คว้ารางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อรถและทะเบียนรถ จากวารสารการเงินธนาคาร

สนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจต่อเนื่อง ชูนโยบายบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง

จากแนวโน้มและศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจ แต่ไม่มีเงินทุนและศูนย์บ่มเพาะที่จะช่วยสนับสนุนให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Startup เกิดใหม่น้อยลง และ Startup ใหญ่ๆที่มีคุณภาพก็ลดน้อยลงเช่นกัน งานนี้ "Krungsri Finnovate (กรุงศรี ฟินโนเวต)" โดย "คุณแซม ตันสกุล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ได้จับมือกับ "คุณป้อม - ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" นักธุรกิจและนักลงทุนสตาร์ทอัพแนวหน้าของไทย เปิด "Accelerator program" โรงเรียนสอน Startup เพื่อติดสปีดให้ธุรกิจ ระดับ Seed ถึง Pre-series A เติบโตสู่ Series A ได้อย่างมีคุณภาพ ในชื่อ “Finno Efra Accelerator  (FINE Accelerator)” 

ซึ่งโปรแกรมนี้จะเปิดรับ 10 ทีม โดยมองหาสตาร์ทอัพไทยที่มีรายได้แล้ว และอยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับ Impact และ Digital Transformation พร้อมกับความพิเศษที่ "คุณแซม ตันสกุล" และ "คุณป้อม ภาวุธ" จะรับบทบาทเป็น Director พร้อมกับคว้า "คุณทิวา ยอร์ค" อดีต CEO, Kaidee ที่ Exit ไปเป็นที่เรียบร้อย และ "คุณบอย - สุวัฒน์ ปฐมภควันต์" อดีต Co-founder, Skootar ที่ได้ Exit ไปแล้วเช่นกัน โดยทั้ง 2 ท่านจะมานั่งแท่นเป็นครูใหญ่ เพื่อให้คำแนะนำเหล่า Startup พร้อมกับ Mentor ผู้คร่ำหวอดในการทำธุรกิจ อีก 10 ท่าน ได้แก่ 

  1. คุณอริยะ พนมยงค์ Founder & CEO, Transformational 
  1. คุณโปษะกฤษณะ ถิระพัฒน์ Partner, UTC & Creative Ventures 
  1. คุณณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ Board Director, True Corporation  
  1. คุณธีระชาติ ก่อตระกูล CEO, Stockradars 
  1. คุณแชนนอน กัลยาณมิตร CEO, 5G Catalyst Technologies  
  1. คุณเจษฎา สุขทิศ Co-founder & CEO, Finnomena 
  1. คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-founder & CEO, Techsauce 
  1. คุณกล้า ตั้งสุวรรณ CEO, Wisesight 
  1. คุณอภิชัย สกุลสุรียเดช CEO, Radiant1   
  2. คุณเอเดรียน สจ๊วต CEO, Sokochan  

โดยแต่ละท่านจะเลือก Startup 1 ทีม เข้าทีมตัวเองพร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด และทั้ง 10 ทีมนี้จะได้เข้าร่วม Bootcamp  เข้มข้นเป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งนอกจากการให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดของ Mentor ประจำทีมตัวเองแล้ว ใน Bootcamp ทุกทีมจะได้เข้าร่วม Workshop และ Sharing session จากผู้สอนที่เป็น Top Tech Leader ในประเทศไทย ที่จะมาสอนตั้งแต่เรื่อง Mindset ความเป็นผู้นำ, การทำให้ธุรกิจโตอย่างรวดเร็ว, การพัฒนาโปรดักส์, การตลาด, การระดมทุน และอีกหลากหลายประเด็นที่คนทำธุรกิจควรรู้  ซึ่งทั้ง 10 ทีมต้องเข้าร่วม Session ทุกสัปดาห์ๆ ละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ทางโปรแกรมยังได้รวบรวมโค้ชผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านกว่า 100 คน มาให้ Startup ทั้ง 10 ทีมสามารถลงเวลาเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากประสบการณ์ของผู้ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ ได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงด้วย  

ปิดท้ายด้วยวัน Demo day ที่ทุกทีมจะต้องขึ้น Pitching เพื่อนำเสนอธุรกิจของตนเองให้เข้าตานักลงทุนที่มาร่วมงาน พร้อมชิงรางวัลไป Innovation Trip ที่ต่างประเทศด้วย และนอกจากรางวัลใหญ่ๆ แล้ว ทางโปรแกรมยังสนับสนุนทั้งเรื่องของ Co-working space ให้นั่งทำงานได้ตลอดปี รวมทั้ง Technology perks ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cloud system, HR, Accounting และ Marketing Tool นอกจากนี้เรายังมีในส่วนของ Legal สนับสนุนด้านกฎหมาย และ PR ให้ธุรกิจของทั้ง 10 ทีมเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อช่วยเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ สร้างแบรนด์และเพิ่มโอกาสในการทำงานมากขึ้นตลอดโปรแกรม โดยในส่วนนี้ทุกทีมจะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่เริ่มเข้าโปรแกรม และที่สำคัญเมื่อทุกทีมผ่าน Finno Efra Accelerator  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีโอกาสได้รับเงินทุนสูงสุด 40 ล้านบาท จากกองทุน "Finno Efra Private Equity Trust"  พร้อมทั้ง Fast track เพื่อรับ grant จากทั้ง NIA และ Depa ด้วย หากเข้าเงื่อนไขตามที่กองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศกำหนด 

 "คุณแซม ตันสกุล" เผยว่า "กรุงศรี ฟินโนเวต มีความยินดีที่ได้ร่วมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Startup รุ่นใหม่ ซึ่งเรามีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ธุรกิจ Startup เติบโตประสบความสำเร็จ ด้วยการเร่งผลักดันพัฒนาในหลากหลาย Stage อย่างการเปิด Accelerator program กับ Finno Efra Accelerator ที่จะบ่มเพาะ Startup และช่วยติดสปีดให้ธุรกิจช่วง Seed ถึง Pre-series A โดยหัวใจหลักที่เป็นจุดมุ่งหมายของโปรแกรมคือ การมอบเครื่องมือและถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้แก่ Startup เพื่อให้อยู่รอดเอาชนะอุปสรรคที่ท้าทาย และมีศักยภาพเติบโตได้ย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ซึ่งเชื่อมั่นว่าครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี สู่การเติบโตในระดับภูมิภาคอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป" 

"แน่นอนสำหรับ Startup ตอนนี้เตรียมตัวได้เลย ถ้าท่านทำธุรกิจเกี่ยวกับ Impact และ Digital Transformation ที่อยู่ในระดับ Seed Stage ถึง Pre-Series Aและมี Traction กับรายได้แล้ว สามารถเตรียมพร้อมที่จะสมัครได้เลย ซึ่งถือเป็นเป็นเรื่องดี ที่ Startup ไทยจะได้เติบโต เพราะได้ทั้งความรู้, Connection และโอกาสได้เงินทุน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของตัวเองต่อไป" 

ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโปรแกรมติดสปีดให้ธุรกิจ Startup กับ “Finno Efra Accelerator”  ได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม - 15 กันยายน 2567 ทาง https://www.finnoefraaccelerator.com/  

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ร่วมกับ BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของโลก อัปเดตมุมมองเศรษฐกิจและเทรนด์การลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook 2024: Seizing Opportunities in a Shifting World จัดขึ้นสำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง และ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยสรุปว่าสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงผันผวนต่อเนื่องจากความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามคาดว่า FED จะยังลดอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนธีม AI ยังคงน่าสนใจและมีโอกาสในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รับอานิสงส์การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว พร้อมแนะหุ้นเด่นที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มส่งออก-ค้าปลีก-เฮลธ์แคร์-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ Data Center

ทั้งนี้ ดร.ศรพล ได้แนะนำ 7 ธีมการลงทุนดาวเด่นที่เป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทย ได้แก่ 1. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดย SET Well-Being Index ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 บริษัท จาก 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ การท่องเที่ยวและสันทนาการ การเกษตร ขนส่งและโลจิสติกส์ แฟชั่น การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์  2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค การพาณิชย์ และอาหารเครื่องดื่ม 3. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ซึ่งภาครัฐมีนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้ง Free VISA รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งภาคธุรกิจที่จะได้รับปัจจัยบวก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและวัสดุ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตร และอาหาร 4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก ทั้งนี้ จะเห็นว่าผลตอบแทนของ SET Global Big Cap และ SET Global Mid & Small Cap ค่อนข้าง Outperform ราว 50-60% ส่วน SET Global Large Cap ผลตอบแทน Outperform ตลาด ราว 10% 5. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวมากในลักษณะ K-Shape แต่หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ถือว่าปรับตัวดี 6. ธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ในตลาด SETHD มีมากกว่า 30 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง จ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งหากนักลงทุนเลือกพอร์ตหุ้นที่เหมาะสม พอร์ตการลงทุนก็จะ Outperform ได้ 7. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนถึง 165 บริษัท ที่อยู่ใน Sector ใหม่ๆ อาทิ ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจด้านสุขภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อการบริโภคที่ใช้นวัตกรรม และยานยนต์สมัยใหม่

นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงประเด็นเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน โดยในปีนี้ จำนวนหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Thai ESG จะเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนมีโอกาสและตัวเลือกเพิ่มขึ้น และหากเปรียบเทียบบริษัทจดทะเบียนในเวทีโลกแล้วจะพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยจำนวนมากเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนระดับโลก

จับตาเอฟเฟกต์ Macro Risk พร้อมปรับพอร์ตบาลานซ์ความเสี่ยง

ด้าน Mr. Jonathan Reoch, Managing Director of BlackRock ได้สะท้อนมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกและโอกาสการลงทุนครึ่งหลังของปีนี้ไว้ 3 ด้านดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากภาพรวมเศรษฐกิจโลก (Macro Risk) จะมีมากขึ้น แม้ว่าหลายคนมองว่า FED จะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับเงินเฟ้อที่ลงช้า และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริบทของการลงทุนเปลี่ยนไป 2. ด้วยสภาวะที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง จึงต้องหันมาสร้างสมดุลในพอร์ตให้มากขึ้น เน้นกระจายการลงทุนแบบ Dynamic มีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือความผันผวน และมีลงทุนแบบ Selective ที่เน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม 3. ยังคงให้ความสนใจกับ Mega Trend ต่างๆ อาทิ AI เทคโนโลยี การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับเทรนด์ดังกล่าว

งานสัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของกรุงศรีกรุ๊ป รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพันธมิตรระดับโลก BlackRock มาร่วมเผยมุมมองเศรษฐกิจโลก พร้อมแบ่งปันกลยุทธ์ด้านการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยเริ่มจาก ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มาเล่าถึงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจ และทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสรุปว่า ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูงสามารถรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี  สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา อาจมีปัจจัยในการขับเคลื่อนไม่มาก อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 สืบเนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าสถานการณ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สะท้อนต่อกำไรในอนาคต

ธีมที่ 1 หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในระดับสูง (Higher for Longer) ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่กองทุน Money Market มากเป็นประวัติการณ์ แนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ KFSMART สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือเลือกลงทุนในในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อาทิ BGF US Dollar Reserve Fund A2 USD ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5% เงินฝากประจำ FCD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5.1% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Bullish Sharkfin Note, Twinwin Note และ Offshore Fixed Income

ธีมที่ 2 มองว่า FED มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า และคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว แนะนำการลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund หรือ KF-CSINCOM ที่กระจายการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกและมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ

ธีมที่ 3 ในกลุ่มของ Global Equity มองว่าหุ้นกลุ่ม Defensive น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด หากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำ BlackRock World Technology Fund A2 USD หรือ KFHTECH ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโตสูงและมีโอกาสได้รับการยกระดับเป็น Emerging Markets ดังนั้นกระจายการลงทุนไปในตลาดเวียดนามผ่านกองทุนที่น่าสนใจ อาทิ Principal VNEQ เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี

ธีมที่ 4 ลงทุนในกองทุน Private Equity เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงพอร์ต เนื่องจากมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยแนะนำกองทุน KFGPE-UI บริหารจัดการโดย Schroders ที่มุ่งกระจายการลงทุนในหลายวัฏจักรธุรกิจของบริษัท

ธีมที่ 5 ลงทุนในกองทุน Private Credit อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน KFPCD-UI ที่บริหารจัดการโดย BlackRock

หุ้นเทคฯ-AI ยังได้ไปต่อ

ด้านนายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เผยภาพรวมตลาดหุ้นโลกยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยหากพิจารณาในรายภูมิภาคจะพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2567 นี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าขึ้นจากนโยบายด้านการค้า ยิ่งส่งผลให้ตลาดมีโอกาสและความน่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปยังมีความน่าสนใจจากปัจจัยเรื่องนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและราคาหุ้นยังคงมีราคาถูก ส่วนตลาดญี่ปุ่น สถานการณ์ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะเป็นตัวขับเคลื่อนภาพรวมของหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความกังวลของนักลงทุน ขณะที่ตลาด Emerging Markets ภาพในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องรอจังหวะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาด

นอกจากนี้ นายเกียรติศักดิ์ ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีว่า หุ้น Big Tech 5 ตัวแรก ได้แก่ MSFT, NVDA, AMZN, GOOGL และ META ได้รับการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นกว่า 38% สวนทางกับหุ้นอื่นๆ ที่ถูกปรับลงที่ -5% ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทรนด์ AI ซึ่งมองว่าจะเริ่มมีการขยับไปที่อุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำมากขึ้น เช่น Cybersecurity หรือ Software และได้แนะนำกองทุน KFHTECH ที่บริหารจัดการโดย BlackRock สร้างพอร์ตแบบ Core & Opportunistic Holding คือ ลงทุนกลุ่ม Core 40-50% ขณะที่ลงทุนในกลุ่ม Opportunistic 50-60% ด้วยน้ำหนักที่น้อย แต่จะกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวที่ดีกว่า ผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ และกองทุน KFGTECH ที่บริหารจัดการโดย T. Rowe Price ที่มีสไตล์การลงทุนแบบ Highly Active เปลี่ยนแปลงทุก 6 เดือน ซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในช่วงที่ตลาดขาขึ้น

 

หุ้นไทยมีลุ้นฟื้นตัว เตรียมลงทุนหุ้นเด่น ‘ส่งออก-ค้าปลีก-Data Center-เฮลธ์แคร์’

ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยไว้ว่า แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลง แต่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว ทั้งสัญญาณการบริโภคของภาคครัวเรือนไทยที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัว จากตัวเลขของวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในประเทศไทยอยู่ที่ 35.5-36 ล้านคนในปีนี้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 17.5 ล้านราย จึงเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ด้วยมาตรการขยายระยะเวลา Free VISA จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2024 ของภาครัฐเริ่มมีแนวโน้มเร่งขึ้น ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดการลงทุน โจทย์สำคัญคือ รัฐบาลจะต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง จึงต้องจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงลดลง รัฐบาลมีเสถียรภาพจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,320-1,400 จุด แต่หากปัจจัยการเมืองในประเทศมีความผันผวนคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะลงไปแตะที่ฐาน 1,250-1,320 จุด

ทั้งนี้ แนะนำหุ้นที่ควรมีติดไว้ในพอร์ตสำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้คือ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และกระแสของ 5G ธุรกิจค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ แนะนำหุ้น Top Pick ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ True, MINT, GFPT, TU, KCE, HANA, WHA, CPALL, OSP, MTC

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านช่องทาง YouTube: Krungsri Simple หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KRUNGSRI PRIVATE BANKING หรือ KRUNGSRI EXCLUSIVE โทร 02-296-5566 LINE: @KrungsriExclusive

เอไอเอ ประเทศไทย จับมือกับ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน มุ่งสนับสนุนคนไทยวางแผนอนาคตด้วยแบบประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมปกป้องความมั่งคั่งสำหรับครอบครัว และเตรียมความพร้อมเพื่อการเกษียณ หรือมอบให้เป็นของขวัญเพื่ออนาคตสำหรับลูกหลาน ซึ่งแบบประกัน กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน ได้ถูกออกแบบโดยต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของเอไอเอ ในฐานะผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ผสานกับความเข้าใจถึงความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริงของธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อมุ่งส่งเสริมให้คนไทยเริ่มวางแผนทางการเงิน สำหรับอนาคตที่มั่งคั่งอย่างยั่งยืน

นางสาวกมลวรรณ อิ่มฤทัยเจริญโชค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานผลิตภัณฑ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ลูกค้ารายย่อย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงินที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งความร่วมมือกับเอไอเอในครั้งนี้นอกจากจะเป็นอีกทางเลือกให้แก่ลูกค้าในการเพิ่มโอกาสด้านการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคตแล้ว ยังเติมเต็มช่องว่างระหว่างแผนที่เน้นความคุ้มครองและแผนที่เน้นผลตอบแทนอีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์แบบประกันชีวิตควบการลงทุน กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์สมาร์ท แพลน ออกแบบมาให้ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองได้เอง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินที่วางแผนไว้ โดยสามารถเลือกระยะเวลาในการชำระเบี้ยประกันภัย และเลือกลงทุนผ่านสามกองทุนรวมของกรุงศรี  โดยเสนอขายผ่านสาขาของธนาคารกรุงศรีทั่วประเทศ ที่นอกจากจะให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกออกแบบแผนการประกันและการชำระเบี้ยได้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนทั้งในด้านความคุ้มครองและการลงทุน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกค้าของเราได้มี “ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน” ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้” 

นางสาวศิริวรรณ มังกรกนก ผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการสร้างความมั่งคั่งเพื่อเสริมความมั่นคงให้กับคนไทยทุกคน ซึ่งเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของการวางแผนการเงิน เราจึงได้ร่วมมือกันออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ ยูนิต ลิงค์ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการประกันชีวิตของเอไอเอ ผนวกกับความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มครองชีวิต พร้อมสร้างโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในระยะยาว โดย กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีเป้าหมายหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่ต้องการความคุ้มครอง หรือ กลุ่มที่ต้องการวางแผนเก็บเงินเพื่อการเกษียณสำหรับตัวเอง หรือกลุ่มที่ต้องการส่งต่อความมั่งคั่ง หรือให้เป็นของขวัญสำหรับบุตรหลาน ซึ่งเรามั่นใจว่าแบบประกันตัวนี้จะช่วยสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพชีวิตและสุขภาพการเงินที่ดีขึ้น สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”

สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ ออกแบบแผนประกันให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลและเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะหากต้องการการวางแผนการเงินเฉพาะบุคคลมากขึ้น โดยสามารถออกแบบความคุ้มครอง และเบี้ยประกันภัยเพื่อตอบโจทย์แต่ละเป้าหมายการเงินของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น การออกแบบเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจะเป็นการให้ลูกค้ามีความคุ้มครองในระยะยาว พร้อมกับโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ส่วนแผนเกษียณ จะเป็นการออกแบบเป้าหมายทางการเงินที่ตอบโจทย์สำหรับตัวเองว่ามีเป้าหมายจะใช้เงินเกษียณเท่าไหร่ และควรจะชำระเบี้ยประกันประมาณเท่าไหร่ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการเกษียณของแต่ละบุคคล

โดยประกันชีวิตควบการลงทุน กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน มีรายละเอียด ดังนี้

  • อายุรับประกันภัย ตั้งแต่อายุ 15 วัน ถึง 60 ปี
  • สามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ได้ทั้งแบบ 5 ปี 10 ปี15 ปี หรือ 20 ปี
  • เบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง ขั้นต่ำ 30,000 บาท (รายปี) โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด และสามารถเพิ่มจำนวนเงินลงทุนโดยการชำระเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษได้
  • รับโบนัสเพิ่มเงินออม (Saving Booster Bonus) จำนวน 1 ครั้ง ในอัตราสูงสุด 40% ของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครองปีแรกเมื่อเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
  • เพิ่มโอกาสสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว โดยการลงทุนผ่านสามกองทุนรวมกรุงศรี The One

สนใจ กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน สามารถติดต่อได้ที่ สาขาของธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั่วประเทศ หรือ Krungsri Call Center 1572 และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.krungsri.com


หมายเหตุ:

- ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการนำเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

- ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์

- กรุงศรี ประกันยูนิตลิงค์ สมาร์ท แพลน เป็นชื่อทางการตลาดของแบบประกัน เอไอเอ สมาร์ทแพลน (ยูนิต ลิงค์)

- การทำประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ ไม่ใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยง ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงศึกษา อ่าน และทำความเข้าใจในเอกสารประกอบการเสนอขายและหนังสือชี้ชวนของกองทุน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยและลงทุน

Page 1 of 29
X

Right Click

No right click