December 30, 2025

 

กรุงเทพฯ 25 ธันวาคม 2568 - ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความผันผวน ค่าครองชีพสูง การแข่งขันในการทำงานรุนแรงขึ้น และสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว “สุขภาพ” กลายเป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญที่กำหนดคุณภาพชีวิตของประชาชนและประสิทธิภาพเศรษฐกิจของประเทศ ล่าสุด โรงพยาบาลวิมุต เปิดข้อมูลภาพรวมผู้ป่วยปี 2568 พบว่า คนไทยยังคงเข้ารับการรักษาจำนวนมากจากโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งไม่เพียงเป็นปัญหาสาธารณสุข แต่ยังเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

จากข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในปี 2568 โรงพยาบาลวิมุตระบุว่า 5 โรคหรือกลุ่มโรคที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ 1.โรคความดันโลหิตสูง 2.โรคเบาหวาน 3.ภาวะไขมันในเลือดสูง 4.โรคหวัดและโรคทางเดินหายใจ และ 5.กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม โดย 3 อันดับแรกเป็นกลุ่มโรค NCDs ซึ่งสะท้อนปัญหาสุขภาพจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยอย่างชัดเจน ทั้งการบริโภคอาหารที่ไม่สมดุล การออกกำลังกายน้อย และความเครียดสะสม ขณะที่โรคหวัดและภูมิแพ้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสภาพอากาศที่แปรปรวนและปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่วน ออฟฟิศซินโดรม กลายเป็นโรคประจำตัวของคนวัยทำงานในยุคเศรษฐกิจเร่งรีบ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานและขาดการเคลื่อนไหว
 
 
 
 
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “ปัจจัยที่ทำให้โรคทั้ง 5 กลุ่มนี้กลายเป็นโรคยอดฮิตในปี 2568 มาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทย คนเมืองต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทำงานหลายบทบาท มีเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองน้อยลง ขณะเดียวกันพฤติกรรมการกินยังคงพึ่งพาอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มหวานเป็นหลัก ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญของโรค NCDs ส่วนปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตกสลับร้อน และปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูหนาว ส่งผลโดยตรงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ออฟฟิศซินโดรมสะท้อนต้นทุนสุขภาพของแรงงานยุคดิจิทัลที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอวันละหลายชั่วโมง และหากพฤติกรรมเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มในปี 2569 โรคดังกล่าวจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจพบผู้ป่วยในอายุน้อยลง”

“แม้โรคเหล่านี้จะพบได้บ่อย แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน โรคความดัน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง อาจไม่มีอาการในระยะแรก หรือแสดงเพียงอาการเล็กน้อย หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจคัดกรอง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ขณะที่โรคหวัดและภูมิแพ้ หากมีอาการไอ จาม น้ำมูกเรื้อรัง หรือแน่นหน้าอกบ่อยครั้ง อาจสะท้อนผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ส่วนออฟฟิศซินโดรมที่เริ่มจากอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย หากละเลย อาจพัฒนาเป็นอาการปวดเรื้อรัง และส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงาน” นายแพทย์สุวาณิช กล่าวสรุป

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว ปี 2568 ถือเป็นปีที่โรงพยาบาลวิมุตเร่งลงทุนและปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจสุขภาพอย่างจริงจัง ด้วยการเปิด 3 ศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellence Centers) ได้แก่ ศูนย์สุขภาพปอด เพื่อรับมือโรคทางเดินหายใจจาก PM2.5 และภูมิแพ้ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด เพื่อรองรับภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดัน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง และศูนย์กระดูกและข้อ เพื่อดูแลปัญหากล้ามเนื้อ กระดูก และข้อ จากทั้งวัยทำงานและสังคมผู้สูงอายุ การเปิดศูนย์เหล่านี้สะท้อนทิศทางของวิมุตในการยกระดับการรักษาเฉพาะทาง ควบคู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีและทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพ

สำหรับปี 2569 โรงพยาบาลวิมุตยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนด้านบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมสุขภาพของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเตรียมเปิด ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ เพื่อตอบโจทย์โรคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมการกิน ความเครียด และวิถีชีวิตคนเมือง ควบคู่กับการเปิด ศูนย์สมอง ที่ให้ความสำคัญกับโรคระบบประสาทซึ่งพบมากขึ้นตามการเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกัน ยังมีแผนเปิด ศูนย์สุขภาพสตรี ที่ออกแบบการดูแลให้เข้าใจผู้หญิงในทุกช่วงวัย ตั้งแต่การดูแลสุขภาพภายใน การฟื้นฟูสมดุลร่างกาย ไปจนถึงการดูแลด้านความงามและคุณภาพชีวิต ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาที่มีประสบการณ์ ศูนย์เฉพาะทางเหล่านี้สะท้อนทิศทางเชิงกลยุทธ์ของโรงพยาบาลวิมุตในการพัฒนาบริการสุขภาพให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทย โดยมุ่งสร้างคุณค่าในระยะยาวทั้งต่อผู้ใช้บริการ ระบบสุขภาพ และการเติบโตของธุรกิจสุขภาพอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลวิมุตย้ำว่า การตรวจสุขภาพประจำปีไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า แต่คือการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสป้องกันและดูแลโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น พร้อมเดินหน้าพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) เผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมจัดงานฯ ปีนี้ว่า จากทั้งสัญญาณการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 67 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่สูงเกิน 11.29 ล้านคนแล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนสูงถึง 1,920,039 คน ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก 395,830 คน และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายของทั้งปีที่ ททท. กำหนดไว้ที่ 35 ล้านคน นอกจากนั้นยังได้รับการส่งเสริมจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาและการประชุมระดับโลก การเพิ่มเที่ยวบินจากเส้นทางการบินระหว่างประเทศมาไทย รวมถึงการประกาศให้เป็น "Golden Year of Tourism" ในปี 2568 เพื่อเน้นย้ำกระแสการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมจัดอีเวนท์สำคัญระดับโลกและนำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และแฟชั่น ฯลฯ สู่สายตาชาวโลก

ดังนั้น อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จึงได้รวมมือกับพันธมิตรขยายขอบเขตการจัดงาน Food & Hospitality Thailand พร้อมยกระดับการจัดงานเป็น Thai Tourism & Hospitality Week ถือเป็นแรงสนับสนุนของภาพเอกชนที่จะช่วยสร้างความคึกคักและร่วมพัฒนาภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนงานดังกล่าวที่ได้สื่อสารกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การจัดงานฯ ในปีนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยข่าวดีล่าสุดของการจัดงานครั้งนี้ คือ การได้รับความสนใจจาก 2 งานแสดงสินค้าใหญ่ Hotel & Shop Plus และ Hotelex จากประเทศจีนที่จะมาเข้าร่วมในการจัดงานครั้งนี้ด้วย

โดย Hotel & Shop Plus Thailand จะเป็นงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่รวบรวมซัพพลายเออร์ชั้นนำที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบภายนอกและภายใน ระบบโรงแรมอัจฉริยะ การตกแต่งและแสงสว่าง โดยครั้งนี้เป็นปีที่ 2 ของการร่วมจัดงาน ส่วน Hotelex Thailand นั้น เป็นงานที่นำเสนอโซลูชั่นของภาคธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยง อาทิ อุปกรณ์สำหรับงานจัดเลี้ยงและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร โดย Hotelex Thailand นั้น เป็นการร่วมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย

ดังนั้น Thai Tourism & Hospitality Week จึงมีความยิ่งใหญ่และครบวงจรจากการผสานจุดเด่นของทั้ง 3 งาน เป็นการพัฒนาการจัดงานไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายและการสำรวจเทรนด์ใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยการเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานด้านธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของภูมิภาคอีกด้วย

ในส่วนของงาน Food & Hospitality Thailand 2024 มีการจัดแบ่งโซนการจัดแสดงสินค้า 8 โซน ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drinks) คาเฟ่และเบเกอรี่ (Café & Bakery) เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริหาร (Hospitality Style) เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Technology) อุปกรณ์สำหรับธุรกิจอาหาร (Foodservice Equipment) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Sips & Spirits) ร้านค้าปลีก (Shop & Retail) อุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับทำความสะอาด (Cleaning Supplies & Equipment) รวมถึงกิจกรรมการแข่งขัน และสัมมนาสำหรับคนในวงการเพื่ออัปเดทเทรนด์ใหม่ๆ และความรู้ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ข้อมูลรายละเอียดการจัดงานสามารถเข้าชมและติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

X

Right Click

No right click