December 05, 2025

 

 บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เดินหน้าต่อยอดพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าสู่ธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Power Trading) ในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สหรัฐฯ การเติบโตเชิงกลยุทธ์นี้สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ – การผลิตไฟฟ้า, กลางน้ำ – การซื้อขายไฟฟ้า, ไปจนถึงปลายน้ำ - ธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Power Retail) เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้อย่างยั่งยืน แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับจุดยืน “บุกเบิกนวัตกรรมพลังงาน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Pioneer Energy, Empowering Tomorrow)” และพันธกิจใหม่ในการยกระดับขีดความสามารถ พร้อมเปิดรับโอกาสที่รองรับทิศทางพลังงานโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ BPP รายงาน ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ จีน และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs)

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “ในยุคที่ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญของเสถียรภาพเศรษฐกิจและความมั่นคงของทุกประเทศทั่วโลก BPP มุ่งเป็นผู้นำและพัฒนาพลังงานที่ไม่หยุดแค่การผลิตไฟฟ้า แต่ยังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยธุรกิจ Power Trading ในตลาดสหรัฐฯ ผ่านบริษัทลูก BPPUS โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ข้อมูล และทีมงานมืออาชีพ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เราสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจซื้อขายสิทธิรายได้จากความแออัดของระบบสายส่งไฟฟ้า หรือ Congestion Revenue Rights (CRR) รวมรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ CRR ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งปีแรก 2568 กว่า 133 ล้านบาท และเตรียมขยายสู่ตลาด Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อทำกำไรจากตลาดซื้อขายไฟล่วงหน้าจากการคาดการณ์ราคาพลังงาน (Proprietary Trade) ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนควบคู่กับธุรกิจผลิตไฟฟ้าอันเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เรายังดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าในสหรัฐฯ ผ่าน BKV Energy บริษัทย่อยภายใต้ความร่วมมือระหว่าง BPPUS และ BKV Corporation ซึ่งล่าสุดได้รับรางวัล “Best Electricity Company” จากเวที Best of the Best 2025 ของ Houston Chronicle ผ่านการโหวตของผู้บริโภคในรัฐเท็กซัส สะท้อนถึง ความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและการส่งมอบไฟฟ้าที่ต่อเนื่องในราคาที่เหมาะสม”

 

สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

BPP มีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,486 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ Temple I และ II ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (Change in Fair Value of Financial Instrument) อันเป็นผลจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ดี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHPs) ในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้มีประสิทธิภาพ และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีน เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ราว 70,000 ตันต่อปี ส่วนโรงไฟฟ้าโจวผิงได้เริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งไอน้ำฝั่งเหนือในเดือนกรกฎาคมและกำลังศึกษาการขยายท่อเพิ่มเติมไปยังฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อส่งมอบไอน้ำที่มีความเสถียรและคุ้มค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ในสปป. ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 89 และ 90 ตามลำดับ

ธุรกิจ Renewables+: โครงการอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) แบตเตอรี่ฟาร์มในญี่ปุ่น กำลังไฟฟ้า 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดย BPP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ที่ญี่ปุ่น ผ่าน Banpu NEXT ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยตั้งเป้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจ BESS ของญี่ปุ่น พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุน BESS สู่ตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต

ทั้งนี้ BPP ยังได้ประกาศพันธกิจใหม่ 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสอดรับกับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ได้แก่:

1. ผลักดันการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ความเชี่ยวชาญระดับสากล และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงการระดับโลก

2. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อย CO2 และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่ออนาคต

3.ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ฯลฯ เพื่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

“ตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา BPP ดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ในฐานะผู้นำและผู้บุกเบิกด้านพลังงาน สะท้อนศักยภาพในการสร้างสมดุลด้านพลังงาน ผ่านการกระจายพอร์ตธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เดิม และการลดการปล่อย CO2 อย่างต่อเนื่อง

เพื่อส่งมอบพลังงานคุณภาพสูงควบคู่กับผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวทิ้งท้าย

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงอื่น ๆ (Electrification) และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) ที่ทุกอย่างเชื่อมโยง ผ่านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการใช้พลังงาน ที่เพิ่มประสิทธิภาพและ ความยืดหยุ่น พร้อมเดินหน้าสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจให้สอดรับกับภูมิทัศน์พลังงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป (Energy Landscape Transformation) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในฐานะผู้ผลิตพลังงานระดับสากล ได้รวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา ดังนี้

 

1. ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก

รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความมั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้ไฟฟ้า สร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว

 

2. เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลด CO₂

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อย CO₂ โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีน ได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10%[2] ภายในปี 2027 เพื่อบรรลุเป้าหมายลด CO₂ ลง 50% เมื่อเทียบจากระดับการปล่อย CO₂ ในปี 2023[3] ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาตินำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037[4] ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

3. Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์

พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง[5] โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025[6]

ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030[7] อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034[8] นอกจากนี้ เทคโนโลยี ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033[9] สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า

 

4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026[10] ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power[11] สำหรับไทย ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต[12] เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว

 

5. Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น

Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม[13] ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032[14] ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน[15] ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุน การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน[16]

อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่น

ผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนและการซื้อขายพลังงานในญี่ปุ่น พร้อมเดินหน้าแผนการลด การปล่อย CO2 อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งในจีน (Biomass Co-firing) ประกอบกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) ผ่าน Banpu NEXT ทั้งในจีนและญี่ปุ่น เพื่อสร้างรายได้เพิ่มและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization Journey)

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกยังเผชิญความผันผวนและมีการปรับขึ้นภาษีทางการค้าระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา แต่ BPP ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโต ด้วย จุดแข็งจากการกระจายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่สมดุล และเลือกลงทุนในภูมิภาคที่มีการเติบโตมั่นคง โดยเน้นการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในตลาดภายในประเทศเป็นหลัก (Domestic market) ควบคู่กับความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น เพื่อเสริมความยืดหยุ่นใน การดำเนินธุรกิจ และสนับสนุนเป้าหมายพลังงานของแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิผล เราเชื่อว่าความหลากหลายของโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งพลังงานความร้อน (Thermal Energy) และพลังงานหมุนเวียนรวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเป็นฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

 โดยผลดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 574 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 1,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 286 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้ดี และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งประสบความสำเร็จในการใช้ชีวมวลสัดส่วน 10% ร่วมกับเชื้อเพลิงหลัก ขณะที่โครงการที่โรงไฟฟ้าโจวผิงอยู่ระหว่างขั้นตอนทดสอบระบบก่อนเปิดดำเนินการ และโรงไฟฟ้าหลวนหนานอยู่ในขั้นตอนการประมูล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายท่อส่งไอน้ำในจีน สำหรับธุรกิจ Renewables+ ได้ลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์ม จินหู เฉียนเฟิง (Jinhu Qianfeng Solar Farm) ตั้งอยู่ที่มณฑลเจียงชู ในจีน มีกำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ เป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ผสมผสานกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquavoltaic) โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการพลังงานสูง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการ เชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2569 ด้านโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 81 ทั้งสองแห่ง ขณะที่ในญี่ปุ่น ธุรกิจซื้อขายพลังงานมีผลการดำเนินงานโดดเด่น ด้วยปริมาณซื้อขายรวม 2,020 กิกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสแรก พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (Grid-Scale BESS) แห่งแรกในกรุงโตเกียว ผ่านการดำเนินงานของ Banpu NEXT มีกำลังการกักเก็บ 8 เมกะวัตต์ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เสริมเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า และตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เติบโตต่อเนื่องในท้องถิ่น

ส่วนในสหรัฐฯ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ในตลาดพลังงานเสรี ERCOT มีแนวโน้มลดลงภายใน 2569 จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาไฟฟ้าในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นส่งผลเชิงบวกต่อการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่ง

“BPP ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของเราที่ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่น และการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่หลากหลาย เพื่อรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละตลาด ประกอบกับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและมีเป้าหมายชัดเจนใน การสร้างอนาคตพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวเสริม

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่  www.banpupower.com

 

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลดำเนินงานปี 2567 รักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในจีนลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าเกณฑ์ ทำให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท เล็งเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ รับแรงหนุนจากแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 และการคาดการณ์อัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 25731 จากการลงทุน Data Centers โดยรัฐเท็กซัสมี
การเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ2

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้จะมีราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เราเชื่อมั่นว่า ราคาซื้อขายไฟในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ โดยในปี 2568 จะมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 40% นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน”

 

“นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น” นายอิศรา กล่าวเสริม

ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วน
ผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า โดยไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย

  • ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 86 และร้อยละ 90 ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตตามสัญญา รวมถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่ดีขึ้นและมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 90 ล้านบาท จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโรงไฟฟ้า (CEAs) ปริมาณประมาณ 290,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการและควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าเกณฑ์
  • ธุรกิจ Renewables+: ลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้ และเดินหน้าธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816
    กิกะวัตต์-ชั่วโมง ล่าสุดในปี 2568 บ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 ได้ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์

“ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพื่อส่งมอบคุณค่าและผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตพลังงานระดับโลก” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวทิ้งท้าย


[1] อ้างอิงจาก ERCOT Platts M2MS Modeled Power Curves, 20 Dec. 2024

[2] อ้างอิงจาก JLL, ERCOT

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าระดับสากล เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2567 เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,659 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 995 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน* พร้อมเริ่มต้นธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar มีกำหนดเริ่มดำเนินการเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งยังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ Gemeng International Energy เพื่อขยายการเติบโตของพลังงานสะอาดในจีน

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “โรงไฟฟ้าของ BPP สามารถรักษาเสถียรภาพการผลิตและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต จึงสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานที่ยั่งยืน ผ่านการขยายพอร์ตให้ครอบคลุมมากไปกว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า ตามแนวทาง ‘Beyond Megawatts Portfolio’ ทั้งการขยายกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (Energy Infrastructure) และการพัฒนาธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System: BESS)”

ภาพรวมครึ่งปีแรก BPP มีผลการดำเนินงานที่ดี ส่วนสำคัญเกิดจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นของโรงไฟฟ้าแฝด Temple l และ Temple ll ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการรับรู้รายได้จากการเดินเครื่องที่มีประสิทธิภาพและมีค่าความพร้อมจ่ายไฟ (Equivalent Availability Factor: EAF) ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนยังรายงานผลการดำเนินงานที่ดีจากการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ

*หมายเหตุ: เทียบกับ EBITDA ที่ไม่รวมกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนใหม่ในปี 2566

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้ติดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่แหล่งก๊าซธรรมชาติ บาร์เนตต์ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา มีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2567 นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของ BPP ในสหรัฐฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ BPP ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Gemeng International Energy ในการร่วมพัฒนาธุรกิจพลังงานในรูปแบบใหม่ ธุรกิจระบบจัดเก็บพลังงาน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อขยายโอกาสการเติบโตของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศจีน

 

ด้านธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานซึ่ง BPP ได้ลงทุนผ่านบ้านปู เน็กซ์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 มีความคืบหน้าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ได้ลงนามสัญญาเพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพันธมิตรในประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 100 เมกะวัตต์ ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เริ่มสายการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของโรงงาน SVOLT Thailand และส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ชุดแรกให้กับผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย ขณะที่โครงการแบตเตอรี่ฟาร์มอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) ในญี่ปุ่น มีความคืบหน้าในการก่อสร้างถึง 97% ธุรกิจอีโมบิลิตี้ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi เดินหน้าขยายเส้นทางการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ให้บริการรับส่งแล้วมากกว่า 13 ล้านเที่ยว ธุรกิจการบริหารจัดการพลังงาน ได้ลงนามในสัญญาบริการจำนวน 25 สัญญาให้แก่ SB Design Square ในจังหวัดภูเก็ต และ SB Design Square CDC ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ หน่วยงาน Corporate Venture Capital ยังได้ลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการซื้อ-ขายพลังงานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI ที่จะยกระดับการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์

“BPP จะยังคงเดินหน้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้าคุณภาพจากโรงไฟฟ้าที่มีก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตอบสนองต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นและรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต สะท้อนให้เห็นว่า เราคือพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ที่มุ่งส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” นายอิศรา กล่าวปิดท้าย

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click