

บูรณาการข้อมูลการบิน เดินหน้าพัฒนาระบบข้อมูลกลางด้านการบินของประเทศ รองรับการกำกับดูแล นโยบาย ความปลอดภัย
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือน แห่งประเทศไทย (CAAT) พร้อมด้วยนายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาเศรษฐกิจการบิน และผู้บริหารระดับสูงของ 8 สายการบินของไทย ได้แก่ สายการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินเค-ไมล์ แอร์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ และสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ณ ห้องประชุมพระศิวะ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ บันทึกข้อตกลงนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบินของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของภาคการบินของไทยที่จะสนับสนุนมาตรการสำคัญขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้แก่ มาตรการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนำร่อง เมื่อปี พ.ศ.2564 นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมการบินของไทยปรับตัวสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าวอีกด้วย

ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการทำงานอย่างเข้มแข็งของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการใช้ SAF ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก CAAT ผู้แทน 8 สายการบิน และ สนข. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่า การส่งเสริมการใช้ SAF ถือเป็นหัวใจหลักในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน ภายใต้กลไก CORSIA ที่กำหนดให้การใช้ SAF ที่เป็นไปตามมาตรฐานจะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักลบกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้องทำการชดเชย โดยความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายปณิธานระยะยาวในการลดคาร์บอน (Long Term Global Aspirational Goal: LTAG) เพื่อให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
อย่างไรก็ดี CAAT ตระหนักถึงความท้าทายด้านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ SAF ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงานของสายการบิน ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบทางการเงินจากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีการพิจารณาแนวทางการแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (Carbon Surcharge) ในเส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2569 ทั้งนี้การแสดงรายการค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นต้นทุนที่เกิดจากการลดและชดเชยการการปล่อยคาร์บอนของภาคการบินของไทย โดย CAAT จะดำเนินการตรวจสอบความโปร่งใสและให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามข้อกำหนดสากล

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า “การลงนามความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้ว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นอุตสาหกรรมการบินสีเขียว (Green Aviation) ผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืนในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงอากาศยานของประเทศ

การใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐานสากล แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระบบนิเวศการบินยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น CAAT จะเดินหน้าทำงานร่วมกับสายการบิน หน่วยงานรัฐ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Green Aviation ในภูมิภาค”
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. จัดงานครบรอบ 10 ปีการก่อตั้ง ภายใต้แนวคิด “A Decade of Pride in Elevating Thai Aviation Towards a Sustainable Future – ทศวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ยกระดับการบินของไทย สู่อนาคตอย่างมั่นคง” โดยมีพลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวปาฐกถาพิเศษ สะท้อนเส้นทางแห่งความท้าทายและความสำเร็จขององค์กรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) แถลงผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือน โดยมีพลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เป็นผู้แถลงถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และได้วางทิศทางเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub)
ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีผู้โดยสารทางอากาศราว 72.68 ล้านคนเป็นผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศ 33.37 ล้านคน เส้นทางระหว่างประเทศ 39.31 ล้านคน และมีเที่ยวบินรวมราว 467,000 เที่ยวบิน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ 13.11% แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดหลัก ได้แก่ ยุโรป เอเชียใต้ และอินเดีย สำหรับตลาดจีนแม้จะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เนื่องจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ CAAT อยู่ระหว่างหารือกับทางการจีนเพื่อผ่อนผันการใช้สิทธิ Slot ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สายการบินของไทยสามารถนำอากาศยานไปให้บริการในตลาดสำคัญอื่น ๆ ชั่วคราว เพื่อชดเชยการชะลอตัวของตลาดจีน

พลอากาศเอก มนัทฯ กล่าวว่า “ขณะนี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเร่งพัฒนาให้ระบบการบินของไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานความปลอดภัย และบริการ เพื่อรองรับบทบาท Aviation Hub อย่างเป็นรูปธรรม”
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา CAAT ได้ดำเนินการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการการบินในหลายด้านสำคัญ เช่น การออกใบรับรองสนามบินสาธารณะให้กับท่าอากาศยานพิษณุโลก สมุย และกระบี่ รวมทั้งออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์แบบประจำมีกำหนด (AOL) ให้สายการบินใหม่ 2 ราย คือ บริษัท อินทิรา (2009) แอร์ และบริษัท สยามวิงส์ แอร์ไลน์ จำกัด และออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ให้แก่ EZY Airlines ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเดินอากาศรายใหม่
ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน CAAT ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (Quick Win Action Plan) ขับเคลื่อนใน 2 ช่วงหลัก ได้แก่: ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) มุ่งส่งเสริมธุรกิจเครื่องบินส่วนบุคคล (Private Jet) ทบทวนเกณฑ์อายุและมาตรฐานการใช้งานอากาศยาน ส่งเสริมให้เกิด Urban Traffic Management (UTM) รวมทั้งส่งเสริมการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกา ภายหลังไทยได้รับคืนสถานะ FAA CAT1 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค. – ธ.ค.) มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบิน เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค ส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต พร้อมยกระดับกระบวนการอนุญาตด้วยเทคโนโลยี เช่น ระบบ Fast Track และส่งเสริมการให้บริการเครื่องบินน้ำ หรือ
Sea Plane รวมถึงการจัดตั้งสนามบินน้ำ (Water Aerodromes)
CAAT ยังเตรียมความพร้อมเพื่อรับการตรวจประเมินจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach (USOAP CMA) ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีการตรวจประเมินในด้านต่างๆ เช่น มาตรฐานสนามบิน ความสมควรเดินอากาศ การปฏิบัติการบิน การบริการการเดินอากาศ ฯลฯ ทั้งในสำนักงานและการลงพื้นที่หน่วยงานต่างๆ ในการกำกับดูแลของ CAAT เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับคะแนนสูงจากการตรวจของ ICAO จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นจากสายการบิน นักลงทุน และผู้โดยสารทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเปิดเส้นทางบินใหม่ และยกระดับภาพลักษณ์ความปลอดภัยด้านการบินของไทยในเวทีนานาชาติ

นอกจากนี้ CAAT ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การผลักดันระบบบริหารจราจรอากาศยานไร้คนขับ (UTM) การจัดตั้งเขตห้วงอากาศเฉพาะสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ส่งเสริมการใช้ห้วงอากาศระดับต่ำ ส่งเสริมการใช้งานโดรนในภาคส่วนต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ เกษตรกรรม และการตรวจตรา รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนในอนาคต และ CAAT ได้จัดทำเอกสารแนวทางการกำกับดูแลการให้บริการอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งไฟฟ้า (eVTOL) และอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS) ฉบับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการพัฒนาและควบคุมเทคโนโลยี AAM อย่างเป็นระบบและปลอดภัย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ICAO AAM Symposium ในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่งานสำคัญระดับโลกนี้จะจัดขึ้นในเอเชีย สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนอนาคตของการบินและการขนส่งทางอากาศในภูมิภาค
ด้วยบทบาทของอุตสาหกรรมการบินในฐานะกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ CAAT ยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลและส่งเสริมการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เตรียมพร้อมรับการตรวจสอบจาก ICAO (International Civil Aviation Organization) ในโปรแกรม USOAP CMA (Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach) ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 8 กันยายนนี้ โดยโปรแกรมดังกล่าวว่าด้วยเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย อาทิ ความสมควรเดินอากาศของอากาศยานการปฏิบัติการของอากาศยาน ความปลอดภัยของสนามบิน การบริการการเดินอากาศ ซึ่งรวมด้านบริการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (SAR) อยู่ในการบริการการเดินอากาศด้วย โดย CAAT ได้สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (สกชย.) ในด้านการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเร็วๆ นี้ CAAT ได้จัดการประชุมความร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยสู่มาตรฐาน โดยมี พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เป็นประธานการประชุม เพื่อสื่อสาร สร้างความรู้ความเข้าใจในเอกสารหลักที่ใช้ในการให้บริการด้าน SAR ของประเทศ คือ ร่างแผนค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานในระบบ SAR ตามที่ระบุในร่างแผนค้นหาและช่วยเหลือฯ รวมจำนวน 19 หน่วย อาทิ สกชย. กองทัพอากาศ (ทอ.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงสาธารณสุข กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับทราบและเตรียมความพร้อมนำไปปฏิบัติ

พลอากาศเอกมนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของร่างแผนค้นหาและช่วยเหลือฯ คือเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (SAR Plan of Operations) โดยเอกสารต้องเป็นไปตามคู่มือมาตรฐานการให้บริการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (Manual of Standards – Search and Rescue Services: MOS-SAR) และ สกชย.จะเป็นหน่วยงานที่ต้องดำเนินการจัดให้มีความตกลงระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานปฏิบัติการ กำหนดขอบเขตและขั้นตอนการปฏิบัติงานให้เข้าถึงพื้นที่ประสบภัยภายใน 120 นาที หลังได้รับการแจ้งเตือน ให้หน่วยงานตามข้อตกลงจัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ทรัพยากร ระบบการจัดการ ทั้งนี้ การให้บริการ SAR ต้องครอบคลุม 4 พื้นที่ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่ทางทะเล พื้นที่ป่าภูเขา พื้นที่ราบ พื้นที่แหล่งชุมชน/เขตเมือง”

“ในเดือนสิงหาคมที่ประเทศไทยจะได้รับการตรวจสอบจาก ICAO ในโปรแกรม USOAP CMA (ด้านความปลอดภัย) นั้น ทาง ICAO จะตรวจ CAAT ในฐานะหน่วยงานกำกับ ซึ่งรวมถึงการ Industry visit หน่วยงานให้บริการด้าน SAR ภายใต้การดำเนินงานของ สกชย. เพื่อพิจารณาว่าหน่วยงานดังกล่าวปฏิบัติได้ตามมาตรฐานหรือไม่” พลอากาศเอก มนัทฯ กล่าวในตอนท้าย
การประชุมความร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยสู่มาตรฐาน ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาระบบ SAR พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการสายการบินต่าง ๆ ผู้โดยสารเครื่องบิน และประชาคมการบินระหว่างประเทศ