

รายงาน whitepaper ฉบับใหม่ที่เผยแพร่ในวันนี้ ได้เผยให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ซึ่งมุ่งยกระดับเศรษฐกิจไทยจากการพึ่งพาการผลิตแบบดั้งเดิม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม รายงาน whitepaper ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ) (ETDA) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และ SAP ผู้พัฒนาตลาดด้านซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร ชี้ให้เห็นว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการภาคการผลิตในประเทศไทยเพียง 2% เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งที่ศักยภาพในการนำ AI มาใช้ในประเทศไทยสามารถขยายได้มากถึง 300 กรณีการใช้งานในภาคการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคได้
![]()
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กล่าวว่า “ข้อมูลเชิงลึกที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแล AI ทั้งนี้ ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง SAP สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม AI อย่างเต็มที่”
ดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส TDRI กล่าวว่า “AI มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมนวัตกรรม และทำให้เกิดการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ รวมถึงช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย หากมีการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายในภาคการผลิต ประเทศไทยจะสามารถสร้างฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศในการเป็นเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและแข่งขันได้ในเวทีโลก”
อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยพร้อมรับประโยชน์มหาศาลจาก AI
การนำ AI มาใช้ในบริษัทผู้ผลิตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าภาพรวมของภาคธุรกิจไทยในปัจจุบันจะมีการนำ AI มาใช้เพียง 18% แต่คาดว่าภาคการผลิตจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี พ.ศ. 2568 ธุรกิจการผลิตจะได้รับประโยชน์อย่างมากจาก AI คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ความต้องการเพื่อลดการสูญเสียยอดขายได้ถึง 65% เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ 20% ผ่านระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมที่เสริมด้วย AI ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรได้ 20% ผ่านการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยในสถานที่ทำงานได้ถึง 90%
ข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ผลิตไทยในการนำ AI มาใช้
แม้ว่าเกือบสามในสี่ (73%) ขององค์กรไทยวางแผนที่จะนำ AI มาใช้ แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้ AI ในภาคการผลิต เกือบสองในสาม (65%) ขององค์กรการผลิตระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน (65%) ของผู้ผลิตไทยระบุว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อการนำ AI มาใช้
![]()
คุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการ SAP ประเทศไทย กล่าวว่า "วิธีเดียวที่จะสร้าง Business AI ที่ดีที่สุดได้ คือการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุด ปัจจุบันเรามีลูกค้ามากกว่า 34,000 ราย ที่ใช้ SAP Business AI ซึ่งรวมถึงลูกค้าหลายพันรายทั่วเอเชีย พวกเขาได้รับประโยชน์จากการฝังขีดความสามารถของ AI ขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตัดสินใจอัตโนมัติ การพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ด้วย Business AI ที่เกี่ยวข้อง เชื่อถือได้ และมีความรับผิดชอบ เชื่อมโยงกับความเข้าใจทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์และข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด ผู้ผลิตไทยจึงสามารถวางใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด พร้อมทั้งตระหนักถึงประโยชน์มหาศาลของยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ทั้งสำหรับธุรกิจของตนเองและสำหรับประเทศ"
กรอบนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโต
รายงาน Whitepaper ยังเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมความสำเร็จทั้งในระดับองค์กรและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดตั้งกรอบกำกับดูแล AI เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ปรับปรุงข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อขจัดความไม่ชัดเจนในการใช้ AI และผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนผ่านคณะอนุกรรมการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
![]()
ดร. สลิลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งในประเทศไทยต้องเริ่มจากการวางยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล AI ทบทวนมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในระดับสากล ภาคธุรกิจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาเพื่อระบุว่าโซลูชัน AI ใดเหมาะสมกับตนมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดี หากดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ ประเทศไทยจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว”
“ด้วยความร่วมมือและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐและองค์กรชั้นนำอย่าง SAP จะสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0” คุณกุลวิภา กล่าวสรุป “ด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เราเชื่อมั่นว่าจะเกิดการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ไม่เฉพาะในภาคการผลิตเท่านั้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ด้วย”
นางสาวกชสร โตเจริญธนาผล รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia 2024 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 12 – 15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา จากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย และข้อมูลประเมิณตัวเลขการส่งออกที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2566 เฉพาะในเดือนตุลาคมมีการขยายตัวถึง 8% สูงสุดในรอบ 13 เดือน จะเป็นแรงส่งให้การส่งออกปี 2567 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2% โดยกลุ่มอาหารยังคงเป็นกลุ่มสำคัญ ซึ่งในปี 2566 ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับ 12 ของโลก และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) GDP ภาคอุตสาหกรรมปี 2567 จะมีขยายตัวอยู่ที่ 2.0-3.0%
โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มผลไม้แช่เย็น-แช่แข็ง กลุ่มอาหารทะเล ทูน่ากระป๋อง กุ้งสดแช่แข็ง และสินค้าที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ อาหารเฉพาะทาง อาหาร ฮาลาล และ อาหารแปรรูปคุณภาพสูง ทำให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยปี 2566 มีมูลค่ารวม 1.10 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 1.33 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2571 จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การออกแบบและการเลือกใช้วัตถุดิบที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย การเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว สัญญาณดังกล่าวส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทยทั้งระบบ โดยงาน ProPak Asia ยังคงเป็นงานสำคัญที่ช่วยสร้างและเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคให้เกิดการเติบโต ซึ่งงาน ProPak Asia 2023 นับว่าเป็นปีที่พลิกฟื้นจากสถานการณ์โควิดได้อย่างรวดเร็ว มีผู้ร่วมจัดแสดงงานถึง 1,800 รายจาก 45 ประเทศ และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 58,555 คน จาก 75 ประเทศทั่วโลก
ส่วนงาน ProPak Asia 2024 ยังคงความเป็นงานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำระดับเอเชีย เป็นงานที่จะตอบโจทย์ครบทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และห่วยโซ่อุปทาน (Supply Chain)ของเทคโนโลยีกระบวนการแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ และ การขนส่ง เรียกได้ว่าครบตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น Start Up, SME, ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเข้ามาชมนวัตกรรม เทคโนโลยี อัพเดทเทรนด์ และ ความรู้ใหม่ เพื่อนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
สำหรับแนวคิดของการจัดงาน ProPak Asia 2024 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ยกระดับความสำเร็จในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด นวัตกรรม และ การลงทุน” (Sustainably Empowering Processing & Packaging Success with Ideation, Innovation and Investment) เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบัลดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการจะได้พบนวัตกรรมต่างๆ เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปเพื่อไปถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) การเลือกใช้วัสดุ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ ไปต่อยอดลงทุนให้ธุรกิจประสบ
ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ส่วนกลุ่มผู้เข้าร่วมงานหลักของ ProPak Asia มาจากกลุ่มผู้ประกอบการอาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภค บริโภค ที่สนใจเข้ามาชมงานเป็นทางลัดแก่ผู้สนใจไม่ต้องเดินทางไปดูงานถึงยุโรป หรือ อเมริกา แต่สามารถอัพเดทเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากตัวจริงในอุตสาหกรรม พบปะคู่ค้า สร้างโอกาสและร่วมสร้างเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติได้ นอกจาก ProPak Asia จะเป็นงานที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกปีแล้ว ProPak Asia 2024 ครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 31 เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ประกอบการที่ต้องเข้าร่วมงานในทุกครั้งของการจัดงานและเป็นงานใหญ่สำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตโลก ด้วยการเป็นเวทีเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งระบบ
![]()
งาน ProPak Asia 2024 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
สำหรับงานในครั้งนี้ แบ่งพื้นที่จัดแสดงงานเป็น 8 โซน ประกอบด้วย
1) ProcessingTechAsia เทคโนโลยีเพื่อการแปรรูปอาหารปรุงสุก
2) PackagingTechAsia เทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ และ กระบวนการบรรจุภัณฑ์
3) DrinkTechAsia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
4) PharmaTechAsia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยา
5) Lab&TestAsia เทคโนโลยีการตรวจสอบ และ ควบคุมมาตรฐานการผลิต ผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์
6) PackagingSolutionAsia เทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป
7) Coding,Marking&LabellingAsia เทคโนโลยีเพื่อการเขียนรหัส, ติดป้าย, และปักหมายเลขบนสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ
8) Coldchain,Logistics,Warehousing&FactoryAsia เทคโนโลยีเพื่อการขนส่ง จัดเก็บสินค้า และ เทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการผลิต
โดยใช้พื้นที่จัดงานฯ เต็มพื้นที่ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ภายในงานมีการจัดแสดงพาวิลเลียนนานาชาติถึง 14 กลุ่มประเทศ อาทิ ออสเตรีย บาวาเรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกาเหนือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเข้าร่วมงานฯ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาจัดแสดง นอกจากนั้นยังมีบริษัทชั้นนำของโลกยืนยันเข้าร่วมจัดแสดงงานแล้วกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 45 ประเทศ ทำให้คาดว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่ต่ำกว่า 60,000 คน จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจในอุตสาหกรรมการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมงาน ProPak Asia 2024 ในครั้งนี้
ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2024 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com