บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลดำเนินการไตรมาส 3/2566 รายได้รวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากผลจากการเติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้บริการและยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ขณะที่การดำเนินการบูรณาการเป็นไปตามแผนที่วางไว้โดยเฉพาะในเรื่องหลักที่นำไปสู่การผสานร่วมกัน สะท้อนถึงความพยายามที่เห็นผลสำเร็จอีกทั้งการรับรู้ด้านประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของ EBTIDA ในไตรมาสที่สามติดต่อกันหลังควบรวมกิจการ

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ผลประกอบการทางการเงินของทรู คอร์ปอเรชั่น ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สามภายหลังจากการควบรวมทรูดีแทคผ่านไป 6 เดือน ซึ่งผลประกอบการดังกล่าวไม่เพียงทำได้ตามเป้าหมายแต่นับว่ามากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนชัดถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของเรา การกลับมาของกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจระดับมหภาค ขณะที่สถานการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมดิจิทัลเทคโนโลยีคงการแข่งขันต่อเนื่อง โดยผู้ให้บริการโอเปอเรเตอร์ยังคงต่างมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทั้งนี้บริษัทยังคงดำเนินการเป็นไปตามแผนการรวมธุรกิจที่วางไว้ โดยเริ่มเห็นผลจากการผสานจุดแข็งของทั้งทรู-ดีแทค ตามที่ได้รายงานผ่านวันพบนักลงทุน (Capital Markets Day) ที่ผ่านมา

ในไตรมาสที่ 3/2566 ผลจากการรวมธุรกิจทำให้เรามีรายได้จากการให้บริการสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ (ค่าใช้จ่ายการลงทุน) CAPEX และ EBITDA สำหรับโครงการดำเนินการรวมโครงสร้างเสาสัญญาณภายใต้โครงข่ายเดียว (Single Grid) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนหลังจากการเริ่มดำเนินการไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน มีการบูรณาการเสาสัญญาณไปแล้วมากกว่า 300 แห่ง และปรับปรุงจุดที่ซ้ำซ้อน 100 แห่ง ทำให้มีส่วนช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีที่ยิ่งขึ้น อีกทั้งได้บริหารค่าเช่าได้ดียิ่งขึ้น โดยโครงการ Single Grid อัจฉริยะที่เพิ่มจำนวนสถานีฐาน ตอกย้ำความตั้งใจของบริษัทที่มุ่งส่งมอบบริการที่ดียิ่งกว่าให้แก่ลูกค้าของเราที่เติบโตขึ้นผ่านการบริหารจัดการจำนวนสถานีฐานและการขยายเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการ Single Grid จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในไตรมาสที่ 4 ตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เรายังคงเดินหน้าตามแผนงานที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท  บริษัทยังสามารถบรรลุรายได้ของการผสานพลังทรูดีแทคด้วยการนำเสนอบริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ FMC เพิ่มขึ้น 8% หลังจากการควบรวม และมีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 10% ทรู คอร์ปอเรชั่นยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินการทางการตลาดร่วมกันตามแผน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน"

 นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ดีแทคและทรูยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจของนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างชาติ โดยเรายังคงนำศักยภาพเทคโนโลยีทั้งการวิเคราะห์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาออกแบบบริการให้ตรงใจเฉพาะแต่ละกลุ่มลูกค้า สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งเราได้เห็นรายได้เฉลี่ยต่อวันของนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นถึง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคะแนนความพึงพอใจลูกค้าสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการรวมธุรกิจ อันเป็นผลจากความพยายามร่วมกันที่จะให้บริการลูกค้ามุ่งเน้นการส่งมอบสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้มีการแลกสิทธิประโยชน์ไปแล้ว 120 ล้านรายการภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษของทั้ง ทรูและดีแทค และ ณ สิ้นสุดของไตรมาสที่ 3/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลรวมประมาณ 15 ล้านราย สะท้อนความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง

สำหรับการดำเนินงานเชิงพาณิชย์นั้น เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 56% ด้วยการใช้แพลตฟอร์มอันหลากหลายเป็นช่องทางในการให้บริการลูกค้าในรูปแบบ Omni Channel ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2566 ทำให้มีจำนวนช้อปที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการทั้งหมดแก่ลูกค้าทั้งดีแทคและทรูเพิ่มขึ้น อันนำไปสู่การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งนำมาซึ่งประสิทธิผลในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น สามารถบูรณาการได้อย่างไร้รอยต่อ รวมทั้งลดการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความครอบคลุมของ 5G 90% และ 4G 99% ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ทำให้ทรูยังคงเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ที่มีสัญญาณครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยไตรมาสที่ 3/ 2566 มีจำนวนผู้ใช้งาน 5G มากที่สุดถึง 9.4 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่าย 5G ของทรูเป็นเครือข่ายที่ได้รับการชื่นชอบมากที่สุดในไทย ซึ่งความตั้งใจที่จะเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องนำมาสู่การใช้งานดาต้าทั้ง 4G และ 5G ของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา พร้อมกับการเพิ่มรายได้ ARPU ของลูกค้า 5G มาโดยตลอด"

ดีแทคและทรูยังคงเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าไว้ใจอย่างต่อเนื่องทั้งประสบการณ์ใช้งานและตอบสนองความคุ้มค่าตรงความต้องการ ในไตรมาสที่สามนี้ มีจำนวนผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 254,000 ราย รวมเป็น 51.4 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา และ จำนวนผู้ใช้งาน 5G สูงถึง 9.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสที่ 2/2566 โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ ARPU 10-15% โดยมาจากปัจจัยหลักคือการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกับบริการร่วมกัน

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับไตรมาสที่ 3/2566 โดยได้แรงหนุนจากรายได้บริการที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง EBITDA ที่เป็นมาตรฐานดีขึ้นเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยได้ประโยชน์จากการผสานรวมกัน และการริเริ่ม

ดำเนินการสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องตามแผนที่วางไว้ ตอกย้ำสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท

รายได้จากการดำเนินงานรวมปรับเพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการบริการและยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) พร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจำนวนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ การเติบโตแบบแข็งแกร่งส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มเป็น 51.4 ล้านเลขหมาย ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ในขณะที่รายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ) ซึ่งได้ผลดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มใช้แรงงานข้ามชาติ ควบคู่ไปกับการปรับข้อเสนออย่างเหมาะสม โดยรายได้จากโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) เพิ่มขึ้น 5.8% (QoQ) โดยได้แรงหนุนหลักจากคอนเสิร์ต สำหรับยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น 18.7% (QoQ) จากการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาส 3/2566

 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) เพิ่มขึ้น 7.7% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นด้านต้นทุนขายควบคู่กับผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 15.1% ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time positive impact) ในไตรมาส 2/2566 ทั้งนี้ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดี จากการริเริ่มด้านประสิทธิภาพของโครงสร้างและประโยชน์จากการผสานรวมกัน ขณะที่การปรับปรุง (Normalized) EBITDA เพิ่มขึ้น 2.0% (QoQ) ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันของการเติบโตนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ การปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA ได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตขึ้น และการรับรู้ผลประโยชน์จากการผสานรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลอัตรากำไร EBITDA รายได้รวมอยู่ที่ 54.1% โดยขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี จำนวน 1,598 ล้านบาท ปรับฟื้นขึ้น 31.1% (QoQ) รวมค่าใช้จ่ายผสานรวมกันในไตรมาส เงินลงทุน หรือ CAPEX ในไตรมาส 3/2566 อยูที่ 3,481 ล้านบาท โดยได้รับประโยชน์จากการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพจากการควบรวมกิจการ  ขณะเดียวกัน ในด้านความยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงครองอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมของโลก 5 ปีซ้อน และคงสถานะสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านความรับผิดชอบครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ทั้งมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) และยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้

ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 3 ปี 2566

 · รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC (การจัดประเภทใหม่) จำนวน 39,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ)

· EBITDA อยู่ที่ 21,443 ล้านบาท ลดลงราว 3.9% (QoQ)

· อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม) อยู่ที่ 54.1%

· ขาดทุนสุทธิ จำนวน 1,598 ล้านบาท

 

 

รายงาน Digital Lives Decoded ของเทเลนอร์ เอเชีย ระบุว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยนั้นมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

ซึ่งแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะฟังดูสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียซึ่งอยู่ที่ 93%

มนตรี สถาพรกุล Head of Data Protection แห่งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)  เผยความเห็นว่า Data Privacy กับ Data Security คือเรื่องเดียวกัน

"ความเป็นส่วนตัวหรือ privacy นั้นหมายถึงการเคารพขอบเขตที่เจ้าของข้อมูลที่แท้จริงเป็นผู้กำหนด ถ้าคุณเล่าอะไรที่เป็นส่วนตัวกับใครก็ตาม บุคคลนั้นไม่ได้รับอนุญาตจากคุณในการนำเรื่องนั้นๆ ไปบอกต่อกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกันกับข้อมูลดิจิทัล คุณในฐานะเจ้าของข้อมูลมีสิทธิในข้อมูลนั้นๆ และบริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน ที่ทรู เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถือเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ของเราในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยี” มนตรีกล่าว

ปัจจุบัน ทรูมีผู้ใช้งานบนเครือข่ายมือถือจำนวนกว่า 51 ล้านคน ไม่นับรวมบริการอื่นๆ อาทิ บริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ คอนเทนต์ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ โซลูชัน IoT ทำให้ทรูถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในมิติด้านข้อมูลของประเทศไทย

“เมื่อลูกค้าทรูเปิดโทรศัพท์มือถือ จะมีการรับและส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ของพวกเขา ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้หมายรวมถึงเพียงคอนเทนต์อย่างข้อความเอสเอ็มเอสหรือวิดีโอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นในการระบุว่าใครคือผู้ส่งข้อมูลดังกล่าว และส่งจากที่ใดด้วย” มนตรีกล่าว

นี่ถือเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม กล่าวคือ ผู้ให้บริการต้องดูแลให้การรับส่งข้อมูลนั้นเป็นไปอย่างปลอดภัย และป้องกันไม่ให้ข้อมูลนั้นถูกเข้าถึงโดยบรรดาแฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องบังคับใช้มาตรการในการควบควมดูแลเพื่อให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามขอบเขตและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

“บิ๊กดาต้านั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการช่วยให้เราออกแบบบริการที่ดียิ่งขึ้น และทำให้บริการเหล่านั้นเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราไม่เคยประนีประนอมเมื่อเป็นเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลของลูกค้า เราเก็บรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มข้น เราจะเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าเฉพาะกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น และเราจะเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่มีความจำเป็นจริงๆ” เขาอธิบาย

 

การขอ Consent จำเป็นแค่ไหน? ตามมาตรฐานด้านข้อมูลส่วนบุคคลของทรู และกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วย พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วน

บุคคล ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมสามารถเลือกให้ความยินยอมในด้านความเป็นส่วนตัวกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ 2 ระดับ ซึ่งการให้ความยินยอมในระดับแรกนั้นมีความจำเป็นเพื่อจุดประสงค์การให้บริการด้านโทรคมนาคม โดยจะจำกัดการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อจุดประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรคมนาคมเท่านั้น

สำหรับการให้ความยินยอมในระดับที่สองถือเป็นทางเลือก โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกให้ความยินยอมในการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อรับข้อเสนอหรือสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันของทรูหรือดีแทคอาจมีการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าเกี่ยวกับโอกาสในการแลกสิทธิประโยชน์บางอย่างได้ฟรี โดยขึ้นอยู่กับระดับสถานะ loyalty program และตำแหน่งที่ตั้ง (location) ของผู้ใช้งาน

“เรามีการพิจารณาในสองแง่มุม คือหนึ่ง เราได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากลูกค้าหรือไม่ และสอง การใช้งานข้อมูลลูกค้านั้นนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับลูกค้าหรือเปล่า เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นเป็นไปตามจุดประสงค์เหล่านี้ เรามีการกำหนดกลไก (control point) และมีการติดตามทุกครั้งที่มีการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า และดูแลให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์” มนตรีกล่าว

ในการจะเข้าถึงคลังข้อมูลของทรูนั้น บุคคลที่เป็นผู้ใช้งานภายใน (internal user) ต้องสามารถชี้แจงได้ว่าคำร้องขอของตนนั้นเป็นไปตามกฎหมายและวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งมาตรการนี้มีการบังคับใช้กับผู้ใช้งานภายในทุกคน รวมทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ (audit and quality assurance) รวมทั้งยังครอบคลุมถึงกรณีคำขอต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐด้วย

“หน่วยงานภาครัฐไม่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยตรง และต้องยื่นคำร้องขอการเข้าถึงข้อมูลในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือผลประโยชน์แห่งชาติ เรามีการประเมินคำร้องขอทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าคำร้องขอนั้นๆ มาจากหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจทางกฎหมาย และคำร้องขอนั้นเป็นไปตามข้อกำหนด เฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจึงจะอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้” มนตรีกล่าว

 

ข้อมูลส่วนบุคคลคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ? มนตรียังเล็งเห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยนั้นมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และคาวมแพร่หลายของเทคโนโลยีอย่าง AI, IoT และบิ๊กดาต้า ก็ยิ่งเร่งให้หลายฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นการยกระดับธรรมาภิบาลของข้อมูล (data governance) ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

“จุดมุ่งหมายของทรูในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยีนั้น ไม่ได้ถึงเพียงการเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมเท่านั้น แต่เราต้องการเป็นผู้นำด้านบริการดิจิทัลอื่นๆ ด้วย หากการจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องเริ่มต้นจากการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าของเราก่อน จึงเป็นสาเหตุที่เรามีเจตนารมณ์แรงกล้าในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้งานของเราต้องได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของตนอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันเราต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลของพวกเขา และเราจะเข้าถึงข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ในการมอบบริการที่ดีที่สุดและนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ เท่านั้น” เขากล่าว

เพื่อให้ก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงในมิติความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ปัจจุบัน มนตรีกำลังประเมินถึงผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น TrueX ซึ่งให้บริการโซลูชันบ้านอัจฉริยะ หรือบริการ telemedicine จากหมอดี ซึ่งล้วนเป็นบริการที่เข้าไปอยู่ในชีวิตส่วนตัวของลูกค้า

“ถึงแม้จะเป็นประเด็นเรื่อง AI หรือ IoT เราก็ยังคงยึดถือหลักการเดียวกันในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เราต้องดูแลให้การใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นในการให้บริการ และสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า หากเรารักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ ผมเชื่อมั่นว่าการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานของเราอย่างแน่นอน” มนตรีทิ้งท้าย

เพราะกำลังใจและความปลอดภัยสำคัญที่สุด ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงจัดเต็มภารกิจสนับสนุนการสื่อสาร เปิดระบบให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทค ที่อิสราเอล โทรและ SMS ฟรีทั้งภายในอิสราเอล และฟรีกลับมายังครอบครัวในประเทศไทย ตลอด 24 ชม. ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคมนี้ เพิ่มเติมจากมาตรการเร่งด่วนขั้นต้นที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่ใช้บริการโรมมิ่งอยู่ในอิสราเอล สามารถโทรติดต่อและขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ และ Call Center ทั้งทรูและดีแทคได้ฟรี มาตั้งแต่  7 ตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งยังพร้อมเป็นสื่อกลางส่งข้อมูลข่าวสารผ่าน SMS Broadcast เพื่อให้ลูกค้าที่อยู่ในอิสราเอลได้รับทราบข้อมูลและความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นสำหรับการตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยในสวัสดิภาพของผู้อยู่ในพื้นที่

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลที่มีมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนไทยที่พำนักอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ตระหนักเป็นอย่างดีว่ากำลังใจและการสื่อสารในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผ่านมาจึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่ใช้บริการโรมมิ่งอยู่ในอิสราเอล สามารถติดต่อสื่อสารและขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ และ Call Center ของทั้งทรูและดีแทคได้ฟรี ตั้งแต่  7 ตุลาคมที่ผ่านมา รวมทั้งล่าสุด ยังได้ยกระดับการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร โดยเปิดให้ลูกค้าทั้งทรูมูฟ เอช และดีแทค โทรออกและรับสายฟรีทั้งในอิสราเอล รวมทั้งติดต่อสื่อสารกลับมายังครอบครัวในประเทศไทย รวมทั้งส่ง SMS ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2566 และหากสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะพิจารณาขยายเวลาอีกครั้ง”

“นอกจากนี้ เราเข้าใจดีว่า ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันท่วงทีจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจและช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสวัสดิภาพของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงได้ประสานสถานทูตไทยในอิสราเอลเพื่อเป็นสื่อกลาง ส่ง SMS Broadcast ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่อยู่ในอิสราเอล สนับสนุนให้การสื่อสารระหว่างภาครัฐและผู้ที่ต้องการอพยพและเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยสามารถติดต่อประสานงานกันได้อย่างราบรื่นและทันการณ์ ซึ่งการอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารทั้งหมดนี้เป็นเสมือนสิ่งแทนความห่วงใยจากทรู คอร์ปอเรชั่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สถานการณ์ทั้งหมดจะคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายจักรกฤษณ์ กล่าวสรุป

คะแนนแทนคูปองรับเงินสด ส่วนลดสูงสุด 50% พร้อมลุ้นโชครางวัลใหญ่ฟรีทุกเดือนที่โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ 

Page 1 of 27
X

Right Click

No right click