

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC นำโดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม และนายชาตรี เอี่ยมโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ เผยถึง การเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน แม้สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เชื่อมั่น SCGC มีความพร้อมและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัวในอนาคต โดยได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตอกย้ำจุดแข็งสำคัญ อาทิ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากลเพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การขยายและต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ รวมทั้งการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาสร้างโอกาสทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเผยถึงความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “สถานการณ์ปิโตรเคมีในครึ่งปีหลัง ยังคงมีความผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ (US Tariff) การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้อุปสงค์ (Demand) ยังคงชะลอตัว ในขณะที่อุปทาน (Supply) ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการหยุดผลิตของโรงงานที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำและต้นทุนสูง ซึ่งช่วยชดเชยส่วนของอุปทานที่สูงขึ้น ดังนั้น คาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะอยู่ในภาวะทรงตัวอีกระยะ โดยพิจารณาได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568”
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้จะรุนแรงและยาวนานกว่าปกติ แต่ SCGC พร้อมรับมือกับความท้าทายและความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services ) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE)” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว
โดย SCGC ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอกย้ำจุดแข็งสำคัญในด้านต่าง ๆ อาทิ
1) กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล (Innovation Management) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services หรือ HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center” (Ideas to Products) โดยมีเครือข่ายนวัตกรรมจากทั่วโลก เพื่อช่วยลูกค้า เจ้าของแบรนด์ หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งพันธมิตรทางธุรกิจ ในการค้นหาไอเดียและเทรนด์ต่าง ๆ การวิจัยและพัฒนา การออกแบบสินค้า การทดสอบขึ้นรูป ฯลฯ ซึ่งช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมกว่า 100 โครงการ
2) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI (Artificial Intelligence) และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ระบบ Robotics & Automation ของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC โดยมีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ภายในโรงงาน (Robot Density) ระดับ Best in Class ของโลก
นอกจากนั้น ยังได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่ธุรกิจ Industrial Service Solutions พัฒนาโซลูชัน “DRS by REPCO NEX” (Digital Reliability Service Solutions) ซึ่งช่วยยกระดับการดูแลเครื่องจักรและเพิ่มความสามารถในการผลิต (Productivity) โดยให้บริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ อาหารเครื่องดื่ม และสาธารณูปโภค เป็นต้น
และ 3) การนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น การนำอะเซทิลีนที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material ซึ่งนำไปพัฒนาใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ “CHILLOX” (ชิลล็อกซ์) เป็นต้น
“สำหรับความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) ประกาศผลรางวัลชนะเลิศการแข่งขันแผนธุรกิจสตาร์ตอัประดับโลก สำหรับนิสิตนักศึกษา โดย Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC ได้รับการสนับสนุนหลักจาก บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ซึ่งการแข่งขันในปีนี้ได้เปิดโอกาสให้แต่ละทีมนำเสนอแผนธุรกิจภายใต้แนวคิด "Growing Impactful Ventures" ที่มุ่งสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โดยทีม MabLab จากมหาวิทยาลัย Harvard ประเทศสหรัฐอเมริกา คว้ารางวัลชนะเลิศ รางวัลเกียรติคุณพระราชทาน HM The King’s Award จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรางวัลเงินสด 18,000 เหรียญสหรัฐ ทีม Humimic Biosystems จากมหาวิทยาลัย Arkansas จากประเทศสหรัฐอเมริกา คว้ารางวัลรองชนะเลิศพร้อมรางวัลเงินสด 3,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ทีม MabLab จากมหาวิทยาลัย Harvard ยังคว้ารางวัลเกียรติคุณพระราชทาน HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn's Sustainability Award จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมรางวัลเงินสด 5,000 เหรียญสหรัฐ อีกด้วย ทั้งนี้การแข่งขันในครั้งนี้คัดเลือกจากผู้เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 308 ทีม จาก 82 สถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก จัดขึ้น ณ สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC โดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) เผยกลยุทธ์เชิงรุกระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว มั่นใจพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) พร้อมเร่งเดินหน้าโครงการ LSPE คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “ตลาดปิโตรเคมีอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ไม่ลดต่ำไปกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว”
“สำหรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ถือว่ารุนแรงและยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ สถานการณ์โควิด 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผู้เล่นบางรายได้ผันตัวจากการเป็นประเทศนำเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตาม SCGC สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว
“สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA นั้น ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และการใช้งานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงก็ตาม แต่กลุ่มสินค้า HVA ยังได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี”
“นอกจากนี้ SCGC ยังเร่งพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard) โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง พร้อมกับการพัฒนาสูตรเฉพาะ (Formulation) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดย SCGC ได้ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน คาโอ เจบีพี และโฮมโปร”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC ยังได้ขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน“DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก โดยดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) เช่น การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น”
“สำหรับความคืบหน้าของโครงการ LSPE นั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าโครงการฯ โดยดำเนินการ 3 ภารกิจหลักได้สำเร็จ ได้แก่ 1) การลงนามในสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก 2) การลงนามในสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทีน (VLECs) จำนวน 5 ลำ และ 3) การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2570” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) ผู้จัดงาน การแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC ซึ่งได้รับการสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจาก บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน สำหรับการเฟ้นหาสุดยอดแนวคิดธุรกิจในปี 2025 ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในเอเชีย (Asia’s Longest-running Global Student Startup Competition) และยังเป็นเวทีสำหรับนิสิต และนักศึกษาที่จะได้ร่วมแสดงศักยภาพ ประชันความคิด แผนธุรกิจภายใต้แนวคิด "Growing Impactful Ventures" มุ่งสนับสนุนแนวคิดธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีฝันในการสร้างธุรกิจได้นำเสนอแนวคิด สร้างเครือข่าย และต่อยอดสู่เวทีระดับโลก ทั้งนี้การแข่งขันจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2568 ณ สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์
“ที่ศศินทร์ เรามุ่งมั่นในการพัฒนาผู้นำที่สามารถสร้างอิมแพคอย่างยั่งยืนได้จริง การแข่งขันแผนธุรกิจในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางผู้ประกอบการที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเกือบ 50% ของสตาร์ตอัปในพอร์ตโฟลิโอของเราอยู่ในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ (MedTech), เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech), เทคโนโลยีเกษตร (Agri Tech) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งแต่ละทีมได้นำเสนอแนวทางและนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกในวันข้างหน้า” นายดิเบียนดู โบส (Dibyendu Bose) รองผู้อำนวยการกำกับดูแลฝ่ายยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และการพัฒนา สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าว
ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ (Suracha Udomsak) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม SCGC เผยว่า “SCGC มุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านโพลิเมอร์และเฟ้นหาโซลูชันต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งช่วยต่อยอดศักยภาพให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน โดย SCGC ให้ความสำคัญกับการคิดค้นและวิจัยสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับวิถีการเปลี่ยนแปลงของโลกและการใช้ชีวิตของผู้คน อาทิ การพัฒนานวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer™ การคิดค้นเทคโนโลยี SMX™ เพื่อทำให้เม็ดพลาสติกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงทำให้ใช้ปริมาณเม็ดพลาสติกน้อยลง ความร่วมมือกับศศินทร์ในการจัดแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC เพื่อส่งเสริมสตาร์ตอัปนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชัน เป็นการสร้างพื้นที่และเปิดโอกาสให้ไอเดียจากหลาย ๆ แห่งได้เติบโตสู่เชิงพาณิชย์ สตาร์ตอัปคือจุดเริ่มต้นและเป็นพลังสำคัญในการริเริ่มนวัตกรรม ท่ามกลางความท้าทายของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ขอให้ทุกทีมได้ใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมยกระดับความเป็นสตาร์ตอัปสู่การเป็นธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในระดับสากล”
การแข่งขัน Bangkok Business Challenge 2025 powered by SCGC มีทีมจากทั่วโลกสมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 308 ทีม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 11% ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดมาจาก 82 สถาบันอุดมศึกษา โดยเป็นสถาบันที่เข้าร่วมครั้งแรกถึง 32 สถาบัน โดยการแข่งขันในปีนี้ ได้รับเกียรติจากเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิมากประสบการณ์ มาร่วมเป็นกรรมการตัดสิน เพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมที่มีแนวคิดในการทำธุรกิจที่ดีที่สุดและคู่ควรกับรางวัลเกียรติคุณพระราชทาน H.M. The King’s Award จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และรางวัลเกียรติคุณพระราชทาน HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn's Sustainability Award จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ พร้อมรางวัลเงินสดรวมมูลค่า 42,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,500,000 บาท
สำหรับ 20 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ได้แก่
สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/bangkokbusinesschallenge หรือติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.