

เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรด้านความยั่งยืนอย่าง กรุงเทพมหานคร และศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) เดินหน้าสานต่อแคมเปญ AIA+ Go Green ปีที่ 2 ภายใต้สโลแกน “AIA+ พลัสชีวิตดี ๆ ให้คุณ” ร่วมรณรงค์การทำ ธุรกรรมแบบไร้กระดาษ (Paperless Transactions) โดยเชิญชวนให้ลูกค้าสมัครใช้บริการ E-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ E-Receipt (ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ (เอไอเอ พลัส) โดยทุก ๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะปลูกต้นไม้เพิ่มหนึ่งต้น พร้อมตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ หรือเท่ากับ 10,000 ต้น ทั่วกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะสามารถช่วยลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 400,000 แผ่นต่อปี เทียบเป็นจำนวนต้นไม้ถึง 48 ต้น ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG ของ เอไอเอ เพื่อมุ่งสร้างสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้คนและสังคมไทย
ทั้งนี้ AIA+ เป็นแอปพลิเคชันที่มอบความสะดวกในการตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ การชำระเบี้ยประกันภัย การยื่นเคลม การเข้าถึงบริการสุขภาพและการดูแลชีวิตได้อย่างครบวงจร รวดเร็ว ปลอดภัย ตามสโลแกน AIA+ พลัสชีวิตดี ๆ ให้คุณ
![]()
นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอไอเอ ในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านเทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง ทั้งยังสอดคล้องกับพันธกิจ AIA One Billion ที่มุ่งสนับสนุนการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้คนหนึ่งกว่าพันล้านคนภายในปี 2573 ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’
โดยปีนี้เราได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร และ EEC พันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม ในการปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานคร และสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Rethink Healthy ที่เอไอเอ ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนปรับมุมมองเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเน้นให้เห็นว่า ‘สุขภาพดี’ ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีจิตใจที่ดี ความมั่นคงทางการเงิน และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การเลือกเดินแทนการใช้รถ การลดการใช้พลาสติก หรือการปลูกต้นไม้ที่บ้าน เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในระดับบุคคลและสังคม เราจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกันนิยามความหมายใหม่ของสุขภาพดีในแบบของตนเอง พร้อมร่วมดูแลโลกใบนี้ให้เป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่ยั่งยืน”
![]()
นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย
นายสุธนิศร์ สุริโยทัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “การเดินหน้าสู่ปีที่สองของแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสะท้อนพันธกิจด้าน ESG ของ เอไอเอ ด้านการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ การดูแลผู้คน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมให้ลูกค้าหันมาใช้ E-Document แทนเอกสารกระดาษ จึงไม่เพียงช่วยลดการใช้ทรัพยากร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ เอไอเอ ในการก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ภายใต้การขับเคลื่อน ESG ที่ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ การลงทุน การดำเนินงาน บุคลากร และการกำกับดูแลองค์กรที่เข้มแข็ง”
![]()
นายสุธนิศร์ สุริโยทัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย
ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสะดวกสบายควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมแคมเปญ AIA+ Go Green ได้ภายในแอป ทำให้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นกิจกรรมง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน นอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษแล้ว AIA+ ยังมีระบบความปลอดภัยสูง จึงมั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ลดปัญหาเอกสารสูญหายหรือค้นหาไม่เจอ ยกระดับการเข้าถึงบริการ เอไอเอ ผ่านโทรศัพท์มือถือแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ เอไอเอ ยังเตรียมต่อยอดประสบการณ์จากแอปพลิเคชัน AIA+ สู่โลกจริง ผ่านกิจกรรม AIA+ Go Green Grooving in the Park ในปีหน้า เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสการมีส่วนร่วมด้านความยั่งยืนในมิติใหม่ เชื่อมโยงการใช้งานดิจิทัลเข้ากับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่สนุกและสร้างสรรค์ สอดคล้องกับพันธกิจด้าน ESG ของ เอไอเอ ในการดูแลผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
![]()
ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย
ด้านพันธมิตรหลักอย่าง นายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจที่ได้สานต่อความร่วมมือกับ เอไอเอ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและได้มีบทบาทในการสนับสนุน เอไอเอ ในการผลักดันแคมเปญที่สร้างคุณค่าต่อธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสงเสริมการลดใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น เราเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ทุกคนหันมาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาธรรมชาติอย่างจริงจัง”
![]()
นายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC)
ทั้งนี้ เอไอเอ เตรียมจัดงาน AIA+ Go Green Festival – Grooving in the Park ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2569 ณ สวนเบญจกิติ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และพันธมิตร อาทิ EEC, Layers of emotions, Aura, Absolute Boutique Fitness Studio, FORM Recovery, Yolo, McDonald's, สมิติเวช และอื่น ๆ โดยในงานจะมีกิจกรรมมากมายที่จะมอบประสบการณ์ ความสนุกสนานควบคู่กับการเรียนรู้เรื่องความยั่งยืน ผ่านคอนเสิร์ตจากวงลิปตา กิจกรรมเวิร์กชอป การจัดการขยะ และ การเดินทางที่ลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งนับเป็นงการผนวกความบันเทิงและสร้างการมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นสร้างพื้นที่สีเขียวร่วมกับภาคเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพเมืองและคุณภาพชีวิตของประชาชน สวนเบญจกิติเป็นพื้นที่ต้นแบบที่ผสานวิถีชีวิตคนเมืองเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ภายในสวน นอกจากจะสอดคล้องกับนโยบายของเราในการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้นในกรุงเทพฯ แล้ว ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้และให้คนเมืองเห็นคุณค่าถึงความสำคัญของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น กรุงเทพมหานครขอขอบคุณ เอไอเอ ที่ขับเคลื่อนแคมเปญด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนต่อไป”
![]()
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อร่วมกันรักษ์โลกและสร้างความยั่งยืนไปกับ เอไอเอ โดยการเปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกและปลอดภัย เพียงดาวน์โหลดแอป AIA+ และสมัครรับบริการ E-Document และ E-Receipt ได้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 เพื่อมีสิทธิรับบัตร AIA+ Go Green - Grooving in the Park ในวันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2569
![]()
ลูกค้า เอไอเอ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AIA+ ลงทะเบียนรับ E-Document และ E-Receipt ได้แล้ววันนี้ผ่านสมาร์ต ดีไวซ์บนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
สสว. ประกาศความสำเร็จ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ปีงบประมาณ 2567 เพื่อช่วยยกระดับนวัตกรรมในธุรกิจ พร้อมเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ มีเอสเอ็มอีรับการพัฒนายกระดับศักยภาพการดำเนินธุรกิจผ่านกิจกรรมต่างๆ ระหว่าง เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 2567 กว่า 150 ราย สร้างมูลค่าทางธุรกิจ 126 ล้านบาท

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ได้จัดให้มี กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC (Eastern Economic Corridor) และพื้นที่ต่อเนื่อง ปีงบประมาณ 2567 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี เป็นการส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถ เพื่อยกระดับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เกิดการลงทุนหรือสามารถก่อตั้งธุรกิจได้ พร้อมช่วยเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการที่ยกระดับนวัตกรรมในธุรกิจได้ และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ โดยมีการจัดกิจกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่ ที่เข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่เดือนกันยายน จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 โดยมุ่งเน้นผู้เข้าร่วมโครงการกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนแล้วไม่เกิน 3 ปี มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ข้างต้น ที่มีการดำเนินกิจการ ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมที่ต่อยอดอัตลักษณ์เชิงพื้นที่สร้าง Value creation 2. อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยี/แปรรูปอาหาร และ 3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต่างได้รับประโยชน์หลายมิติ ทั้งความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้ประกอบการใหม่ เพื่อเปิดประตูสู่ธุรกิจและนวัตกรรม ได้รับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเชิงลึกเพิ่มคุณค่าผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศ มีโอกาสนำสินค้าเข้าร่วมในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน จากสถาบันการเงินของภาครัฐ และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างกลุ่มธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ” รักษาการ ผอ.สสว. ระบุ
สำหรับกิจกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการตลอดโครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง เดือนธันวาคม 2567 ประกอบไปด้วย
กิจกรรมที่ 1 : ฝึกอบรมหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ Entrepreneurship เปิดประตูสู่ความ เป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรม (เดือนกันยายน 2567)
กิจกรรมที่ 2 : กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจเชิงลึกโดยรับการพัฒนารายละ 6 ครั้ง (เดือนกันยายน – ตุลาคม 2567)
กิจกรรมที่ 3 : สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดในประเทศและต่างประเทศ
กิจกรรมที่ 3.1 : สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดต่างประเทศ 24 ราย (เดือนพฤศจิกายน 2567)
กิจกรรมที่ 3.2 : สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดในประเทศ 20 ราย (เดือนธันวาคม 2567)
และกิจกรรมที่ 4 : เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน SME D Bank และสถาบันการเงินอื่นๆ 31 ราย (เดือนพฤศจิกายน 2567)

รักษาการ ผอ.สสว. เผยอีกว่า สสว. ได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งบรรลุตัวชี้วัดผลผลิต คือ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ รับสมัคร และคัดเลือกผู้ที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการ หรือเอสเอ็มอีรายใหม่ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รับการพัฒนายกระดับศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลิตภาพ หรือนวัตกรรมใหม่ หรืองานวิจัยต่างๆ รวมทั้งสิ้น 150 ราย ประกอบด้วยผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 27 ราย ชลบุรี 48 ราย ระยอง 42 ราย และจันทบุรี 33 ราย โดยภายหลังจากรับการพัฒนาคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้/การลดต้นทุน/การขยายการลงทุน/การจ้างงาน/มูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ ฯลฯ มากกว่า 28 ล้านบาท นอกจากจะได้รับการยกศักยภาพทางธุรกิจแล้ว โครงการฯ ยังได้ดำเนินการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและพร้อมต่อยอดการลงทุนในธุรกิจจำนวน 31 ราย ซึ่งมีแผนการลงทุนกว่า 64 ล้านบาท

“เรายังสนับสนุนและส่งเสริมด้านตลาดเชิงรุกในต่างประเทศให้ผู้ประกอบการ จำนวน 20 ราย เข้าร่วมการนำเสนอสินค้าในงาน Taiwan Int’l Food Industry ณ ประเทศไต้หวัน เมื่อวันที่ 15-18 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งสามารถสร้างยอดขายและการเจรจาธุรกิจ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท และยังได้ส่งเสริมการเชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยวให้กับผู้ประกอบการจำนวน 4 ราย ผ่านการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวของไต้หวัน โดยสามารถสร้างยอดขายจากการจับคู่ค้าทางธุรกิจได้ กว่า 3 ล้านบาท และกิจกรรมสุดท้ายภายใต้โครงการเป็นการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมด้านตลาดเชิงรุกในประเทศ ในงาน “SME SOFT POWER Marketplace” ณ ลาน Avenue A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 10-12 ธ.ค. 2567 โดยได้คัดเลือกผู้ประกอบการ จำนวน 20 ราย เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายรวมได้กว่า 1 ล้านบาท” นางสาวปณิตา กล่าว ทิ้งท้าย
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หุ่นยนต์หรือ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนมนุษย์มากขึ้น ทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการศึกษาสายอาชีพหรืออาชีวะศึกษา ที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทางของประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้สถาบันอาชีวะต้องมีการปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีและส่งเสริมทักษะความชำนาญให้เกิดขึ้น เหมือนกับที่วิทยาลัยเทคนิคนิคมอุตสาหกรรมระยอง จ.ระยอง ซึ่งทางรายการ 1 ในพระราชดำริ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 Mcot HD และมูลนิธิอานันทมหิดล ได้เดินทางมาเยี่ยมชม และพบว่ามีการปรับตัวในเรื่องการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม จนสามารถสร้างแรงงานเพื่อรองรับความต้องการในเขต EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวีระชัย สมบัติกำไร ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนิคมอุตสาหกรรมระยอง จ.ระยอง ได้กล่าวว่า “เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการตั้งอยู่บนพื้นที่ EEC นโยบายหลักของทางวิทยาลัยฯ คือผู้เรียนจะต้องมีทักษะ Multi Skill หรือความรู้ที่หลากหลาย อาทิ เรียนช่างยนต์ ก็ต้องมีความรู้ในการซ่อมมอเตอร์ไซด์เบื้องต้น, ติดตั้งแอร์เพื่อเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเรียนไปแล้วต้องมีงานทำ นอกจากนี้ทางวิทยาลัยฯ ยังได้มีการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และร้านกาแฟควินิน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นที่มาของโครงการศูนย์บ่มเพาะตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา ซึ่งได้ออกแบบมาให้ทุกสาขาวิชาจะต้องมีตัวอย่างหนึ่งในธุรกิจ ที่ทำแล้วประสบความ สำเร็จเพื่อเป็นตัวอย่างให้นักเรียนได้เห็น เขาจะได้เรียนรู้จากของจริง ซึ่งจะมีการสอนทั้งในเรื่องการออกแบบแผนธุรกิจ, การเช็คสต๊อก, การบริหาร, การจดทะเบียนการค้า, การลงทุน, วิธีการแก้ไขเมื่อขาดทุน, การขอเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ ฯลฯ และยังได้ร่วมมือกับสถานประกอบการต่างๆ กว่า 300 แห่งที่ตั้งอยู่โดยรอบวิทยาลัย โดยล่าสุดคือบริษัท GPSC ซึ่งได้มาร่วมมือในเรื่องระบบชาร์ตรถไฟฟ้า (EV) ที่กำลังได้รับความนิยม ด้วยการให้งบสนับสนุน, ร่วมพัฒนาหลักสูตร, ออกแบบสถานี ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์สถานประกอบการที่กำลังจะผลิตรถไฟฟ้าทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ในอนาคต

ด้านหลักสูตรการเรียนการสอนนั้น ล่าสุดจะมีการเปิด 2 สาขาใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม และตอบโจทย์พื้นที่ EEC คือ 1)สาขาระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ประกอบไปด้วยแผนกช่างยนต์, เทคนิคคอมพิวเตอร์, เมคคาทรอนิกส์, เครื่องกล ฯลฯ เป็นช่างเทคนิคสู่วิศวกรรม ซึ่งได้มีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา เพื่อสามารถถ่ายโอนรายวิชาไปหากันได้ จบแล้วได้ประกาศนียบัตร 2 ใบ 2)สาขายานยนต์ไฟฟ้า หรือยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งจะตอบโจทย์ทั้งในเรื่องวิธีการสร้าง, ซ่อมบำรุง, ดูแลรักษา และการช่วยเหลือประชาชนที่ใช้รถไฟฟ้าในบริเวณโดยรอบ”

ทางด้าน ดร.รัตนา แซ่เล้า ผู้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดล แผนกธรรมศาสตร์ ประจำปี 2549 เปิดเผยว่า “การที่ประเทศไทยจะสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง อาชีวะศึกษาคือเสาหลักในเรื่องดังกล่าว เราพูดกันมานานกว่า 50 ปีแล้วว่าการเรียนสายสามัญจะต้องมี 60% และสายอาชีวะต้องมี 40% ของนักเรียนที่เรียนจบ แต่เราไม่เคยไปถึงเป้าหมายได้เลย ทั้งที่มีการพยายามผลักดันปฏิรูปการศึกษา โดยในปีล่าสุดเรามีนักเรียนอาชีวะเพียงแค่ 30% หรือประมาณ 90,000 คน จากเป้าหมายที่วางไว้ 280,000 คน ซึ่งเป็นเป้าหมายยังห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ประเทศไทยยังคงต้องการนักเรียนอาชีวะเก่งๆ ที่มีฝันและมีประกายในตัวเอง เพื่อสานฝันต่อให้กับประเทศอีกจำนวนมาก ปัจจุบันเราพูดถึงแต่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC แต่ไม่เคยมีใครพูดควบคู่ไปกับการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน จึงอยากจะขอฝากกำลังใจไปให้กับนักวิชาการ และนักการศึกษาทั่วประเทศ ว่าสิ่งที่คุณทำและมีประโยชน์นั้น ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ได้มองเห็น และเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ”
โดยผู้สนใจสามารถชมคลิปการสัมภาษณ์เพิ่มเติม ได้ในรายการ 1 ในพระราชดำริ ความฝันอันสูงสุด อาชีวศึกษา สร้างอาชีพ เพื่ออนาคต ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 Mcot HD ได้ร่วมกับมูลนิธิอานันทมหิดล ได้จัดทำขึ้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป