หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาคไปเมื่อเร็วๆนี้ OnePlus เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ กับ “OnePlus 11 5G”
ดีไซน์พรีเมียมสุดเรียบหรู ที่มากับสโลแกน “The Shape of Power” เร็ว แรง ทรงพลัง ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมเทคโนโลยี ray-tracing แรมสูงสุด 16GB พิเศษด้วยนวัตกรรมใหม่ RAM-Vita เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ OxygenOS 13 มอบประสบการณ์สุดลื่นไหลกว่าเดิม ถ่ายภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องที่พัฒนากับ Hasselblad ยกระดับสีสมจริง ภาพสวยละมุนเหมือนถ่ายจากกล้องโปร ทรงพลังด้วยการชาร์จไวระดับไฮเอนด์ 100W SUPERVOOC เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ ราคา 29,990 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Bus Pro 2 โดยผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมด เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้ววันนี้ และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้ เป็นต้นไป
ด้านความสุดยอด ประสบการณ์ความลื่นไหลไม่มีสะดุด รวดเร็ว และยาวนาน นายนที พิทักษ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส วันพลัส ประเทศไทย กล่าวถึงเรือธงล่าสุด “OnePlus 11 5G” ว่าสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ทำงานที่รวดเร็ว และราบรื่นผ่านประสิทธิภาพอันทรงพลังของแพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon® 8 Gen 2 ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในซีพียู 35% และจีพียู 25% ทั้งยังรองรับการเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์แบบเรียลไทม์ หรือ Ray Tracing รวมถึงมีการสร้างวอลเปเปอร์แบบไดนามิคสามมิติ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับเอฟเฟกต์เงา การสะท้อน การหักเหแสงที่สดใสและสมจริง ผ่านขั้นตอนการเลื่อน ปัด หรือคลิกบนโทรศัพท์ ได้อย่างครบครันบน OnePlus 11 5Gนอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาคู่กับแรม LPDDR5X 16GB และเทคโนโลยี RAM-Vita ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ถึง 44 แอปพลิเคชัน พร้อมมีระบบ 100W SUPERVOOC ให้การชาร์จอันรวดเร็ว ควบคู่กับแบตเตอรี่เซลล์คู่ขนาด 5000 mAh ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 1% ถึง 100% ในเวลาเพียง 25 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความอุ่นใจได้อย่างยาวนาน
OnePlus 11 5G สามารถให้ความเร็วที่ยาวนานและประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น จากการรับรองมาตรฐานโดย TÜV SÜD ในระดับ Fluency Rating A ใช้งานมือถือได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องแม้ผ่านไป 48 เดือน มีการรับรอง TÜV SÜD ด้านความแม่นยำและการสัมผัสในระดับ Precise Touching Rating S มีการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบอย่าง SGS ด้านการใช้งานที่ลื่นไหลระดับ Perceived Fluency A+ รวมถึงการรับรองจาก TÜV Rheinland ด้านการใช้และชาร์จอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ตัวแรกที่รองรับการอัปเดทระบบปฏิบัติการ OxygenOS ได้ถึง 4 เวอร์ชัน พร้อมการอัปเดทระบบความปลอดภัยครอบคลุมถึง 5 ปี
ทั้งนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชิพเซต Snapdragon® 8 Gen 2 เครื่องแรกที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องหมาย Snapdragon Spaces™ Ready โดยถือเป็นประตูให้นักพัฒนาสามารถนำไอเดีย XR มาสานฝันให้เป็นจริงและสร้างการค้นพบใหม่ ๆ ได้พร้อมกันผ่านแว่นตา headworn AR ซึ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น ฟังก์ชันการถ่ายภาพที่แสนง่ายดาย และการออกแบบที่หรูหราทันสมัย ทำให้ OnePlus 11 5G กลายเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดที่ครบเครื่องรอบด้าน จอแสดงภาพและเสียงสุดล้ำ
OnePlus 11 5G ชวนให้ผู้ใช้มาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาผ่านจอแสดงผล Super Fluid AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 2K 120Hz พร้อม LTPO 3.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้การประหยัดพลังงานและปรับอัตรารีเฟรชตามการใช้งานเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ถึงความสม่ำเสมอและความชัดเจนโดยไม่คำนึงปริมาณเนื้อหา อีกทั้งการแสดงผลของ OnePlus 11 5G ยังช่วยถนอมสายตาจากการรับรองโดย SGS Low Blue Light EX
OnePlus 11 5G เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรก ที่ได้รับการปรับแต่งจาก Dolby Vision เพื่อขยายทุกประสบการณ์การใช้งานมือถืออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยภาพที่น่าทึ่งสามารถมอบความบันเทิงและปลุกเร้าการเดินทางผู้ใช้ได้อย่างมีชีวิตชีวา รวมทั้งยังมีการติดตั้งลำโพงคู่ ‘Reality’ ที่รับรอง Dolby Atomos ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์เสียงที่เหนือคำบรรยายในลำโพงและหูฟังบลูทูธนอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจาก Dolby Head Tracking บน OnePlus 11 5G จะทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับความสมจริงในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และยังเพิ่มประสบการณ์ที่อิสระมากขึ้น เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังไร้สายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับฟังเสียงรอบทิศทางที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหันศีรษะไปในทิศทางไหน อีกทั้ง Dolby Atmos ยังมีการปรับเทียบเสียงในเลเวลใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ ให้ได้อยู่กับช่วงเวลาที่ดื่มด่ำอย่างไม่มีสะดุด
นายยงยุทธ คะสาวงศ์ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, เจ้าของเพจและยูทูปชาแนล Hasselblad the Expert กล่าวถึงกล้อง Hasselblad เจเนอเรชั่นที่ 3 ใน OnePlus 11 5G ไว้ว่า ประสิทธิภาพกล้องอันเยี่ยมยอด ระบบกล้องสามตัวของ OnePlus 11 5G ช่วยบันทึกแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำและสร้างภาพถ่ายที่เป็นธรรมชาติ และยังทำงานร่วมไปกับเซ็นเซอร์หลัก IMX890 50MP, เลนส์ถ่ายภาพบุคคล IMX709 32MP และกล้องอัลตร้าไวด์ IMX581 48MP เพื่อการตอบสนองความต้องการของช่างภาพทุกคน สำหรับโทรศัพท์มือถือ บน OnePlus 11 5G คือเครื่องหมายของการปรับเทียบสีธรรมชาติแบบใหม่ ซึ่งการรองรับด้วยเซ็นเซอร์มัลติสเปกตรัม 13 ช่องสัญญาณสำหรับระบุสีของแสงและโหมดถ่ายภาพบุคคล ได้ช่วยให้เกิดคุณสมบัติที่ครอบคลุมแบบเดียวกับกล้อง DSLR ทั้งการติดตามเชิงลึก, จุดแสงที่สมจริงและเป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์แสงแฟลร์ นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาพร้อมอัลกอริทึมใหม่ล่าสุด อย่าง TurboRAW HDR ที่ทำให้ช่วงไดนามิคที่กว้าง สามารถจับภาพฉากต่าง ๆ ได้ด้วยความคมชัดระดับ HDR ที่ไร้ที่ติ
การออกแบบที่สง่างามทันสมัย
OnePlus 11 5G ได้ผสานความโฉบเฉี่ยว สง่างาม และทันสมัยไว้ด้วยกัน ทั้งยังลงตัวอย่างการสร้างความสมดุลระหว่างงานออกแบบที่เป้าหมายแน่ชัดกับการดึงเสน่ห์เอกลักษณ์แบบเฉพาะตัว
ผู้ใช้สามารถเลือกระหว่างสีดำ Titan Black ที่ใช้กระจกฝ้าแบบด้านเพื่อสร้างความรู้สึกนุ่มนวลแต่ทนทานจนยากจะต้านทาน หรือสีเขียว Eternal Green ที่ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของป่าฝนยามเย็น นำความมีชีวิตชีวามาให้รูปลักษณ์ภาพนอกที่เรียบลื่นน่าหลงใหล ขณะที่การเคลือบชั้นภายในยังทำงานสอดประสานเพื่อลดคราบรอยนิ้วมือได้ดีเมื่อโดนสัมผัสเพื่อการปรับปรุงสรียศาสตร์ของโทรศัพท์ วิศวกรของ OnePlus จึงมุ่งเน้นไปที่ความโค้งมนโดยรวมเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดอยู่ในระนาบที่ใกล้เคียงกัน พร้อมมีการปรับปรุงความรู้สึกขณะถือ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทก ใด ๆ หรือร่องรอยการสัมผัสที่ไม่จำเป็น
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Buds Pro 2 ออกแบบโดยความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม ทำให้ One Plus Buds Pro 2 ยกระดับคุณภาพเสียงให้สูงขึ้นไปอีกขั้นด้วยเสียงที่ราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย และการออกแบบระดับพรีเมียม
Spatial Audio สำหรับผู้ใช้ AndroidOnePlus Buds Pro 2 สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ เป็นหูฟังเอียร์บัดตัวแรกที่ให้ความเสถียรของเสียงรอบทิศทางและความเข้ากันได้สำหรับผู้ใช้ Android เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางจำลองประสบการณ์เสียงรอบทิศทางของโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้ใช้ดื่มด่ำกับความบันเทิงอย่างเต็มที่
OnePlus Buds Pro 2 ถือเป็นหนึ่งในหูฟัง True Wireless Stereo ตัวแรกที่ใช้ฟังก์ชั่น Spatial Audio อันเป็นเอกลักษณ์ของ Google ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ Android 13 ปลดล็อกประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสำหรับหลากหลายแพลตพอร์มรวมถึงบน YouTube และ Disney+
ความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ
OnePlus Buds Pro 2 ยังมีอีควอไลเซอร์ EQ ที่ปรับแต่งโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของส่วนประกอบความถี่ให้เหมาะกับรสนิยมและสไตล์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hans ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Soundscape” นี้เชิญชวนให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับเสียงออเคสตร้าเต็มรูปแบบของซิมโฟนีคลาสสิกหรือเสียงกระหึ่มหลายมิติของภาพยนตร์แอ็คชั่น
OnePlus ยังได้ร่วมมือกับ Dynaudio ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเดนมาร์กเพื่อร่วมสร้าง MelodyBoost™ Dual Drivers เทคโนโลยีไดรเวอร์คู่ 11 มม. + 6 มม. ให้ความถี่ต่ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเสียงเบสไดนามิกที่ลึกขึ้น เต็มอิ่มขึ้น และมีเนื้อสัมผัสมากขึ้น รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะ เอียร์บัดยังมี EQ เริ่มต้นของ Dynaudio หนึ่งตัวและ EQ แบบกำหนดเองสามตัว ได้แก่ Bold, Serenade และ Bass ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงทุกเพลงด้วยเสียงอันน่าทึ่ง
OnePlus Buds Pro 2 มีฟังก์ชัน Smart Adaptive Noise Cancellation (ANC) ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองจาก TUV ซึ่งช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุดถึง 48dB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น OnePlus Buds Pro 2 มีโหมด transparency ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมในการสนทนาที่ชัดเจนกับผู้คนรอบข้าง แม้จะใส่เอียร์บัดอยู่ก็ตามออกแบบมาเพื่อการฟังที่ไร้กังวล OnePlus Buds Pro 2 สามารถเล่นเพลงได้นานถึง 39 ชั่วโมง โดยสามารถชาร์จแบตเพิ่มเติมหลายครั้งด้วยเคส เพื่อรักษาประสบการณ์การสตรีมที่รวดเร็วและราบรื่นตลอดการใช้งาน
นอกจากนี้ OnePlus ยังได้ดึง “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาค สำหรับ แจ๊คสัน หวัง ศิลปินระดับโลกเจ้าของรางวัลมากมาย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “MAGIC MAN” ด้วยพลังในการทำงานและความสำเร็จในหลากหลายบทบาทจนไม่อาจละสายตาได้ ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ “OnePlus - Never Settle” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราพัฒนาตัวเอง “ไม่เคยหยุดนิ่ง” มุ่งแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้ของเราอยู่เสมอ
สำหรับ ผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมดทั้ง OnePlus 11 5G และ OnePlus Bus Pro 2 เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้วตั้งแต่วันนี้
ราคาและการวางจำหน่าย
OnePlus 11 5G
วางจำหน่าย ราคา 29,990.-
8GB + 128GB สีดำ Titan Black
วางจำหน่าย ราคา 32,990.-
16GB + 256GB สีเขียว Eternal Green
OnePlus Buds Pro 2
วางจำหน่าย ราคา 6,490.-
สีเขียว Arbor Green | สีดำ Obsidian Black
ช่องทางการจัดจำหน่าย OnePlus Experience Zone, AIS, Shopee, Lazada และ OPPO Brand shop รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ : https://www.oneplus.com/th
โปรโมชันสุดพิเศษ
● เมื่อซื้อ OnePlus 11 5G ผ่านช่องทางใดก็ได้ รับทันที OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่า 790.- พร้อมบัตรประกันจอแตก E-VIP card
● และรับเพิ่ม OnePlus Buds Pro 2 มูลค่า 6,490.- เมื่อไปร่วมงาน Thailand mobile expo 2023 จำนวน 200 ท่านแรก
และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษมากมายในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์5 บูธ L20,L21 วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้
OnePlus 11 5G เริ่มต้นเพียง 26,990 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด พร้อมรับของสมนาคุณ ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 10,000 บาท และ OnePlus sandstone bumper case black มูลค่า 790 บาท และของแถมพิเศษเพิ่ม OnePlus gaming tricker 1 คู่ มูลค่า 599 บาท สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อรุ่น OnePlus 11 5G พร้อมแพ็กเกจรายเดือนที่เปิดเบอร์ใหม่และย้ายค่ายเบอร์เดิมผ่านช่องทาง AIS Online Store รวมของแถมมูลค่า 11,389 บาท
ผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 36 เดือน
เก่าแลกใหม่ พิเศษ 2 ต่อ สำหรับลูกค้า AIS นำเครื่องเก่าแลกซื้อ OnePlus 11 5G รับส่วนลดเพิ่ม
• ต่อที่ 1 : มูลค่าเครื่องเก่าใช้เป็นส่วนลด
• ต่อที่ 2 : รับส่วนลดเพิ่มอีก
OPPO, Orange, Deutsche Telekom และ Saint-Gobain ร่วมจัดงานประชุม CSRtech Innovation Summit ครั้งที่ 4 ที่เซี่ยงไฮ้ ภายใต้ UN (United Nations) 2030 Agenda for Sustainable Development โดยงานประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสอดรับกับพันธกิจของแบรนด์อย่าง “Technology for mankind, kindness for the world” โดย OPPO ได้กล่าวถึงความเข้าใจ รวมถึงประสบการณ์ในการเสริมสร้างความยั่งยืน ทั้งด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการดำเนินงาน พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบการร่วมคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
งานประชุม CSRtech Innovation Summit ในปีนี้ จัดขึ้นเพื่อมุ่งค้นหาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม ด้วย 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การปกป้องโลก การขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืน และการให้คุณค่าต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ โดย งานประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมระหว่างสตาร์ทอัพกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมและนักลงทุน ซึ่ง
สตาร์ทอัพสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น โดยภายในงาน OPPO ได้กล่าวถึงประสบการณ์การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดขยะพลาสติก และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบา รวมถึง trade-in service ที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดของเสียอีกด้วย
โดยก่อนการจัดงานประชุม OPPO ได้จัดงานเวิร์กชอป CSRtech innovation and entrepreneurship ขึ้น 3 แห่ง คือ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น โดยงานเวิร์กชอปที่เซินเจิ้น OPPO ได้เชิญ Youth Programme Officer จาก United Nations Development Programme (UNDP) China มาร่วมกล่าวถึงนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ รวมถึงบริษัท Voibook Technology สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มุ่งออกแบบดีไซน์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยินและการพูด มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกันกับ OPPO ในโครงการ City Voice Messenger
งานประชุมในครั้งนี้ ได้รับกระแสตอบรับเข้าร่วมสมัครอย่างท่วมท้นจากบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลก ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพที่โดดเด่นเพียง 12 รายเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเสนอไอเดีย และด้วยไอเดียที่โดดเด่นของบริษัท Viobook Technology และ SATOR Tech ทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับรางวัล Outstanding Start-up โดยไอเดียจาก Viobook Technology คือการเป็นองค์กรเพื่อสังคมที่มีความเป็นนวัตกรรม มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาการสื่อสารให้แก่ผู้บกพร่องทางการได้ยินและการพูด ส่วน SATOR TECH มุ่งมอบโซลูชันแบบครบวงจรให้แก่บริษัทในเครืออุตสาหกรรมพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นเองและเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติ
(Voibook Technology ได้รับรางวัล Outstanding Start-ups จากการมุ่งใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาการสื่อสารในกลุ่มผู้บกพร่องทางการได้ยินและการพูด)
ส่งเสริมความยั่งยืนผ่านพันธมิตรในอุตสาหกรรม
OPPO ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น Orange และ Deutsche Telekom เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในเดือนพฤษภาคม 2564 OPPO ถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่เข้าร่วม Eco Rating Initiative ที่จัดตั้งโดยผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำในยุโรป มาช่วยประเมินประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมของโทรศัพท์มือถือ โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ด้านวงจรการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Life cycle) และตัวชี้วัดของเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบัน OPPO ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ยั่งยืนที่สุด จากการเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความทนทาน รีไซเคิลได้ ซ่อมแซมได้ ทนต่อสภาพอากาศ และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
“ในฐานะกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OPPO ไม่เพียงแค่มีหน้าที่ส่งมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายและปัญหาในระดับโลกด้วย”
Scott Zhang, OPPO Vice President of Oversea Sales กล่าว “OPPO กำลังเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมสอดรับกับพันธกิจของแบรนด์อย่าง ‘Technology for mankind, kindness for the world' ทั้งในด้านการผลิต การดำเนินงาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์”
( Scott Zhang, OPPO Vice President of Oversea Sales กล่าวเปิดงาน พร้อมเล่าถึงการดำเนินงานของ OPPO ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม)
พันธกิจของ OPPO ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม
OPPO รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการดำเนินงานมากมาย อาทิ การปกป้องสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชน ความครอบคลุมด้านดิจิทัล และการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Virtuous Innovation ที่เป็นหัวใจหลักในการดำเนินงานทุกๆ ด้าน
OPPO ได้ผสานการพัฒนาอันยั่งยืนเข้ากับวงจรการออกแบบและการผลิตสินค้า อีกทั้งยังได้เพิ่มระบบแบบอัตโนมัติและพัฒนาระบบการประหยัดพลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ และการสร้าง trade-in service เพื่อรีไซเคิลและนำโทรศัพท์มือถือเก่ามาใช้ใหม่
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งาน ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในระยะยาวของ OPPO จึงเกิดเป็นความร่วมมือกันระหว่าง OPPO Health Lab และสถาบันทางการแพทย์มืออาชีพ รวมถึงวิทยาลัยการกีฬา เพื่อร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมด้านสุขภาพ นอกจากนี้ OPPO ยังเชื่อว่า เทคโนโลยีควรมอบประโยชน์ให้แก่ทุกๆ คนได้ จึงมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นและออกแบบให้ผู้สูงอายุใช้งานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยในสมาร์ทโฟนรุ่น OPPO Find X3 5G ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง Color Vision Enhancement เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นสีในกลุ่ม Color Vision Deficiency (CVD) ให้สามารถมองเห็นเฉดสีที่ถูกต้องและคอนทราสต์ของสีที่ลึกมากขึ้นเพื่อใช้ในการแยกสีต่างๆ นอกจากนี้ OPPO ยังทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เดินหน้าร่วมส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การร่วมมือกันระหว่าง OPPO และ United Nations Development Programme (UNDP) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ เสริมศักยภาพในด้านการจัดการความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
โดยในอนาคต OPPO จะยังคงร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี พร้อมสร้างอนาคตที่เปิดกว้าง มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และมีความยั่งยืนสำหรับทุกคน
5 ตุลาคม 2564 เซินเจิ้น – OPPO แบรนด์เทคโนโลยีระดับโลก ประกาศการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Riot Games ในการสนับสนุนการแข่งขัน League of Legends World Championship 2021 (S11) โดยความร่วมมือนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระยะยาวร่วมกันกับ Riot Games ตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Brand Awareness ให้กับ OPPO ในกลุ่มผู้เล่นอีสปอร์ตทั่วโลก
OPPO สนับสนุนการแข่งขัน LOL World Championship ปี 2021
โดยในปีนี้ OPPO จะมอบรางวัลด้านผู้เล่นที่ทรงคุณค่าที่สุด (The most valuable players awards) ให้แก่ Pro players ที่สามารถครองสมรภูมิ พร้อมต่อสู้ได้อย่างเหนือชั้นในรอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ OPPO จะยังนำไฮไลท์ของเกม พร้อมบทสัมภาษณ์ของ Pro players และทีมที่แข่งขัน ให้ผู้ชมได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Pro players และการแข่งขันของเกมรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย
“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปีนี้เราได้สานต่อความเป็นพาร์ทเนอร์กันกับ Riot Games ซึ่ง League of Legends จะช่วยให้เหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกรู้จักแบรนด์ OPPO ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญกว่านั้น คือ ความตั้งใจที่แน่วแน่และไม่ยอมแพ้ของ Pro players ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับ OPPO ในการมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเรามุ่งมั่นมอบสิ่งที่ยอดเยี่ยมและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้ใช้ของเรา” William Liu, Vice President และ President of Global Marketing ของ OPPO กล่าว
“จากความสำเร็จของการเป็นพาร์ทเนอร์ในปีที่ผ่านมา เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ OPPO เป็นผู้สนับสนุนในการเข้าแข่งขัน League of Legends World Championship 2021 โดย OPPO ถือเป็นพาร์ทเนอร์ด้านสมาร์ทโฟนระดับโลกรายแรก และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์เทคโนโลยีที่น่าประทับใจที่สุดในกลุ่มผู้เล่นอีสปอร์ตระดับโลกซึ่งเราก็ตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นสิ่งที่ OPPO เตรียมมอบให้แก่ผู้ชมในรอบชิงชนะเลิศ” John Needham, Global Head of Esports ของ Riot Games กล่าว
รอบชิงชนะเลิศในปีนี้ใช้ธีม "Make/Break" แสดงถึงความกล้าหาญและจิตวิญญาณในการทลายสิ่งเป็นไปไม่ได้ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ เช่นเดียวกันกับความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ OPPO Find X Series ที่ทำให้ OPPO Find X3 Pro 5G ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนสามารถถ่ายภาพและจัดเก็บโลกรอบตัวด้วยสีสันถึง 1 พันล้านสี (10-bit color) เท่านั้น แต่ยังมีหน้าจอที่มีสีสันถึง 1 พันล้านสีอีกด้วย นอกจากนี้ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมาพร้อมกับ Color Vision Enhancement ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์หนึ่งใน ColorOS 11.2 ที่ช่วยปรับเทียบหน้าจอและแก้ไขสีให้เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาด้านการมองเห็นสี ซึ่งประสิทธิภาพด้านสีสันและดีไซน์ที่ทันสมัยของ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นถือเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ OPPO ได้ทลายขีดจำกัดของสีสันบนสมาร์ทโฟน พร้อมสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ เช่นเดียวกัน
OPPO เป็นแบรนด์ที่เน้นผู้บริโภคเป็นหลัก เราจึงเข้าใจดีว่าความต้องการของเกมเมอร์ที่เล่นเกมบนมือถือนั้นคืออะไร ดังนั้น เราจึงมอบประสบการณ์การเล่นเกมแบบไร้ขีดจำกัดด้วย Gaming Mode ใน ColorOS โดยเมื่อผู้เล่นเปิด Gaming Mode ผู้เล่นจะไม่ถูกรบกวนจากการแจ้งเตือน ข้อความ และสายโทรเข้าอีกต่อไป ทำให้ผู้เล่นสามารถเพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมได้แบบไม่มีสะดุด
OPPO หวังที่จะมีส่วนร่วมกับกลุ่มอีสปอร์ตระดับโลกมากขึ้น และยังเชื่อว่าสปิริตของ Pro players ในรอบชิงชนะเลิศจะเป็นแรงผลักดันให้กับผู้ชมในการเดินตามความฝันเพื่อสร้างฝันนั้นให้เป็นจริง
League of Legends World Championship 2021 (S11) จะเชิญทีมระดับต้นๆ จาก 11 ประเทศ ทั่วทั้งภูมิภาคเข้าร่วมการแข่งขันที่มีการเดิมพันสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยการแข่งขันเริ่มในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ และสิ้นสุดด้วยรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ที่ Engjavegur 8, 104 Reykjavik ประเทศไอซ์แลนด์
OPPO เปิดตัว OPPO Communication Lab ห้องปฏิบัตการที่ถือเป็นเบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยี 5G มากมาย
OPPO ให้คุณเป็นเจ้าของอุปกรณ์ IoT ยอดฮิตในราคาสุดคุ้ม ด้วยโปรโมชั่นเด็ดมากมาย