ในงาน Tencent Global Digital Ecosystem Summit ซึ่งจัดขึ้นที่ Shenzhen World Exhibition & Convention Center ระหว่างวันที่ 5-6 กันยายน ได้มีการเปิดตัวบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ ( Artificial Intelligence หรือ AI) หลายตัว รวมทั้งนำเสนอนวัตกรรมที่เทนเซ็นต์ คิดค้นและเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัท และโซลูชั่นระดับโลก เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
มร. ดาวสัน ตง รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส และซีอีโอ ของกลุ่มธุรกิจ Cloud and Smart Industries Group (CSIG) บริษัท เทนเซ็นต์ ได้ตอกย้ำถึงแรงผลักดันที่สำคัญที่ลูกค้าองค์กรต้องเผชิญ “หลายองค์กรกำลังมองหาแนวทางในการพลิกโฉมรูปแบบการทำธุรกิจของตน และด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มและทิศทางใหม่ที่เกิดขึ้น และขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถปลดล็อกศักยภาพใหม่ในการเติบโตและนวัตกรรม”
เทนเซ็นต์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หลายชุดที่ได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้าน AI ของพันธมิตรและลูกค้าองค์กรต่าง ๆ การเปิดตัวใหม่ของ "AI Infra" (腾讯云智算) ซึ่งเป็นโซลูชันที่ประกอบด้วย การประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล และเครือข่ายแบบครบวงจร ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ที่มีความต้องการที่จะพัฒนาและเทรนโมเดลขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน เทนเซ็นต์ ได้เปิดตัว ฮุ่นหยวน-เทอร์โบ (Hunyuan-Turbo หรือ “混元Turbo”) ซึ่งเป็นบริการโมเดลเอไอที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Mixture of Experts (MoE) ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรนโมเดลถึงสองเท่า และลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลลง 50%
ปัจจุบัน AI Coding Assistant ของ Tencent Cloud ซึ่งขับเคลื่อนโดยโมเดลพื้นฐาน Hunyuan ได้ถูกใช้งานโดยโปรแกรมเมอร์ของ Tencent กว่า 50% ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาได้ถึง 40% นอกจากนี้ Tencent Meeting ยังมีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การบันทึกอัจฉริยะ, ผู้ช่วย AI, การแปลหลายภาษา และอื่น ๆ โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 15 ล้านคนต่อเดือน
โซลูชัน AI ล้ำสมัยสำหรับองค์กรระดับโลก
ในตลาดต่างประเทศ Tencent Cloud กำลังขยายการลงทุนและเพิ่มทรัพยากร เพื่อสร้างความร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรในการบรรลุภารกิจของบริษัทที่จะ ‘สร้างนวัตกรรม, เชื่อมต่อ, และขยายสู่ระดับโลก’
นอกเหนือจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการชุดใหม่สำหรับ AI และการเทรนโมเดลในประเทศจีนแล้ว Tencent Cloud International ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนผ่านฝ่ามือ (Palm Verification) ที่ล้ำสมัย และแผนการสร้างระบบนิเวศที่รองรับเทคโนโลยีนี้ในตลาดต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการนำการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยและใช้ AI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
มร. โพชู เยือง รองประธานอาวุโสของ Tencent Cloud International กล่าวว่า โซลูชัน Cloud Palm Verification ของบริษัท ได้มีการทดลองใช้งานทั่วโลกแล้วโดยบริษัทชั้นนำหลายแห่ง รวมถึง Telkomsel เพื่อสนับสนุนการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบการชำระเงินไปจนถึงการจัดการด้านการเข้าถึงความปลอดภัย
มร. เยือง กล่าวเสริมว่า “แผนในการสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับ Palm Verification ของเราได้มีการรวมเอาชุดเครื่องมือเทคโนโลยีหลายตัว ที่จะช่วยให้พันธมิตรทั่วโลกสามารถนำและบูรณาการเทคโนโลยีระดับโลกนี้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อการนำไปใช้ในตลาด โครงการนี้ช่วยให้พันธมิตรของเรามีอิสระในการสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในสถานการณ์ธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลก”
ในงานนี้ ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ AI สำหรับตลาดต่างประเทศ เช่น Knowledge Engine Platform, Digital Human, e-KYC และอื่น ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับองค์กรในยุค AI การขยายตลาดทั่วโลกเติบโตขึ้นด้วยการมุ่งเน้นที่ตลาดสำคัญและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI เหล่านี้ ธุรกิจระหว่างประเทศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 10,000 ธุรกิจใน 30 อุตสาหกรรมที่ให้บริการในกว่า 80 ตลาดและภูมิภาค
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เทนเซ็นต์ คลาวด์ ได้รับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสองหลักในตลาดต่างประเทศ สร้างความแข็งแกร่งในเอเชีย, ยุโรป, อเมริกา, และตะวันออกกลาง โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการเติบโตอย่างน้อย 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
มร. ตง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเติบโตนี้เป็นผลมาจาก จากความต้องการของระบบนิเวศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่มีความโดดเด่น, บริการเทคโนโลยีด้านสื่อระดับโลก, และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั่วโลก “องค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม, สื่อ, และบริการสาธารณะ ใช้โซลูชันหลักของเรา เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนการดำเนินงานและปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์ม Mini Program, การสื่อสารแบบเรียลไทม์, การไลฟ์สตรีม, และโซลูชันด้านสื่อ”
เทนเซ็นต์ คลาวด์ ยังมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการสนับสนุนธุรกิจในการขยายตลาดระดับโลก โดยได้ช่วยบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 หลายแห่ง เช่น AstraZeneca, Mercedes-Benz, Toyota, และ Walmart China ให้สามารถขยายการดำเนินงานในจีนแผ่นดินใหญ่และทั่วโลกได้อย่างสำเร็จ
ในงานนี้ Tencent Cloud International ยังประกาศความร่วมมือสำคัญกับหลายบริษัท ได้แก่ Aladdin Cybersecurity, Avatara, MFEC Public Company, Siemens, S.M.A.R.T Entrepreneurship Club, UnionCloud และอื่น ๆ เพื่อสำรวจโอกาสใหม่ ๆ ในด้าน AI โดยเฉพาะในโซลูชัน Digital Human บริษัทเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Global Partner Ecosystem ของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่ป้จจุบันมีมากกว่า 11,000 พันธมิตร มีส่วนสร้าง 80% ของรายได้จากนอกประเทศจีน รวมทั้งยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของธุรกิจระหว่างประเทศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ อีกด้วยเพื่อการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งของสนับสนุนพันธมิตรและลูกค้าทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น เทนเซ็นต์ คลาวด์ ยังได้จัดตั้งเครือข่ายศูนย์สนับสนุนทางเทคนิคทั่วโลก จำนวน 9 แห่ง ในประเทศอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ซึ่งทั้งหมดจะให้บริการและสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง
จากรายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้ตอกย้ำว่า เป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกในปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า โดย IPCC ระบุว่า โอกาสที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นมีความเป็นไปได้เพียง 50% เท่านั้น ในขณะที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายใน 10 ปี ซึ่งในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปล่อย CO2 ต่ำมาประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย โดยหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญก็คือ การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เทนเซ็นต์ จึงเปิดตัวโครงการแฟล็กชิพ “คาร์บอนเอ็กซ์” (CarbonX Program) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำแห่งอนาคต รวมถึงส่งเสริมการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้งานในสเกลระดับใหญ่ภายในปี 2030 โดยในระยะแรกของโครงการฯ จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี CCUS
นายเดวิส ลิน รองประธานอาวุโส เทนเซ็นต์ กล่าวว่า “นวัตกรรมเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน เราจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำล้ำสมัยเหล่านี้ไปใช้ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและผลักดันการนำไปประยุกต์ใช้กับงานขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวให้มากยิ่งขึ้น”
โซลูชันการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
CCUS ไม่ใช่เรื่องใหม่ อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ เพื่อดักจับ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมทั้งในระยะก่อนหน้า หรือหลังจากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว และนำมาอัดฉีดลงไปกักเก็บในโพรงทางธรณีวิทยา (Geological Formation) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้สามารถกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้ หรือนำมาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น เคมีภัณฑ์ เชื้อเพลิง ปูนซีเมนต์ และพลาสติก
นายหยงผิง ไจ๋ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านกลยุทธ์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของเทนเซ็นต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทคโนโลยี CCUS จะมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต แต่จะต้องได้รับการสนับสนุนตั้งแต่แรกเริ่ม เช่นเดียวกับที่เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเคยได้รับ”
อย่างไรก็ตาม แม้การพัฒนา CCUS จะมีความซับซ้อนและใช้ต้นทุนสูง แต่ก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้และเพิ่มศักยภาพทางการตลาด โดยภาคเอกชนและภาครัฐทั่วโลกกำลังทุ่มทรัพยากร ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและเตรียมนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เทนเซ็นต์มุ่งมั่นที่จะร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ โดยเราจะใช้ความชำนาญเพื่อเร่งสร้างสรรค์โซลูชันล้ำสมัยเพื่อที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่ง
ในพันธสัญญาที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573 โดยเราเล็งเห็นว่า CCUS จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้เป็นผลสำเร็จ และปัจจุบันเรากำลังทำงานร่วมกับ Carbfix ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไอซ์แลนด์ที่สามารถแปลง CO2 ให้กลายเป็นหินได้ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน โดยเรารู้สึกตื่นเต้นกับการเปิดตัวโครงการคาร์บอนเอ็กซ์ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกัน
การดำเนินงานของโครงการ “คาร์บอนเอ็กซ์”
คาร์บอนเอ็กซ์ เป็นโครงการที่ผสานทั้งการเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการและการสร้างขีดความสามารถทางดิจิทัล เพื่อค้นหาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำแห่งอนาคต และส่งเสริมการประยุกต์ใช้งานในระดับใหญ่ภายในปี 2030 ด้วยการเร่งระดมเงินทุนและทรัพยากร โดยระยะแรกเริ่มของโครงการจะมุ่งเน้นไปที่โซลูชันและโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ CCUS เป็นหลัก โดยโครงการมี 3 ระดับหลักด้วยกัน ซึ่งเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัย สถาบัน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และบริษัทสตาร์ทอัปสามารถส่งแผนงานธุรกิจเข้าร่วมโครงการได้
1. CarbonX Lab: ค้นหาและบ่มเพาะสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย หรือห้องปฏิบัติการที่มีศักยภาพในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ที่จะเป็นตัวพลิกเกมในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและช่วยสนับสนุนให้สามารถเปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อสาธิตการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม
2. CarbonX Accelerator: เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัปที่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้ในเชิงพาณิชย์
3. CarbonX Infrastructure: สนับสนุนการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฐานข้อมูลและเครื่องมือเพื่อการติดตามการแยกคาร์บอน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางอุตสาหกรรม
ตามรายงานของสหประชาชาติ หน้าต่างแห่งโอกาสในการรักษาอุณหภูมิ 1.5°C กำลังปิดลงอย่างรวดเร็ว โดยเทนเซ็นต์ จะมุ่งมั่นใช้ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของเราเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลกนี้ต่อไป
บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด ผู้นำด้านการให้บริการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว “เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์” (HEADLINER THAILAND) ธุรกิจบริหารจัดการและพัฒนานักแสดง-ศิลปินแบบครบวงจร เปิดโอกาสให้กับคนมีฝัน ได้ตามความฝันในการเป็นศิลปินทำงานในวงการบันเทิงไทยและต่างประเทศ ประเดิมจับมือ กองทัพ โปรดักชั่น พันธมิตรผู้ผลิตคอนเทนต์ชื่อดัง เฟ้นหานักแสดงหน้าใหม่ร่วมแสดงในโปรเจกต์ซีรีส์วาย เรื่อง “12th Night” ออกอากาศทาง WeTV ตั้งเป้าผลิตศิลปินที่มีคุณภาพและศักยภาพรอบด้านป้อนวงการบันเทิง และเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานเฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์อย่างต่อเนื่อง
นางสาวปรภาว์ สมบัติเปี่ยม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาศิลปิน เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ปัจจุบันศิลปิน ดารา นักร้องไทยนั้นนอกจากจะเป็นที่ยอมรับทั้งในวงการบันเทิงไทยและต่างประเทศแล้ว ยังถือเป็นซอฟท์พาวเวอร์ที่สร้างอิมแพคให้กับประเทศไทยผ่านผลงานต่างๆ นอกจากนี้การมีส่วนร่วมของแฟนๆ ชาวไทยในการให้การสนับสนุนศิลปินก็เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งในการผลักดันศิลปินเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและตลาดสากล ธุรกิจ Talent Agency จึงเป็นหนึ่งในกลไก ขับเคลื่อนที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับวงการบันเทิงไทยในการผลิตศิลปินเข้าสู่ตลาดอย่างมีคุณภาพ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว “เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์” ธุรกิจบริหารจัดการและพัฒนานักแสดง-ศิลปินแบบครบวงจรภายใต้บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จะเน้นการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและความสามารถที่โดดเด่นทั้งด้านการแสดง การร้องเพลง และการเต้น ป้อนเข้าสู่วงการบันเทิง พร้อมใช้จุดแข็งของการอยู่ภายใต้เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำ ด้านการให้บริการแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย เปิดโอกาสให้ศิลปินได้โชว์ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ผ่านการนำเสนอผลงานที่หลากหลายผ่านบริการต่างๆ ทั้งบนแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงจากบริษัทพันธมิตรต่างๆ ในอนาคต รวมถึงการผลักดันและสร้างโอกาสเติบโตบนเส้นทางบันเทิงในระดับภูมิภาคให้กับศิลปินในสังกัด”
เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ วางแผนการดำเนินงานธุรกิจด้วยการมุ่งเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาศักยภาพของศิลปิน ในสังกัด เริ่มตั้งแต่การค้นหาศิลปินหน้าใหม่เพื่อร่วมโปรเจกต์ซีรีส์ที่มีการวางแผนผลิตไว้แล้ว และค้นหาศิลปินมาเป็นเด็กฝึกในสังกัด ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะ ศักยภาพ ของศิลปินในสังกัดด้วยคลาสเรียนการแสดง การสื่อสาร การปรับบุคลิกภาพ เพื่อให้ศิลปินพร้อมทำงานในวงการบันเทิงทุกรูปแบบ 2. การสร้างคอมมูนิตี ส่งเสริมความชื่นชอบในตัวศิลปินทั้งกับ กลุ่มคนทั่วไปและสื่อมวลชน ผ่านการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงคอมมูนิตีที่ชื่นชอบในตัวตนของศิลปินได้ทุกกลุ่ม
3. การจับมือพันธมิตรในหลากหลายแวดวง ทั้งแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งชั้นนำในไทย เช่น WeTV การจับมือกับกลุ่ม ผู้ผลิตไทยที่กำลังมาแรง รวมถึงการร่วมมือกับเครือข่ายสายการพัฒนาศิลปิน เช่น โรงเรียนสอนการแสดง โรงเรียน สอนบุคลิกภาพ และคลินิกเสริมความงาม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ศิลปินในสังกัดครบรอบด้าน
สำหรับการเปิดรับศิลปินในช่วงแรก เฮดไลเนอร์ ประเทศไทย จะเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิง อายุ 15 - 25 ปี ที่มีใจรักการแสดง รักการเป็นศิลปิน พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีวินัย ต้องการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สื่อสารได้สองภาษาขึ้นไป เพื่อมาร่วมเป็นนักแสดงในสังกัด และเดินหน้าเฟ้นหาศิลปินและนักร้องต่อไปในอนาคต เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในด้านธุรกิจ ทั้งฝั่งผู้ผลิต สตูดิโอที่มองหานักแสดงร่วมแสดงในผลงานต่างๆ และกลุ่มแบรนด์สินค้าต่างๆ รวมไปถึงบริษัทจัดงาน อีเวนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในปี 2566 นี้ เฮดไลเนอร์ ประเทศไทย ประเดิมการคัดเลือกศิลปินเข้าสังกัดด้วยการ หานักแสดงหน้าใหม่ลงจอในโปรเจกต์ใหญ่ซีรีส์เรื่อง “12th Night” ผลิตโดยกองทัพ โปรดักชั่น และ ออดิชันศิลปินเพื่อ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับโปรเจกต์ที่น่าสนใจในอนาคต”
นางทักษญา ธีญานาถธนันชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองทัพ โปรดักชั่น จำกัด พาร์ทเนอร์ผู้ผลิตซีรีส์เรื่อง 12th Night กล่าวว่า "หลังจากสร้างผลงานคุณภาพอย่าง ซีรีส์ เล่ห์แค้น WeTV ORIGINAL ในปี 2022 กองทัพ โปรดักชั่น เตรียมเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้จะร่วมมือกับ เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ ในการเฟ้นหานักแสดงและการผลิตซีรีส์ เรื่องใหม่ เพื่อที่จะต่อยอดความฝันให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีฝัน เพราะทางกองทัพ โปรดักชั่นเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของนักแสดงไทย และโอกาสก็เป็นสิ่งที่สำคัญ จึงอยากสนับสนุนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฟ้นหานักแสดงคุณภาพเข้าสู่วงการบันเทิง สำหรับโปรเจกต์ในครั้งนี้จะเป็นการตามหานักแสดงหน้าใหม่ที่จะมาร่วมแสดงในซีรีส์เรื่อง 12th Night ซีรีส์แนว Boy Love ที่หยิบยกเอาประเด็นความสัมพันธ์ของวัยรุ่นชายชายในปัจจุบันมาเล่าพร้อมควบคู่ไปกับ การให้ความรู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ (Sex edutainment) อย่างถูกต้อง”
“เฮดไลเนอร์ ไทยแลนด์ ตั้งเป้าในการผลิตศิลปินที่มีคุณภาพและศักยภาพครบถ้วนส่งเข้าสู่วงการบันเทิงไทยและต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ทั้งในแง่ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตที่มองหานักแสดงร่วมแสดงในละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ แบรนด์สินค้าต่างๆ ที่มองหาพรีเซนเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อช่วยส่งเสริมการขายสินค้าและบริการ และ บริษัทจัดงานอีเวนต์ทั้งของไทย และต่างประเทศ เพื่อต่อยอดในการจัดกิจกรรมแฟนมีตติงเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของคอมมูนิตีในอนาคต รวมถึงในแง่มุมของผู้บริโภคที่เป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้กับคนมีฝัน ได้ตามความฝันในการเป็นศิลปินทำงานในวงการบันเทิงไทย และต่างประเทศ นอกจากนี้เราจะเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ การดำเนินงานของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” นางสาวปรภาว์ กล่าวสรุป