December 05, 2025

ภายใต้พันธกิจในการช่วยให้ทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น Ascend Money เชื่อมั่นว่าความเท่าเทียมคือรากฐานของระบบการเงินที่ยั่งยืน และการเข้าถึงบริการทางการเงินไม่ควรหมายถึงความสะดวกในการใช้จ่ายหรือโอนเงิน แต่คือรากฐานของการมีชีวิตที่มั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัว และการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้

ที่ผ่านมา Ascend Money จึงมุ่งมั่นพัฒนา TrueMoney เป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสทางการเงิน (Financial Platform of Opportunity) ที่มอบโอกาสให้กับผู้คนที่ระบบเดิมมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร แรงงานข้ามชาติ และรวมถึงผู้ใช้ทั่วไปที่ยังไม่ได้รับความสะดวกสบายจากบริการทางการเงินในระบบดั้งเดิมโดยการมุ่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในแก้ไขปัญหา (pain points) บริษัทฯ ได้สร้างหลากหลายบริการทางการเงินที่เข้าถึงง่าย ตอบโจทย์ และเชื่อถือได้ เพื่อให้ผู้คนสามารถยกระดับชีวิตให้ดีขึ้น

 

Our Pioneering Milestones:

ปี 2556-2557: จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มแห่งโอกาสทางการเงิน TrueMoney เริ่มต้นจากหน่วยธุรกิจภายใต้ ทรู คอร์ปอเรชั่น และ spin off เป็นบริษัทในเครือ Ascend Money ภายใต้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P. Group) ในปี 2557 พร้อมวางเป้าหมายชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านฟินเทคเพื่อสังคมโดยมีพันธกิจในการช่วยให้ทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น และบริษัทฯ เริ่มขยายบริการสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคเริ่มจากเมียนมา

ปี 2558: เปิดตัวแอปพลิเคชัน TrueMoney ในไทย แอปกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกพัฒนาให้ผู้ใช้สามารถเติมเงิน โอนเงิน จ่ายบิล และซื้อของออนไลน์ได้ง่าย โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร และบริษัทฯ ได้ขยายการให้บริการไปกัมพูชา อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์

ปี 2559: เปิดบริการ Virtual MasterCard และ ePIN บนแอป TrueMoney และช่วยให้แรงงานข้ามชาติสามารถโอนเงินกลับหาครอบครัวที่บ้านเกิดได้อย่างปลอดภัย เพื่อให้คนไม่มีบัตรเครดิตสามารถจับจ่ายใช้สอยบนแพลตฟอร์ม e-commerce ต่าง ๆ ได้ พร้อมเปิดตัว TrueMoney Transfer บริการโอนเงินข้ามประเทศแบบเรียลไทม์ครั้งแรกของไทย เพื่อช่วยแรงงานข้ามชาติส่งเงินกลับบ้านอย่างมั่นใจ ลดการพึ่งพาช่องทางนอกระบบ โดยเริ่มจากให้บริการแก่แรงงานเมียนมา และขยายให้บริการแก่แรงงานชาวกัมพูชาและเวียดนาม ในเวลาต่อมา ในปีเดียวกัน Ant International ได้เข้าลงทุนใน Ascend Money และ TrueMoney เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริการทางการเงินดิจิทัลของภูมิภาค

ปี 2560: ขยายสู่การสแกนจ่ายที่ร้านค้าออฟไลน์ TrueMoney เริ่มรองรับการจ่ายเงินที่หน้าร้าน และช่วยให้ร้านค้าท้องถิ่น ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าสู่ระบบการเงินดิจิทัล

ปี 2561: ขยายช่องทางชำระเงินบน App Store/Google Playช่วยให้คนที่ไม่มีบัตรเครดิตสามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ และสามารถใช้จ่ายบน Apple Store/Google Play เป็นครั้งแรก

ปี 2562: เริ่มให้บริการสินเชื่อผ่านแอป Ascend Money พัฒนาการใช้ AI และข้อมูลทางเลือกในการประเมินความเสี่ยง พร้อมปรับกระบวนการให้บริการแบบคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์บริการ Pay Next เพื่อช่วยผู้ที่ไม่ใช่พนักงานประจำ ไม่มีสลิปเงินเดือน สามารถเข้าแหล่งเงินทุนสำคัญเพื่อยกระดับชีวิตได้ ผ่านระบบดิจิทัลตลอดกระบวนการ ผู้ที่สนใจเพียงกดสมัครผ่านแอป TrueMoney ก็ทราบผลอนุมัติวงเงินเลยในห้านาที

ปี 2563: รวมบริการครบวงจร–ใช้จ่าย ออม ลงทุน และประกัน TrueMoney ก้าวสู่การเป็น Super App ที่ให้บริการแบบแอปเดียวจบเรื่องการเงิน ให้ทุกคนมีเครื่องมือจัดการชีวิตทางการเงินได้แบบครบวงจร

ปี 2564: ก้าวสู่ฟินเทคยูนิคอร์นรายแรกของไทย หลังระดมทุนกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Ascend Money มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และก้าวสู่การเป็นฟินเทคยูนิคอร์นรายแรกของไทย พร้อมให้บริการครอบคลุม 7 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย)

ปี 2566: ยกระดับความปลอดภัยด้วย TrueMoney 3X Protection และเปิดบริการใช้จ่ายต่างแดน เปิดตัวระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ‘ตรวจ–จับ–หยุด’ ที่ทีมงานบริษัทฯ ได้พัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านความปลอดภัยระดับโลกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานแพลตฟอร์ม พร้อมเปิดให้ผู้ใช้งาน สามารถใช้แอป TrueMoney ชำระเงินได้ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจไทยในการใช้จ่ายระหว่างประเทศ

ปี 2567: หนุนการออมเพื่อบำนาญ ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ จับมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ นักเรียน นักศึกษา สามารถเปิดบัญชีออมเพื่อบำนาญผ่านแอป TrueMoney โดยสมาชิกที่ทำการออมอยู่แล้วเดิมก็สามารถใช้ทรูมันนี่ส่งเงินออมรายเดือนได้โดยสะดวก

ปี 2565-2567: ขยายบริการทางการเงิน Gold Saving, Micro Insurance และหุ้นกู้ตลาดรอง ขยายบริการทางการเงินเพื่อช่วยคนตัวเล็ก ช่วยให้ลูกค้าหลายล้านคนมีทางเลือกใหม่ในการลงทุนและสร้างหลักประกันในชีวิตได้โดยไม่ต้องใช้เงินเริ่มต้นเยอะ สะดวก และปลอดภัย

ปี 2567: ประกาศความร่วมมือระดับโลกกับ MUFG Ascend Money ได้รับการลงทุนจาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) และกองทุน Finnoventure Private Equity Trust I มูลค่ารวม 195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินในระดับภูมิภาคให้กว้างและลึกยิ่งขึ้น

ปี 2568: เปิดบริการ Carbon Credit Offset บนแอป TrueMoney ให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการชดเชยคาร์บอนเครดิตที่ซื้อได้ง่าย เริ่มต้นไม่ถึง 10 บาท พร้อมติดตามสถานะการชดเชยอย่างโปร่งใสผ่าน Blockchain Social Impact Highlights Large Digital Financial Ecosystem มีผู้ใช้บริการที่จดทะเบียนมากกว่า 34 ล้านคน และ 2 ใน 3 ใช้บริการของเราทุกเดือน โดยแพลตฟอร์ม TrueMoney รวบรวมหลากหลายบริการ และเชื่อมต่อพันธมิตรจากหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย (MSME) Digital Lending by Ascend Nano: มากกว่า 50% ของลูกค้าที่ได้รับสินเชื่อจาก แอสเซนด์ มันนี่ ไม่เคยได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่นมาก่อน แต่ได้รับความช่วยเหลือจากการพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงที่ใช้ข้อมูลทางเลือกที่รอบด้านมากขึ้นของเรา ทำให้บริษัทฯ สามารถให้สินเชื่อและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible lending & borrowing practice) Micro Insurance by Ascend Insurance: ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อประกันผ่านแพลตฟอร์ม TrueMoney เป็นผู้ซื้อประกันครั้งแรก โดยมีการออกกรมธรรม์มากกว่า 1 ล้านกรมธรรม์ ในระยะเวลา 12 เดือน Carbon Offset via Blockchain: ลูกค้าใช้บริการซื้อหน่วยชดเชยคาร์บอนผ่านแอป TrueMoney มากกว่า 1,500 ตันภายใน 1 เดือนหลังเปิดตัว เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 100,000 ต้น

บทสรุปการสร้างบริการฟินเทคเพื่อสังคมที่ดี (Fintech for Good) Ascend Money เชื่อว่าฟินเทคไม่ควรเป็นแค่เทคโนโลยีทางการเงิน แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่มีความหมายสำหรับทุกคน ซึ่งก็คือระบบที่ให้คนตัวเล็กมีโอกาสในชีวิต มีเครื่องมือวางแผนอนาคต และคงความภูมิใจในตัวเองที่ได้เติบโตในทุกด้านของชีวิต

เราพร้อมเดินหน้าขยายบริการทางการเงินและแพลตฟอร์มแห่งโอกาสทางการเงินของเรา ผ่านการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และยกระดับความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้คนไทย

ในยุคที่การแข่งขันบนตลาดอีคอมเมิร์ซไม่เพียงแต่ดุเดือดในแง่ของความ ‘ถูก’ แต่ยังรวมถึง ความ ‘คุ้ม’ และ ‘คอนเทนต์’ ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการมัดใจนักช้อปมือโปร

จากรายงานของ Thailand E-Commerce Trends 2025 คาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.07 ล้านล้านบาท และเติบโตถึง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน1สะท้อนถึงโอกาสทองที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจาะกลุ่ม Gen Z ที่มีประชากรถึง 20% ของประเทศ ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลบนสมรภูมิอีคอมเมิร์ซที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ผู้เล่นที่เข้าใจความต้องการของกลุ่มนี้และสามารถวางกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของ Gen Z ได้ก่อน ก็จะมีโอกาสมัดใจและดึง กำลังซื้อจากกลุ่มนี้ไป ดังนั้นคำถามสำคัญไม่ใช่แค่ ‘จะขายอะไรให้ Gen Z?’ แต่เป็น ‘จะขายยังไงให้มัดใจ Gen Z ได้อยู่หมัด?’ ในวันที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าจากแค่ ‘ราคา’ อีกต่อไป

ล่าสุด Kantar (คันทาร์) บริษัทวิจัยชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก เผยผลวิจัยฉบับใหม่ ในหัวข้อ “From Watching to Buying: Why Gen Z Are Embracing Content-Driven Shopping” ที่เจาะลึกเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์ของกลุ่มผู้บริโภค Gen Z จากการสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z โดยงานวิจัยฉบับนี้เจาะลึกถึงบทบาทของคอนเทนต์และปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่กลุ่ม Gen Z อายุระหว่าง 18–24 ปี เพื่อเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์และนักการตลาดสามารถปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความคาดหวังของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

คอนเทนต์แบบ ‘Multi-Format’ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ มัดใจผู้บริโภค Gen Z

จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เน้นความไว ส่งผลให้ Gen Z มองหารูปแบบคอนเทนต์ที่เข้าถึงได้ง่าย และ สามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและครีเอเตอร์ กลายเป็นรูปแบบความบันเทิงหลักที่ชาว Gen Z มองหา จึงเป็นผลให้คอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยสัดส่วน 71% ที่เน้นนำเสนอคอนเทนต์ที่สั้น กระชับ และเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมแบบเสพคอนเทนต์แบบ Mobile First ที่เน้น ‘ดูไว เข้าใจง่าย’

อย่างไรก็ตาม คอนเทนต์วิดีโอยาวก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดย 56% เลือกรับชมคอนเทนต์ที่มีความยาว เช่น วิดีโอสอนการใช้งาน (Tutorial) วิดีโอถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ (Vlog) และวิดีโอให้สาระ-ความรู้ (Documentary) ตอบโจทย์กลุ่มที่ต้องการศึกษาข้อมูลเชิงลึกในรายละเอียด ในขณะที่ ไลฟ์สตรีม เช่น เกมสตรีมมิ่ง ถือว่ามีสัดส่วนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อยู่ที่ 32% แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภค Gen Z ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ดูที่ไหน-เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ (On-Demand) มากกว่าคอนเทนต์แบบเรียลไทม์

จากผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภค Gen Z เปิดรับสื่อวิดีโอที่หลากหลาย สั้น-ยาว สลับกันไปมา การใช้วิดีโอสั้นเข้ามาดึงดูดความสนใจเพื่อนำไปสู่การรับชมคอนเทนต์วิดีโอยาว กำลังจะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่ Gen Z มองหา นักการตลาดจึงควรวางกลยุทธ์ การสื่อสารที่ครอบคลุมรูปแบบของเนื้อหาและช่วงเวลาที่เหมาะสมและถ้าวัดกันด้วยเรื่องแพลตฟอร์มครองใจ YouTube ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำที่รองรับรูปแบบเนื้อหาวิดีโอทั้งแบบสั้นและยาว โดยผู้บริโภค Gen Z ชื่นชอบถึง 78% รองลงมาคือ TikTok, Instagram, Facebook

โดยผู้บริโภค Gen Z เผยอีกว่าเลือกเสพคอนเทนต์จาก YouTube สำหรับวิดีโอยาวๆ เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง โดย 97% ของผู้บริโภค Gen Z ระบุว่า ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่เชื่อถือได้โดยพิจารณาจากการรีวิวสินค้าจากความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ใช้งานจริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกับ YouTube อย่างเห็นได้ชัด นักการตลาดควรพิจารณาให้ดีว่า ควรให้ใครพูดแทนแบรนด์ถึงจะทำให้รีวิวนั้นน่าเชื่อถือมากพอ และคำถามถัดไปคือจะขายอะไรให้ผู้บริโภค Gen Z?

 

This Is Me: ช้อปปิ้งสะท้อนอัตลักษณ์ เพราะนี่คือ ‘ฉัน’

ประเภทสินค้าที่ผู้บริโภค Gen Z ทั่วไปให้ความสนใจ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง (36%) อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นผู้หญิง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น แต่เมื่อเจาะไปที่ผู้บริโภคหญิง Gen Z มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่หลากหลายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บริโภคชาย Gen Z นั่นหมายถึง ผู้หญิง นิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคหญิง Gen Z ให้ความสำคัญกับสินค้าที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน นักการตลาดอาจต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อมองให้ลึกถึงการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ตัวตนและส่งเสริมภาพลักษณ์ในแบบที่ผู้หญิง Gen Z ให้ความสนใจ ในขณะที่ผู้ชายนิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้ชาย และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก

เมื่อรู้ว่าสินค้าหมวดหมู่ใดที่ผู้บริโภค Gen Z สนใจแล้ว นักการตลาดจะนำเสนอสินค้าเข้าไปอยู่ในสายตาของพวกเขาได้อย่างไร ให้สอดคล้องไปกับพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’?

จากผลการวิจัยพบว่าเมื่อผู้บริโภค Gen Z ได้ตระหนักถึงปัจจัยดังกล่าวแล้วนั้น ก็มองหาช่องทางที่ตอบโจทย์ที่สุดในการเลือกซื้อสินค้า โดยรายงานระบุว่า Shopee เป็นแพลตฟอร์มอันดับแรกที่ Gen Z ใช้ทั้งในการค้นหาไอเดียและตัดสินใจซื้อสินค้า รองลงมาคือ TikTok Shop และ Lazada

 

‘ส่งฟรี’ ครองแชมป์ทุกสมัย: เพราะราคา ‘ถูก’ ไม่ใช่ปัจจัย แต่คุ้ม ‘ถูกใจ’ ต่างหากที่ Gen Z ตามหา

แม้จะอยู่ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ผู้บริโภค Gen Z ตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ กลับไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘ราคา’ เท่านั้น แต่คือความรู้สึก ‘คุ้มค่า’ ที่สามารถจับต้องได้จริง โดย 3 ปัจจัยกระตุ้นสูงสุดที่เป็นแรงสนับสนุนพฤติกรรมการจับจ่ายบนโลกออนไลน์ของผู้บริโภค Gen Z นั่นคือ การส่งฟรี (40%) โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) และส่วนลดที่คุ้มค่า (28%) พฤติกรรมนี้อาจจะกำลังบอกนักการตลาดว่า การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้เล่นที่ ‘ราคาถูกที่สุด’ อาจไม่ใช่วิธีที่เวิร์ค เสมอไป แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในแง่ของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นสำคัญ และเมื่อพูดถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์ พบว่า ผู้บริโภค Gen Z มีการใช้จ่ายผ่านทั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

ด้านความนิยมของแพลตฟอร์มสำหรับการจับจ่ายใช้สอย พบว่า Shopee ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ครองใจผู้บริโภค Gen Z มากกว่าครึ่ง (52%) โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญด้าน UX/UI ที่ใช้งานง่าย โปรโมชั่นและส่วนลดที่น่าดึงดูดใจ รวมไปถึงประสบการณ์ด้านขนส่งที่น่าเชื่อถือ จึงกลายเป็น Go-To แพลตฟอร์มเมื่อคิดจะซื้อสินค้าออนไลน์ อันดับถัดมาคือ Lazada (22%) TikTok (16%) และ Facebook (8%)

กลุ่มผู้บริโภค Gen Z ถือว่าเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม หากคิดจะขายสินค้าให้กับผู้บริโภคกลุ่มนี้ นักการตลาดจะคิดแค่เรื่องการพัฒนา ‘สินค้าที่ดีที่สุด’ และ ‘ราคาที่ถูกที่สุด’ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์และนักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจถึงภาพรวมของพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค Gen Z และคำนึงถึงการส่งมอบ ‘ความคุ้มค่า’ พร้อม ‘ประสบการณ์ที่ดีที่สุด’ ควบคู่ไปกับการนำเสนอ ‘คอนเทนต์ที่ถูกใจ’ และ ‘วางสินค้าให้ถูกจุด’ เหมือนอย่าง Shopee ที่เฟ้นหา กลยุทธ์ในการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค Gen Z เพื่อเชื่อมโยงสินค้าเข้าไว้กับไลฟ์สไตล์และ Touch Point ของการจับจ่าย สร้างประสบการณ์ที่นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคกลุ่มนี้ จนกลายเป็น Brand Loyalty ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างทันสถานการณ์ในยุคดิจิทัล

Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มจัดหางานอันดับหนึ่งของประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทการเป็นแพลตฟอร์มหางานดิจิทัลที่น่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยสูงภายในงานสัมนา “St@y Safe in Digital Space” Thailand Forum 2025 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Jobsdb by SEEK และหน่วยงานจากองค์กรสหประชาชาติ (UN) รวมถึงองค์กรพันธมิตรในระดับโลกรายอื่น ๆ ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันคือการเพิ่มความตระหนักรู้และร่วมกันเสนอแนะแนวทางป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และการแสวงหาผลประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้อพยพ ผู้หญิง และเยาวชน

บนเวทีเสวนา “หางานออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย?” คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับ ความเสี่ยงที่อาจมาพร้อมกับการหางานออนไลน์ผ่านช่องทางที่ไม่น่าเชื่อถือ วิธีป้องกันและวิธีหางานออนไลน์ที่เหมาะสม พร้อมทั้งยังได้ตอกย้ำบทบาทของ Jobsdb by SEEK ในฐานะการเป็นแพลตฟอร์มผู้นำด้านการหางานซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หางานในยุคดิจิทัล

“การหางานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอาจมีความเสี่ยงในเรื่องการหลอกลวงด้านการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหางานผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เนื่องจากขาดระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือ โดย Jobsdb by SEEK มุ่งมั่นที่จะสร้างตลาดงานออนไลน์ที่ไว้วางใจได้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถหางานได้อย่างมั่นใจ” คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK กล่าวเพิ่มเติม “เรามีระบบตรวจสอบประกาศงานอย่างเข้มงวด พร้อมทีมรักษาความปลอดภัยที่คอยเฝ้าระวังและลบทุกประกาศงานที่น่าสงสัยทันที นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น SEEKPass ที่ช่วยยืนยันตัวตนของผู้สมัครและปกป้องข้อมูลส่วนตัว โดยปัจจุบันมีใช้งานแล้วใน 8 ประเทศ ภายใต้ SEEK ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ และสำหรับการใช้งานในประเทศไทยจะมีการพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติม รวมถึงยกระดับด้านความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นเร็ว ๆ นี้”

 

การมีส่วนร่วมในเวทีสัมนาครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Jobsdb by SEEK พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยในโลกดิจิทัล และยังเป็นผู้นำในด้านการผลักดันให้ตลาดการหางานออนไลน์มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงและเยาวชน

เพื่อปกป้องตัวเองเมื่อใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการหางาน Jobsdb by SEEK ยังได้แนะนำวิธีการรับมือเมื่อพบกับประกาศงานที่น่าสงสัย ดังนี้:

● ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มและนายจ้าง: ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มและนายจ้างก่อนสมัครงาน โดยใช้เฉพาะเว็บไซต์หางานที่ได้รับการรับรอง และหลีกเลี่ยงการติดต่อผ่านแอปแชทส่วนตัว โดยควรตรวจสอบข้อมูลบริษัทจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Jobsdb หรือกระทรวงแรงงาน

● สังเกตลักษณะของงานที่น่าสงสัย: ค่าตอบแทนสูงเกินจริง ไม่มีรายละเอียดงานชัดเจน ขอให้โอนเงินหรือจ่ายค่าสมัครงานก่อน ให้ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือน โดยนายจ้างที่น่าเชื่อถือมักไม่ขอข้อมูลหรือเงินของผู้สมัครก่อนการสัมภาษณ์งาน

● ให้ข้อมูลเท่าที่จำเป็น: กรอกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน เช่น ประวัติการทำงานและทักษะ หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร หรือที่อยู่บ้านเต็มรูปแบบ

● ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย: ตรวจสอบการตั้งค่าโปรไฟล์และเลือกเปิดเผยข้อมูลให้เฉพาะนายจ้างที่เชื่อถือได้ ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมและไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันกับบัญชีอื่น ๆ

● แจ้งแพลตฟอร์มหางานหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: หากพบประกาศงานที่อาจเป็นการหลอกลวง สามารถแจ้งไปยังแพลตฟอร์มที่ใช้งานเพื่อให้ทีมงานตรวจสอบและดำเนินการปิดประกาศงานดังกล่าวได้ ในกรณีที่มีการถูกหลอกลวงเกิดขึ้น ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือกระทรวงแรงงาน

ข้อมูลดังกล่าวนี้ เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งจากการสัมมนาในงาน “St@y Safe in Digital Space” Thailand Forum 2025 เมื่อวันที่ 26–27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Skyview Hotel Bangkok จัดขึ้นโดย UNODC ภายใต้ความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน อันได้แก่ ILO, UN Women, UNICEF และ Jobsdb by SEEK โดยได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งงานดังกล่าวถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย เพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ Jobsdb by SEEK ที่ต้องการสนับสนุนอีโคซิสเต็มด้านการจัดหางานให้มีความปลอดภัยให้แก่แรงงานทุกคน ทั้งในระดับประเทศไทยและในระดับโลก

RackCorp และ Treasure Hub ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำระดับโลก ได้จัดงานเปิดตัว RackCorp.ai แพลตฟอร์มปัญญา ประดิษฐ์แบบ Sovereign AI อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในประเทศไทย  ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีของประเทศไทย  

งานเปิดตัว RackCorp.ai ครั้งนี้ ได้จัดบรรยายรูปแบบสัมมนาเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี AI ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กรก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณลอเรนซ์ ไมเคิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RackCorp คุณธภัทร ยุวบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Treasure Hub ตัวแทน RackCorp.ai ประเทศไทย คุณพรหมินทร์ (ลัคกี้) ซิงห์ ผู้อำนวยการพันธมิตร RackCorp คุณเพรม นาไรน์ดาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Katonic AI คุณจอร์จ ดรากาสซิส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Hitachi Vantara คุณ Shankar Raghavan ผู้อำนวยการอาวุโส Hewlett Packard Enterprise (HPE) และวิทยากรพิเศษจาก NVIDIA โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นอธิปไตยด้านข้อมูลและบทบาทของ AI รักษาความมั่นคงในอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย รวมถึงการใช้งานในชีวิตจริงและจะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาทุกธุรกิจที่ได้ใช้งาน 

ลอเรนซ์ ไมเคิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RackCorp กล่าวว่า การเปิดตัวแพลตฟอร์ตปัญญาประดิษฐ์แบบ Sovereign AI ของ RackCorp ในประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญทางเทคโนโลยีของประเทศ “เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจไทยมีเครื่องมือที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล พร้อมกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”  

เพรม นาไรน์ดาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Katonic AI กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเรากับ RackCorp ที่สร้างสรรค์โซลูชั่นปัญญาประดิษฐ์แบบ Sovereign AI อย่างครบวงจร ด้วยการนำฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย ซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนของ Katonic รวมกับบริการที่ปรับแต่งเพื่อสร้างระบบ AI ที่สมบูรณ์สำหรับธุรกิจไทย โดยยังคงรักษาความเป็นอธิปไตยและความปลอดภัยของข้อมูล “สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะจุดเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีที่องค์กรต่างๆนำ AI มาใช้ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดภายในกรอบการทำงานที่มีความปลอดภัยและเป็นอธิปไตย”  

 

คุณธภัทร ยุวบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Treasure Hub ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่าย RackCorp.ai ประเทศไทยกล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทย ด้วย RackCorp.ai ไม่ได้แค่นำเสนอ AI ที่ล้ำสมัย แต่ยังทำให้มั่นใจว่าโซลูชั่นเหล่านี้สามารถปรับและนำมาใช้ให้เข้ากับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อทำให้ธุรกิจไทยมั่นใจได้ต่อการใช้ประโยชน์จาก AI  

คุณธภัทร กล่าวเพิ่มเติมถึงแพลตฟอร์ม RackCorp.ai ว่า เป็นความร่วมมือร่วมกันของบริษัทชั้นนำของโลก ได้แก่ RackCorp, Katonic AI, Hitachi Vantara, HPE, และ NVIDIA โดยมีเป้าหมายการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ใช้งานได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของไทย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลหรือการพึ่งพารูปแบบ AI จากต่างประเทศ มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกเก็บรักษาและดำเนินการภายในประเทศ ซึ่งเรามี Data Center ที่มี GPU ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึง 2 แห่งอยู่ที่บางนาและอมตะนคร ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้งาน AI ได้อย่างปลอดภัย ข้อมูลสำคัญต่างๆจะไม่รั่วไหลหรือถูกส่งต่อไปยังที่อื่นโดยเราไม่รู้ตัว ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานที่มีความปลอดภัยสุงสุด เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยทางระบบดิจิทัล โดยมีคุณสมบัติสำคัญ ได้แก่ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ภายในประเทศไทย, มีการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน  

เรามั่นใจว่า RackCorp.ai มีศักยภาพสร้างการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อการเติบโตของประเทศไทย เช่น เกษตรกรรม การผลิต การท่องเที่ยว เศรษฐกิจและสังคม ด้วย AI ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ และยังสอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย คาดหวังว่าการเปิดตัว RackCorp.ai จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมของหลายอุตสาหกรรมของไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศตามแผนพัฒนาไทยแลนด์ 4.0 และผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทเป็นผู้นำในเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคอาเซียน ดึงดูดการลงทุนและบุคลากรคุณภาพจากทั่วโลก”   

สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน sign up เพื่อนัดหมายการทดลองใช้ระบบแพลตฟอร์ม RackCorp.ai และรับคำปรึกษาการนำ  AI มาใช้ในองค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกมัดใดๆ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงาน ทั้งที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูงและตัวแทนจากหลากหลายบริษัท สำหรับผู้ที่พลาดงานดังกล่าว สามารถทดลองใช้ฟรีหรือขอคำปรึกษาได้เช่นกัน โดยสามารถนัดหมายได้ที่ treasurehub.ai  

  

 

  

 

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ (คนที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาเก็ตส์ และ ผู้จัดการทั่วไป – ฟิลิปปินส์ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับภก.เชิญพร เต็งอำนวย (คนที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด เนื่องในโอกาสจัดกิจกรรมเยี่ยมชมกลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์และบริการในอุตสาหกรรมยาไทย ที่กำลังเข้าร่วมจัดแสดงในงานซีพีเอชไอ เซาท์อีส เอเชีย 2024 (CPHI South East Asia 2024) ที่กำลังจะถึงนี้

“ซีพีเอชไอ เซาท์อีส เอเชีย 2024 (CPHI South East Asia 2024)” งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยาครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วที่ www.cphi.com/sea

บุคคลในภาพ (จากซ้าย)

1. นางสุวรรณี เต็งอำนวย รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด

2. นางสาวชัญญา เต็งอำนวย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด

3. ภก.เชิญพร เต็งอำนวย กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด

4. นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาเก็ตส์ และ ผู้จัดการทั่วไป – ฟิลิปปินส์

5. นายชนวิน เต็งอำนวย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด

6. ดร.ศุภเดช โรจไพศาล แพทย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสเต็มเซลล์

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click