December 05, 2025
  • ก้าวสำคัญเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่มูลค่าธัญพืช และเข้าถึงตลาดที่ความต้องการสินค้า เกษตรที่ยั่งยืน ตรวจสอบย้อนกลับได้ กำลังเติบโต
  • สร้างความร่วมมือในโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน

บังกี้ และ กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร หลังจากความสำเร็จในการทดสอบแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใช้ตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองและวัตถุดิบจากถั่วเหลืองที่ยั่งยืนในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ทั้งสองบริษัทขยายการนำเทคโนโลยีนี้มาซื้อขายถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่บังกี้จัดหาจากบราซิล ให้กับ  กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) สำหรับการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อบูรณาการระบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในโครงการลดคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบังกี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู

ตั้งแต่ปี 2566 บังกี้ และซีพี ร่วมกันศึกษาห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค การดำเนินงาน และความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทดลองนำร่องขนส่งกากถั่วเหลืองราว 375,000 เมตริกตัน  ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชนตรวจสอบย้อนกลับกากถั่วเหลืองเหล่านี้ และด้วยข้อตกลงปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัท จะนำข้อมูลวัตถุดิบจากการจัดหาร่วมกัน มาบันทึกและซื้อขายผ่านบล็อกเชน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับธัญพืชได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่ง จนถึงปลายทาง เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน

“ด้วยแพลตฟอร์มบล็อกเชน ทำให้เรากำลังเชื่อมต่อ การผลิตอาหารของเรา เข้ากับลูกค้าปลายทางโดยตรง โดยที่กระบวนการทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยมีข้อมูลต่างๆตลอดห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนในห่วงโซ่มีส่วนสร้างอนาคตที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความสำเร็จของโครงการนำร่องยังเปิดโอกาสให้เราขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับซีพี และพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” ฮูลิโอ การ์รอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของบังกี้ กล่าว

ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส  กล่าวว่า “ความร่วมมือกับผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่าง บังกี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานของซีพี รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย การขยายความร่วมมือในครั้งนี้ ยังคลอบคลุมการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย แพลตฟอร์มดิจิทัล และโมเดลการจัดหาที่ยั่งยืน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย เรายังมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวที่จะสร้างมูลค่ากับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

การขยายความร่วมมือระหว่าง บังกี้ และ BKP ในปี 2568 จึงครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลัก การพัฒนากระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน และการปรับปรุงกระบวนการขนส่ง จนถึงปลายน้ำคือโรงงานอาหารสัตว์ของซีพีในภูมิภาคนี้

“การจัดหาวัตถุดิบภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบและมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้าของทั้งบังกี้และเครือซีพี  ทั้งสองบริษัทต่างมุ่งมั่นสร้างห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่าในปี 2025 แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากแปลงปลูกต้นทาง รวมถึงเอกสารการรับรองมาตรฐานถั่วเหลือง เช่น มาตรฐาน Round Table on Responsible Soy (RTRS) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในความมั่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2050” ฐิติ กล่าวเสริม

“เราเชื่อในพลังของความร่วมมือเพื่อสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่ดีขึ้น และความร่วมมือกับซีพี เป็นตัวอย่างของการที่เราสามารถขยายโซลูชัน เพื่อมอบความโปร่งใส รวมถึงข้อมูลเชิงลึกของห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต่างมีร่วมกัน” พาเมลา โมเรรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ของบังกี้ กล่าว

แพลตฟอร์มบล็อกเชนดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบังกี้ ร่วมกับบริษัท Justoken ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน บังกี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายแรกของโลกที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้รวมถึงติดตามการจัดซื้อถั่วเหลืองทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ 100% ในพื้นที่สำคัญของเขตเซอร์ราโด ประเทศบราซิล บริษัทใช้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงเพื่อติดตามพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตัดไม้ทำลายป่า โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวครอบคลุมจำนวนฟาร์ม กว่า 36,000 แห่ง และพื้นที่กว่า 46 ล้านเฮกตาร์ในอเมริกาใต้

ด้วยความใส่ใจในคุณภาพและความเข้าใจผู้บริโภค แบรนด์ CP โชว์ความแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นเป็นหนี่งในใจของคนไทย คว้ารางวัล "Thailand Brand Footprint 2025 : Top Rising Brand" ในหมวดอาหาร เป็นแบรนด์ที่มีผู้บริโภคเลือกซื้อเติบโตมากที่สุด  สะท้อนจากอัตราการเข้าถึงซึ่งวัดด้วยคะแนน Consumer Reach Points (CRPs) ที่สูงถึง 63.6 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านครั้งจากปีก่อนหน้า โดยแบรนด์ CP ทำได้ดีขึ้นในสินค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาหารทานเล่น และอาหารพร้อมทาน อาทิ  ไข่ต้ม อกไก่นุ่ม ไส้กรอก  ฯลฯ

   

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า  รางวัลที่ได้รับสะท้อนความแข็งแกร่ง การไม่หยุดพัฒนาเพื่อผู้บริโภคยุคใหม่ และความชื่นชอบที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์แบรนด์ CP เราเชื่อมั่นว่าการครองใจผู้บริโภคได้ ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริง  ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติหรือคุณภาพเท่านั้น  แต่รวมถึงราคาที่เหมาะสม ความสะดวก  และความหลากหลายที่ตอบสนองความต้องการในแต่ละช่วงชีวิต     

"แบรนด์ CP ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมรักษาความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ และการเข้าถึงของผู้บริโภค ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไป และต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อก็ตาม CP ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น และจะรักษาความไว้วางใจนี้ไว้ด้วยมาตรฐานที่ดี  ส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพคนไทยและคนทั่วโลก " นางสาวอนรรฆวี กล่าว                                                   

ทั้งนี้ การจัดอันดับประจำปีของแบรนด์ FMCG ในประเทศไทย จัดทำโดย บริษัท เวิร์ลพาแนล นูเมอร์ราเตอร์ จำกัด (Worldpanel by Numerator) ผู้นำระดับโลกด้านวิจัยตลาดและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค จัดมอบรางวัลใน 56 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมประชากรกว่า 73%  ประมวลผลด้วยดัชนี CPPs (Consumer Reach Points) ที่มีความแม่นยำ คำนวณจากอัตราการซื้อสินค้า (Penetration) คูณกับความถี่ในการซื้อ (Consumer Choice) ตลอดทั้งปี

ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”

ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”

ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน

การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง

 

การได้รับประทานอาหารที่ดี มีสารอาหารครบถ้วน เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อาจเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดีได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเติบโต และพัฒนาการทางสมองของเด็กๆ ด้วย

ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา เครือซีพี ร่วมกับ CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการ ริเริ่ม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532 ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เพื่อโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

ขณะเดียวกัน นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการด้านการเกษตรครบวงจรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

นอกจากจะได้อิ่มท้อง จากผลผลิตไข่ไก่ที่พวกเขาช่วยกันดูแลด้วยตนเองแล้ว โรงเรือนเลี้ยงไก่จึงกลายเป็นห้องเรียนอาชีพ ที่ทำให้พวกเขาได้ลงมือทำจริงทุกขั้นตอน ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ และยังกลายเป็นทักษะติดตัวนำไปใช้ต่อในอนาคต

ไข่ไก่ที่ผลิตได้ ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบสำคัญในโครงการอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ไข่ส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองและคนในชุมชน กลายเป็นคลังอาหารของชุมชนแบบยั่งยืน ถือเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้ทั้งโรงเรียนและชุมชน ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วถึง 988 แห่ง ทั่วประเทศ เด็กๆ กว่า 223,000 คน และคุณครูอีก กว่า 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ

โรงเรือนเลี้ยงไก่ พันธุ์ไก่ อาหารไก่ อุปกรณ์ต่างๆ  รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยสอนเทคนิคการเลี้ยงไก่ให้ถูกวิธีแบบมืออาชีพ มีซีพีเอฟที่ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร  เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือโรงเรียน   รวมไปถึงการให้ความรู้ เรื่องการจัดการฟาร์ม การตลาด การแปรรูปอาหาร และการจัดการของเสียจากฟาร์มด้วย เรียกได้ว่า เด็กๆ ไม่ได้แค่เลี้ยงไก่ แต่ได้เรียนรู้แบบครบวงจร

 

 ที่สำคัญยังยกระดับโรงเรียนให้เป็น Action Learning Base ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพของชุมชน ต่อยอดสร้างคลังอาหารที่มั่นคงในระดับท้องถิ่น และขยายองค์ความรู้สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ทุกวันนี้ โครงการฯ ผลิตไข่ไก่ได้มากกว่า 27.6 ล้านฟองต่อปี เลยทีเดียว และมีเป้าหมายขยายไปให้ครบ 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศภายในปี 2573 เพื่อให้น้องๆ กว่า 300,000 คน ได้บริโภคไข่ไก่อย่างทั่วถึง

โครงการฯนี้ นอกจากจะทำให้น้องๆนักเรียนและชุมชนได้รับประโยชน์แล้ว CPF ยังได้จัดจ้างคนพิการในชุมชนเพื่อช่วยทำงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ตามศักยภาพของพวกเขา อาทิ ช่วยดูแลความสะอาดบริเวณโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ทำความสะอาดภายในโรงเรียน รดน้ำต้นไม้ และปลูกผักสวนครัว จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการรวม 503 คน

CPF และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ มุ่งมั่นเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อช่วยเติมเต็มโภชนาการดีๆ ให้เด็กๆ สร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนในโรงเรียน ด้วยตระหนักดีว่าการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ คือ การสร้างทุนมนุษย์ ที่จะไปสู่อนาคตที่ดีอย่างยั่งยืน

ไปดูความน่ารัก + ความภูมิใจของเด็กๆ กันเลย

 

เดินหน้าเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แล้วสำหรับโครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ที่อำเภอสันกำแพง กับ CPF ร่วมมือกันจัดขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนชาวอำเภอสันกำแพง รวบรวมเศษใบไม้แห้งจากบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา นำมาแลกกับไข่ไก่ CP สอดรับกับนโยบายของ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เพื่อให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศสะอาดและปราศจากมลพิษ โดยเฉพาะการหยุดเผาทุกชนิดในที่โล่ง

โครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนชาว อ.สันกำแพง งดการเผาเศษใบไม้แห้ง ที่แต่ละบ้านมีอยู่ เพื่อช่วยลดปัญหาหมอกควัน แถมยังได้ไข่ไก่กลับบ้าน ช่วยให้อิ่มท้อง ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน บ้านเรือนและชุมชนสะอาดขึ้น ถือว่าได้ประโยชน์รอบด้าน ภายใต้สโลแกน “สันกําแพงเราไม่เผา เอาเศษใบไม้มาแลกไข่ หมอกควัน ไฟป่าห่างไกล หายใจ โล่งกันทุกคน”

โดยเปิดที่ว่าการอำเภอสันกำแพง ให้ชาวสันกำแพง นำใบไม้แห้งมาแลกไข่ได้ทุกวันพฤหัสบดี เศษใบไม้แห้ง 1 กก. แลกไข่ไก่ได้ 1 ฟอง ไก่ สูงสุดแลกได้ถึง 30 กิโลกรัม หรือได้ไข่ไก่คนละ 1 แผง (30 ฟอง) โครงการนี้ดำเนินการทุกสัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จังหวัดเชียงใหม่ประกาศห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง รวมเป็นเวลา 15 สัปดาห์

ตลอด 9 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนนำใบไม้แห้ง 13,000 กก. มาแลกไข่แล้ว 13,000 กก. คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมจะรวบรวมใบไม้ได้ถึง 20,000 กิโลกรัม โดยเทศบาลตำบลต่างๆ มารับใบไม้นำไปผลิตปุ๋ยหมักให้เกษตรกรใช้แทนปุ๋ยเคมี ช่วยลดต้นทุน และบำรุงดินได้เป็นอย่างดี

 

สุนีย์ ศรีอร นำใบไม้ 10 กิโลกรัม มาแลกไข่ไก่ไปรับประทานได้ 10 ฟอง บอกว่า ก่อนหน้านี้เก็บใบไม้กองไว้ที่บ้านและที่สวน บางทีก็ทำเป็นปุ๋ยหมักเล็กๆน้อยๆ แต่พอมีโครงการนี้ก็เข้าร่วมในทันที เพราะเห็นประโยชน์ทั้งเรื่องการจัดการกับเศษใบไม้โดยไม่ต้องเผา และยังได้ไข่ไก่ไปบริโภค

ส่วน อุดม คีรีอร นำใบไม้มาแลก 13 กิโลกรัม ได้ไข่ไก่ 13 ฟอง เสริมว่า นำไข่ไก่ที่ได้ไปทำอาหารทานได้ตลอด ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ดี พอไม่ได้ซื้อไข่ก็ทำให้ครอบครัวประหยัดขึ้น โครงการนี้ช่วยชาวบ้านได้ดีมากๆ

 

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง ครอบครัว หรือในชุมชนของเรา "ตลาดนัดใบไม้แลกไข่" ของชาวสันกำแพง จึงถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นๆ ให้หันมาร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน ไม่ทิ้งใบไม้แห้ง ไม่เผา แต่นำมาสร้างประโยชน์จากเศษวัสดุแทน

 

Page 1 of 11
X

Right Click

No right click