

สถาบันไทยพัฒน์ ตั้งหน่วยงาน Carbon Ratings พัฒนาข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ สำหรับผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน ให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และผลักดันการกำกับดูแลกิจการด้านภูมิอากาศไปพร้อมกัน
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการจัดระดับ ESG Rating ขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เห็นว่า ปัจจุบัน ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน นอกจากที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลด้าน ESG ของกิจการในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังมีความต้องการใช้ข้อมูลด้านภูมิอากาศที่กิจการมีการดำเนินการ อาทิ ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับกิจการ ฯลฯ สำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย
โดยจากรายงานผลสำรวจ EY 2024 Institutional Investor Survey ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 11 ได้รวบรวมมุมมองของผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนกว่า 55% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 2 ปีข้างหน้า และ 62% ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทที่เข้าลงทุนไว้แล้ว
ด้วยประสบการณ์กว่า 11 ปี ของสถาบันไทยพัฒน์ในการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของกิจการ จึงได้ขยายผลมาสู่การประเมินข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ ในรูปแบบของ Carbon Ratings เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
การจัดระดับคาร์บอน (Carbon Ratings) ที่สถาบันไทยพัฒน์พัฒนาขึ้น เป็นการประเมินโดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกที่กิจการเปิดเผย (Corporate Emission Profile) แสดงผลด้วยตัวอักษรแทนระดับของผลการประเมิน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับแรก แสดงด้วยตัวอักษร Q หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่าย (Scope) ที่ 1, 2 และ 3 ครบถ้วนตามขอบเขตดำเนินงาน (Operational Boundary) เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Emissions Quantity)
ระดับที่สอง แสดงด้วยตัวอักษร QQ หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเกณฑ์คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่รายงาน เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับแรก และคุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจก (Data Quality)
ระดับที่สาม แสดงด้วยตัวอักษร QQQ หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกณฑ์คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่รายงาน และความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่ายที่ 1, 2 และ 3 ที่สอดคล้องกับกรอบเพดานอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 °C เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับแรก คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สอง และความก้าวหน้าดำเนินงานบนขีดความสามารถทางภูมิอากาศ (Climate Quotient)

นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การประเมิน Carbon Ratings ที่สถาบันไทยพัฒน์ริเริ่มขึ้นนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของการเผยแพร่ข้อมูลประเมินด้านภูมิอากาศ ที่นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทจดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน พร้อมกับการสร้างผลกระทบทางภูมิอากาศในเชิงบวก”

นางสาววีรญา ปรียาพันธ์ ในฐานะหัวหน้าทีม Carbon Ratings สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “ไทยพัฒน์ ได้เข้าเป็นสมาชิก Climate Reference Group[1] ภายใต้ UN PRI[2] เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีต่อการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่ผนวกทั้งโอกาสและความเสี่ยงด้านภูมิอากาศผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ร่วมกับอีก 63 องค์กรสมาชิกที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำระดับโลก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาข้อมูลด้านภูมิอากาศสำหรับการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนไทย”
บริษัทจดทะเบียนและกิจการที่ต้องการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอน หรือต้องการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศเพื่อการเผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เครื่องมือ Carbon Ratings สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CarbonRatings.org ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
[1] https://www.unpri.org/signatory-resources/advisory-committees-and-working-groups/320.article#Climate_reference_group
[2] เป็นโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ ที่ให้คำแนะนำเรื่องการนำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน และมีภาคีผู้ร่วมลงนามกว่า 5,200 รายทั่วโลก
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่นเดลิเวอรี่ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มบริการ และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน (พ.ศ.2561-2567)
“ซีพี ออลล์ ได้กำหนดกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 2024-2025 (CP ALL Sustainability framework) ด้วย 2-ลด 4-สร้าง 1-DNA ได้แก่ ลดการใช้พลาสติก - ลดการใช้พลังงาน สร้างคน - สร้างงาน - สร้างอาชีพ - สร้างชุมชนอุ่นใจ และ DNA ความดี 24 ชั่วโมง โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นองค์กรที่อยู่เคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน ผ่านแนวคิด ESG ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า จนได้รับการรับรองให้อยู่ในทำเนียบ ESG100 มาอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ การจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน
สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้
ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ดำเนินการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์
นายรวี บุญสินสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มทรัพยากร และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 (พ.ศ.2561-2567)
“บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินงานอย่างรับผิดชอบ ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยยังตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) พร้อมที่จะบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ ผ่านการดำเนินงานที่หลากหลาย อาทิ โครงการ Energy for Everyone เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสะอาด กิจกรรมนักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่อง Circular Economy ให้กับนักเรียน โดยมุ่งสร้างการมีส่วนร่วม ดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยปณิธานในการสร้างโลกที่น่าอยู่ร่วมกันด้วยพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ การจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน
สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้
ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร โดยสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำด้านการผลิตยางพาราและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ESG Rating สถาบันไทยพัฒน์ได้ประกาศให้ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 จากการคัดเลือกหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้งหมด 920 หลักทรัพย์ ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) ซึ่งบริษัทมีรายชื่ออยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน (พ.ศ.2562-2567) นับตั้งแต่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน
การที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 บริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และหลักบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) หรือ ESG และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
บริษัทฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ โดยเน้นการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน ทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และการใช้ไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองที่ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
โดยตัวอย่างการดำเนินโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้ สู่ดวงใจพนักงาน ผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น
สำหรับการจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ จะพิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน ขณะที่การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป