแห่ง ตั้งแต่การให้คำปรึกษา พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โปรโมทด้านการตลาดผ่านการทำงานกับบริษัทท่องเที่ยว ให้ทุนสนับสนุนเพื่อปรับรูปแบบปางช้างให้เป็นมิตรต่อช้างอย่างแท้จริง ตลอดจนให้งบช่วยเหลือฉุกเฉินในช่วงโควิด 19 ที่การท่องเที่ยวซบเซา ท่านสามารถติดตามเรื่องราวและที่มาของปางช้างแต่ละแห่งได้ที่นี่ https://www.worldanimalprotection.or.th/our-work/Wildlife-work/Elephant-Friendly-Venue/
“ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนที่ควรได้รับความทรมาน เจ็บปวด และถูกบังคับให้สร้างความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยว” องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ชูการท่องเที่ยวแบบใหม่ สอดรับกระแสเทรนด์โลกที่นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวอย่างมีความสุขพร้อมร่วมรับผิดชอบต่อโลกไปด้วยกัน
โอกาสนี้ องค์กรฯ ชวน 2 หนุ่มจากเวที Mister International Thailand คิม- ธิติสรรค์ กู๊ดเบิร์น" หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทยอังกฤษ ผู้ครองตำแหน่ง Mister International 2023 และ ต๋อง-ชัยธวัช ไพศาลศิริ" รองอันดับ 2 Mister International Thailand 2023 มาร่วมเดินทางในทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ BEES (Burm & Emily's Elephant Sanctuary) อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้าง เป็นผู้นำการท่องเที่ยวที่เน้นให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของช้างตามแนวทางเป็นมิตรต่อช้างขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร
ที่นี่คุณจะได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตของช้างอย่างแท้จริง ซึ่งแนวคิดของปางช้าง BEES คือการเป็นบ้านหลังสุดท้ายและที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับช้างชราที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต ให้ช้างได้มีโอกาสใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ปลอดภัย สามารถแสดงพฤติกรรมและใช้ชีวิตในสภาพใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
คิม- ธิติสรรค์ กู๊ดเบิร์น เปิดเผยความรู้สึกที่ได้มาร่วมท่องเที่ยวในครั้งนี้ว่า “ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปเลย เพราะที่นี่ ปางช้าง BEES ผมเห็นจริงๆ ว่าช้างใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ผมมีหน้าที่แค่เดินตามช้างเข้าไปในป่าลึกกว่า 10 กิโล เพื่อสังเกตวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของช้างจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร ผมรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แถมยังสนุกกับสิ่งที่ได้เห็นคือช้างมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องถูกบังคับให้ต้องแสดงโชว์ ถูกนักท่องเที่ยวอาบน้ำวันละหลาย ๆ ครั้ง หรืออยู่ในพื้นที่ที่คับแคบ ไม่มีบริเวณให้เดินเล่น”
ด้าน ต๋อง-ชัยธวัช ไพศาลศิริ เผยว่า “จากเดิมผมเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวแบบพักผ่อน เช่น ทะเล น้ำตก เนื่องจากเป็นคนทำงานหนัก ดังนั้นเวลามีโอกาสได้เที่ยว ก็อยากไปท่องเที่ยวที่ ๆ ปล่อยใจได้สบาย ๆ ส่วนการไปเที่ยวเชิงผจญภัยก็จะมีบ้าง แต่หลังจากไปท่องเที่ยวปางช้างที่เป็นมิตรกับช้าง อย่าง BEES ทำให้ผมรักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัยแบบนี้มากขึ้น มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นและมีคุณค่ามากกว่าที่คิด"
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสัมผัสการท่องเที่ยวกับช้างรูปแบบใหม่แบบสองหนุ่ม เพื่อสนับสนุนปางช้างที่เป็นมิตรกับช้าง องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ สนับสนุนการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่ดีที่เป็นมิตรต่อทั้งคนและช้างอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลปางช้างแบบเป็นมิตรทั่วประเทศไทยที่ทำงานร่วมกับองค์กรฯ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.worldanimalprotection.or.th/
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ไฟไหม้ ตลาดศรีสมรัตน์ ตลาดค้าสัตว์ภายในพื้นที่สวนจตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อรุ่งสางของวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ซึ่งส่งผลให้ร้านค้าถึง 118 คูหา ได้รับความเสียหาย และคาดว่ามีสัตว์ตายจากเหตุไฟไหม้กว่า 1,000 ตัว ความเสียหายและโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับสัตว์นับพันชีวิตในครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สัตว์หลากหลายชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงทั่วไป สัตว์ป่า สัตว์หายาก และ สัตว์แปลก ตายเป็นจำนวนมาก สร้างความสูญเสียและสลดใจ แก่ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไป สัตว์ต่างๆ เหล่านี้ เช่น สุนัข แมว นก ไก่ งูสวยงาม ฯลฯ อยู่ในกรงเพื่อเตรียมซื้อขายในพื้นที่สวนจตุจักร ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองจากการถูกกักขังต้องทนทุกข์ทรมานจากเพลิงไหม้ และตายไปในที่สุด
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอตั้งข้อสังเกตและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และผู้ที่มีส่วนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ องค์กรฯ มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการปกป้องสวัสดิภาพสัตว์และยุติการทารุณกรรมสัตว์อย่างถาวร เราส่งเสริมให้ทุกคนมีความตระหนักและความเอื้ออาทรต่อสัตว์ และเราทำงานร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและสังคมที่สัตว์และผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูล
เครดิตภาพถ่าย
ภาพลิง © Andrew Skowron
ภาพอื่นๆ © World Animal Protection
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย และมารีญา พูลเลิศลาภ ทูตองค์กรฯ ผนึกกำลังเครือข่าย มูลนิธิชีววิถี (BioThai Foundation) และสภาลมหายใจเชียงใหม่ จัดงานเสวนาเพื่อสร้างความตระหนักและหาทางแก้วิกฤตควันพิษจากข้าวโพดอาหารสัตว์ร่วมกัน เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก พร้อมทั้งฉายภาพยนตร์ และจัดนิทรรศการ ผลกระทบต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมจากธุรกิจอาหารสัตว์ พร้อมเผยข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่น่าตกใจ ซึ่งเป็นต้นตอของหมอกควันพิษ PM 2.5 ที่เป็นปัญหาเรื้อรังระดับประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทย มีการใช้พื้นที่กว่า 7 ล้านไร่ เพื่อปลูกข้าวโพด โดยร้อยละ 95 เป็นข้าวโพดเพื่อทำอาหารสัตว์ พื้นที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่อยู่บริเวณเชิงเขาและลาดชัน ดังนั้นการเผาจึงเป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้เพื่อกำจัดเศษวัชพืชหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของมลพิษทางอากาศ หรือฝุ่น PM 2.5 ที่สร้างผลกระทบต่อคนไทยอย่างรุนแรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ยังพบว่ามีการปลูกในพื้นที่ป่า ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การทำลายพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า รวมถึงการเร่งให้เกิดภาวะโลกรวน
“เราได้ย้ำเสมอว่าอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อสัตว์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ฝุ่น PM 2.5 เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ทำให้เราเห็นแล้วว่า อุตสาหกรรมนี้สร้างผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของเราอย่างไร เราได้ทำงานสืบสวนในระดับพื้นที่ ซึ่งพบว่ายังมีช่องว่างของนโยบายในการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพด ที่ยังมีการปลูกในพื้นที่ป่า และเกี่ยวข้องกับการเผา ตลอดจนการใช้สารเคมีอันตรายในขั้นตอนการปลูก ที่ส่งผลต่อสุขภาพของเกษตรกรและชุมชนแวดล้อม รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นพื้นที่สำหรับสัตว์ป่าหลายชนิด” โชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าว
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวเสริมว่า “ถ้าเราลงไปค้นดูถึงเบื้องหลังของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 นี้ ก็จะพบว่าเกิดจากความต้องการอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย และความทะเยอทะยานของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เพื่อไปป้อนโลก ทำให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดในประเทศไทย และอนุภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขง พื้นที่ปลูกข้าวโพดในไทยขยายตัวเต็มที่อยู่คงที่ประมาณ 7 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวโพดในเมียนมาขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเขตรัฐฉานที่ติดกับชายแดนไทย ซึ่งเป็นแหล่งขนส่งข้าวโพดมายังประเทศไทย ดังนั้นฉากจบของเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเขียนบท ถ้าเราเป็นเพียงผู้ดู เราก็จะรอว่า พ.ร.บ. อากาศสะอาดจะประกาศใช้ไหม และจะรวมประเด็นเรื่องการจัดการบริษัทอาหารสัตว์ การเผาข้ามพรมแดนหรือไม่ ซึ่งที่จริงแล้วพวกเราล้วนเป็นคนเขียนบท และเล่นด้วยในภาพยนตร์นี้”
“มลพิษฝุ่นควันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง มีความซับซ้อน ภายใต้สังคมเหลื่อมล้ำและมีผลประโยชน์ทับซ้อนพรบ.อากาศสะอาดต้องแก้ปัญหาได้จริง ไม่เป็นแค่เสือกระดาษ” ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่
ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 58 ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การประกาศนโยบายของรัฐบาลล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่หนุนไทยเป็นผู้นำโลกในการผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เพื่อรองรับตลาดโลก เพิ่มมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท ก็สอดคล้องกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ฟาร์มที่กำลังเติบโตขึ้น ทั้งนี้ในแต่ละปี มีสัตว์ฟาร์มทั่วโลกกว่า 80,000 ล้านตัว (ไม่นับรวมสัตว์น้ำ เช่น ปลา หรือ กุ้ง) และ 2 ใน 3 ของสัตว์ฟาร์มเหล่านี้ อยู่ในระบบฟาร์มอุตสาหกรรม เราต้องใช้พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดมากมายมหาศาลขนาดไหน จึงจะเพียงพอต่อการป้อนสู่ระบบฟาร์มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัตว์ที่มีชีวิตทุกข์ทรมาน มีสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ แออัดอยู่ในฟาร์ม การใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมหาศาล ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เรียกร้องให้ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างเข้มข้น ในการกำกับดูแล ตรวจสอบ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารสัตว์ของภาคเอกชน ตลอดจนมีนโยบายในการส่งเสริมระบบอาหารที่เป็นธรรมและเป็นมิตรต่อคน สัตว์ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อีกทั้งเร่งให้บริษัทผลิตอาหารสัตว์มีนโยบายการจัดซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ไม่ได้มาจากการรุกล้ำพื้นที่ป่า ปลอดการเผา และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส
นอกจากนี้ ถึงเวลาแล้วที่ผู้บริโภคจะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง หันมาบริโภคโปรตีนทางเลือกเพิ่มมากขึ้น (โดยเฉพาะจากพืช) และเลือกบริโภคเนื้อสัตว์จากแหล่งที่มาที่ดีและที่ตรวจสอบได้ โดย เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากฟาร์มรายย่อยที่มีความยั่งยืน ที่ส่งเสริมสวัสดิภาพของสัตว์ สิ่งนี้จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ และทางองค์กรฯ ขอชวนประชาชนให้ร่วมติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องได้ที่ Facebook: องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก และร่วมส่งเสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมได้ที่ https://www.worldanimalprotection.or.th/our-work/Global-Food-System/no-future-for-factory-farming/farm-animal-feed/