December 05, 2025

บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO โดย บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด จับมือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ปั้นสินค้า FMCG ตอบโจทย์ผู้คนทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรม ครอบคลุมวิทยาศาสตร์สุขภาพของคนรวมถึงสัตว์เลี้ยง เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์และวัสดุภัณฑ์ ตลอดจนมิติด้าน ESG ตอกย้ำบทบาท “Segment Creator” ผู้นำด้านนวัตกรรม FMCG เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน พร้อมสร้างคุณค่าให้โลกและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

นางสาวณิชมน ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายนวัตกรรมธุรกิจ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผู้บริโภคปัจจุบันมีความต้องการที่หลากหลาย จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย ตลอดจนปัจจัยทางสังคมและเทคโนโลยี ทั้งด้านความใส่ใจต่อสุขภาพ หรือความต้องการผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล (Personalization) นีโอในฐานะ Segment Creator ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เราจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์และวัสดุภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและพัฒนากระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีการจัดการขยะ (Waste Management) ที่มีประสิทธิภาพ โดยนำวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตรหรืออุตสาหกรรมมาเพิ่มมูลค่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาและนักวิจัยได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในภาคอุตสาหกรรม

ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของนีโอ ซึ่งตอกย้ำกลยุทธ์ ‘Innovation-led Premiumization’ ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อขยายเซกเมนต์ใหม่ ๆ โดยเชื่อมโยงงานวิจัยสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่น้อยกว่า 100 SKUs ในแต่ละปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ สู่เป้าหมายในการเป็น FMCG ที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวันให้กับผู้บริโภค (Uplift the Essentials for Everyday Betterment) ควบคู่กับแนวทางดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลัก ESG เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวณิชมน กล่าวเพิ่มเติม

 

ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ นีโอในครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ มหาวิทยาลัยได้ส่งเสริมและผลักดันงานวิจัยที่มีประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และสังคม เป้าหมายคือการเป็น 1 ใน 5 มหาวิทยาลัยไทยที่มีคุณภาพงานวิจัยโดดเด่นและเข้าสู่กลุ่มอันดับ 1001-1200 ของโลกในปี 2570 ความร่วมมือนี้ไม่เพียงขับเคลื่อนเป้าหมายมหาวิทยาลัย แต่ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคณาจารย์ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อเสริมทักษะการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้สู่ระดับสากล ทั้งนี้จากที่นีโอได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับนักวิจัยของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ทางมหาวิทยาลัยจึงได้มอบรางวัล " Excellence in Sustainable Research Collaboration Award" (รางวัลความเป็นเลิศด้านความร่วมมือในการวิจัยอย่างยั่งยืน) ให้แก่นีโอซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ทาง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มอบรางวัลนี้ให้”

 

บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขาย 10,062 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรส่วนของบริษัทได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,008 ล้านบาท เติบโต 21.4% YoY นับเป็นการทำอัตรากำไรระดับเลขสองหลักครั้งแรกที่ 10.0% ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากกลยุทธ์ “Segment Creator” และ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่เติบโตตามคาด บอร์ดเสนอจ่ายปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 30 เมษายน 2568 

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญของนีโอ คอร์ปอเรท นอกจากการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ บริษัทยังสามารถสร้างยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% YoY แซงหน้าอัตราการเติบโตของ GDP ไทย และสามารถทำกำไรส่วนของบริษัท 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% จากปีก่อนหน้า ด้วยผลกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์และสร้างอัตรากำไรสองหลักได้เป็นครั้งแรก นับเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมของเรา โดยในปี 2568 เรามุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการรุกตลาดกลุ่มใหม่ ๆ ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์และทุกช่วงวัยมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ “Segment Creator” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและทุกมิติ"

ผลประกอบการกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลเติบโตโดดเด่น พร้อมรุกตลาดใหม่ Silver Age และ Pet Parent

ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจหลักทั้งสามกลุ่มของ NEO ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ทั้ง 8 แบรนด์ ล้วนมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น บรรลุเป้าหมายสัดส่วนยอดขายที่ 5% โดยมีสินค้าที่สำคัญ อาทิ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ไฟน์ไลน์ สูตรเข้มข้นพิเศษ พรีเมี่ยมซอฟท์ และผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ บีไนซ์ เพอร์ฟูม ชาวเวอร์ เจล เป็นตัวชูโรงในปีที่ผ่านมา และเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในกลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิก ได้แก่ กลุ่ม Silver Age นวัตกรรมการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของผู้สูงวัย ภายใต้แบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ รองรับการเติบโตสังคมสูงวัย และกลุ่ม Pet Parent ที่เป็นผลิตภัณฑ์แบบ Pet Friendly สำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงในที่อยู่อาศัย ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมแผนงานและสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มตลาดเหล่านี้อย่างจริงจังในปี 2568

ช่องทางจัดจำหน่ายโตแกร่งทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เกาะเทรนด์ผู้บริโภค รุกตลาดด้วยนวัตกรรม

ในปีที่ผ่านมา ช่องทางจัดจำหน่ายของ NEO มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถขยายร้านค้าช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมได้มากกว่า 30% จากเป้า 20% ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 28,000 ร้านค้า ขณะที่ช่องทางออนไลน์เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนหน้า พร้อมผลักดันกิจกรรมส่งเสริมการตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นมากขึ้นทั้งในช่องทางในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ไม่น้อยกว่า 100 SKUs โดยเน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย

สร้างสรรค์อนาคตยั่งยืนด้วยหลักการ ESG

NEO มุ่งมั่นดำเนินงานตามแนวทาง ESG Corporate Goal เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กำหนดไว้ โดยในปี 2567ที่ผ่านมา สามารถบรรลุผลลัพธ์สำคัญในหลายด้าน เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึง 22% พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 36% ใช้พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วถึง 30% ตลอดจนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน โดยมีการติดตาม ประเมิน และตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ในปี 2567 อัตราการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดงานอยู่ในระดับ 0%

“NEO ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายต่อปีแบบทบต้นเฉลี่ย 5 ปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2566-2571 ด้วยตัวเลขสองหลัก หรือ 10-15% โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการมุ่งขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และตลาด ที่มีศักยภาพ หรือ “Segment Creator” ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย และสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค เราเชื่อว่าตลาด FMCG ในประเทศไทยปี 2568 ยังมีศักยภาพแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง เพราะเราไม่ได้เพียงแค่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่เรามั่นใจว่าด้วยการปรับตัวที่รวดเร็ว การตัดสินใจที่คล่องตัว และ Market Insight ที่แข็งแกร่ง NEO จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง” นายสุทธิเดช กล่าวสรุป

ในวันเดียวกันนี้ บริษัทแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นบริษัทในอัตรา 1.35 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XM ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 ตามด้วยเครื่องหมาย XD ในวันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568

ตอกย้ำบทบาท “Segment Creator” ผู้บุกเบิกนวัตกรรมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

พร้อมขึ้นทะเบียนขายคาร์บอนเครดิต ผลักดันเศรษฐกิจปลอดคาร์บอน ยกระดับมาตรฐานธุรกิจไทยด้านสิ่งแวดล้อม

X

Right Click

No right click