December 05, 2025

 SCGD เผยผลประกอบการไตรมาส 3 กำไร 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% โตเทียบไตรมาสก่อน และดีที่สุดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมี PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วอาเซียน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต-บริหารต้นทุน อีกทั้งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทยเข้าถึงผู้บริโภคครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ 

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 EBITDA อยู่ที่ 902 ล้านบาท ดีขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 305 ล้านบาท ดีขึ้นร้อยละ 37 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 61 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA on sales และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 16 และร้อยละ 5.3 ตามลำดับ ทั้งนี้ หากพิจารณาผลประกอบการที่ไม่รวมผลกระทบของ Non-Recurring บริษัทยังคงมีอัตราความสามารถในการทำกำไรดีที่สุด จากการเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่เข้มข้นรวมถึงการเร่งปรับตัวเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 2,513 ล้านบาทและกำไรอยู่ที่ 744 ล้านบาท

แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศรวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต มั่นใจเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวด้วยกลยุทธ์ 4x4 ดังนี้ 

1.) ยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาค เน้นบริหารและควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ขยายตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 ส่งออกกระเบื้องทั้งสิ้น 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

2.)  เพิ่มกำลังการผลิตและดันยอดขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ที่ PRIME เพื่อรองรับความต้องการวัสดุตกแต่งพื้นผิวคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นทั้งในเวียดนามและตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 มียอดขายกระเบื้องเกรซ
พอร์ซเลนจาก PRIME กว่า 3.6 ล้านตารางเมตร จากกระแสของผู้บริโภคที่นิยมวัสดุสวย ทน และดูแลรักษาง่าย พร้อมชูจุดแข็งด้านต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ในระดับโลก 

3.) เร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องต่อจากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่  โดยอาศัยศักยภาพในการจัดหาที่แข็งแกร่ง ซึ่งในไตรมาส 3 เติบโตร้อยละ 50 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

4.) เจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซกเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง  (HVA) โดยมีสัดส่วนการขายสินค้ากว่า 41% ต่อรายได้จากการขาย เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ-ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ผนังดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ และผลิตภัณฑ์ “ผนังที่หายใจได้” วัสดุปิดผิวผนังนวัตกรรมจากญี่ปุ่น (Flowel Pure TECH by COTTO)  ดูดซับสารระเหยอันตราย และปรับสมดุลความชื้นในอากาศ สินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์ สุขภัณฑ์อัตโนมัติ DUACT – TAP & GO ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ประหยัดน้ำเพียง 4.5 ลิตร ใช้แบตเตอรี่แทนการเสียบปลั๊ก และก๊อกน้ำรุ่น Xquisia จาก COTTO ดีไซน์หรูฟังก์ชันทันสมัย ซึ่งทั้ง 2 สินค้าคว้ารางวัลออกแบบผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมระดับสากล รวมถึง สุขภัณฑ์รักษ์โลก
ใช้สารเคลือบวัสดุธรรมชาติจากเปลือกไข่และเปลือกหอย ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระเบื้องที่ลดการปล่อย CO2 ตลอดกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ บริษัทยังนำเสนอสินค้าสำหรับกลุ่มตลาดกลางถึงตลาดมวลชนด้วยสินค้าคุณภาพดี และราคาเหมาะสมอีกด้วย 

สำหรับ กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร 4 กลยุทธ์ในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้แก่ การลดต้นทุนด้านพลังงานผ่านการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 13.6%  เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์จากไตรมาสก่อน ช่วยลดต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล 23.5% เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน ลดต้นทุนเพิ่มอีก 15 ล้านบาทต่อปี เจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ PRIME เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่เหมาะสม เช่นการส่งออกกระเบื้องจาก PRIMEไปยังตลาดประเทศฟิลิปปินส์ สามารถประหยัดต้นทุนได้ร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับต้นทุนกระเบื้องที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์อีกทั้ง การลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า ช่วยลดต้นทุนได้ 29 ล้านบาทต่อปี และการลดต้นทุนทางการเงินได้ปีละ 33 ล้านบาทต่อปีจากการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่เพื่อชำระหนี้เงินกู้เดิม รวมถึงการชำระหนี้บางส่วน

นายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า “สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2568 สามารถขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 181 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ อยู่ที่ 372 ล้านบาท รวมทั้งหลังจากเริ่มจำหน่ายวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC (Stone Plastic Composite) จากโรงงานในประเทศแทนการนำเข้า ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนรวมค่าจัดส่ง ส่งผลให้ปริมาณการขายในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 876,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่อง เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายกว่า 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อน และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต”

มั่นใจปี 68 โตต่อเนื่อง คว้าโอกาสตลาดอาเซียนฟื้น ลุยส่งออกต่างประเทศ 

เป็นเวลากว่า 1 ปีที่ SCGD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการตามพันธกิจเป็นผู้นำวัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง แม้ปีนี้จะเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่ท้าทาย แต่บริษัทยังมุ่งมั่นเดินหน้าตามกลยุทธ์ดำเนินงาน เตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อสถานการณ์ตลาดฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง  มีการเติบโตที่สำคัญใน 6 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ควบคุมต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร

บริษัทเร่งลงทุนในโครงการลดต้นทุนโดยการใช้เชื้อเพลิงทดแทน และพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้สามารถใช้พลังงานชีวมวลประมาณ 19% และพลังงานจากโซลาร์เซลล์ประมาณ 10% ในการผลิตทั้งหมด โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งสองประเภทให้ถึง 46% และ 15% ภายในปี 2573 ตามลำดับ

  1. เพิ่มสินค้าผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง รวมไปถึงการปรับปรุงไลน์การผลิตกระเบื้อง

บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน X-Strong ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และวัสดุตกแต่งพื้นผิว Paws & Play ลดอาการข้อเสื่อมของสัตว์เลี้ยง และทนต่อรอยขีดข่วนรวมถึงสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart toilet) นอกจากนี้ SCGD ได้ปรับปรุงไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงทั้งในไทยและเวียดนาม เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรง  สวยงาม อีกทั้งเปิดไลน์ผลิตวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC LT by COTTO ในไทย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ใช้งานได้สะดวกสบายขึ้นด้วยคุณสมบัติการติดตั้งง่าย และทนทาน  

 

  1. เติบโตธุรกิจสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน

บริษัทขยายตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในแต่ละประเทศกว่า 170 รายทั่วอาเซียนในปีนี้ อีกทั้งร่วมปรับหน้าร้านโชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายให้สอดคล้องกับแบรนด์ของสินค้าทุกระดับ ส่งผลให้ยอดขายการส่งออกสุขภัณฑ์ไปยังอาเซียนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะกว่า 500 ล้านบาท

  1. ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในอาเซียน

SCGD ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดและเข้าใจความต้องการลูกค้ามากขึ้น โดยในประเทศไทยได้เปิดร้าน COTTO LiFE สาขาดอนเมืองซึ่งเป็นแฟลกชิปโชว์รูม พร้อมบริการครบวงจร ส่วนในต่างประเทศ ได้เพิ่มร้าน CTM ในฟิลิปปินส์กว่า 4 สาขา  รวมทั้งเปิดร้านค้าของบริษัทแห่งแรกในประเทศเวียดนามและประเทศกัมพูชาชื่อ V-Ceramic และ OK Tiles Outlet ตามลำดับ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดวัสดุก่อสร้าง และการตกแต่งบ้านที่กำลังขยายตัว

 

  1. แบรนด์สินค้าครองใจผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศ

SCGD ได้รับรางวัลมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น รางวัล “2024 THAILAND’S MOST ADMIRED BRAND” จาก BrandAge ในโอกาสที่ COTTO ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 13  รางวัลแบรนด์วัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ชั้นนำ "Marketeer Number 1 Brand Thailand" รางวัลชนะเลิศ กระเบื้อง COTTO รักษ์โลกรุ่น ECO-SHIZZO ในเวที TGDA 2024 และรางวัลวัสดุก่อสร้างเพื่อสัตว์เลี้ยงดีเด่นจากบ้านและสวน รวมถึงรางวัลระดับภูมิภาคอย่าง "ASIA's Top Influential Brands Awards 2023" สุดยอดแบรนด์ระดับเอเชีย ที่ครองใจผู้บริโภคในอุตสาหกรรมและ "Asia Excellent Brand Awards 2024" ในประเทศเวียดนาม

  1. SCGD เดินหน้าสู่หุ้นยั่งยืน

ช่วงเดือนธันวาคม SCGD ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นหนึ่งใน "หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings" ระดับ A กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Propcon) และ "ดัชนี SETESG" ประจำปี 2567 สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสิ่งแวดล้อม

 

บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาพัฒนานวัตกรรมสินค้า โซลูชัน ตอบเทรนด์โลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแผนงานระยะยาว (ปี 2025-2030) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยืน และลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่า ตามเป้าที่ตั้งไว้ภายในปี 2030  

SCG Decor หรือ SCGD คว้าผลประเมิน CGR ระดับ 5 หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จากการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม รับผิดชอบต่อสังคมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน การประเมินดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR)

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “SCGD ได้รับคะแนนอยู่ใน Quartile ที่ 1 จากการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของพนักงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ก้าวสู่การเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนด้วยกลยุทธ์การเติบโต มีรายได้เป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 พร้อมกับการกำกับดูแลกิจการตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี ทั้งในมิติ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม นำมาซึ่งการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย นักลงทุน และนักลงทุนสถาบัน ด้วยผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าขยายธุรกิจพร้อมกับสร้างความยั่งยืนให้โลก พัฒนากระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์

ล่าสุดได้ส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ที่คุ้มค่าตอบโจทย์ลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ เช่น “Smart Flexible by COTTO หรือ LT by COTTO” นวัตกรรมวัสดุปูพื้น SPC ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ป้องกันปลวก ป้องกันน้ำ 100% ลวดลายสวยงาม สัมผัสเสมือนธรรมชาติ รักษ์โลก ปราศจากสารเคมีอันตราย และยังเป็น Non-Firing ที่ไม่มีกระบวนการเผาในการผลิต นอกจากนี้ วัสดุปิดผิวและกระเบื้องกลุ่ม ECO Collection ของ COTTO ยังลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่สูงสุดถึง 80% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 75% นำน้ำใช้แล้วมาหมุนเวียนถึง 25% เช่น กระเบื้องรุ่น อิโค สคิสโซ (ECO-SCHIZZO) ซึ่งนอกจากมีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว  ยังปราศจากสารเคมีระเหย โลหะหนัก  ลดคาร์บอนจากการขนส่ง  เป็นการประยุกต์เรื่องความยั่งยืนมาผสานกับนวัตกรรมการอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว  ส่งผลให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAILAND GREEN DESIGN AWARD 2024  ประเภทการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (resources efficiency จากงาน Thailand Green Design Awards 2024 หรือ TGDA 2024”

สำหรับปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมการประเมิน Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2024 : CGR ทั้งสิ้น 808 บริษัท ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 84% แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิทธิและการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ

งบฯ ลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท  ขยายโรงงานกระเบื้อง สุขภัณฑ์ เพิ่มช่องทางจำหน่าย พร้อมลดต้นทุน ใช้ออโตเมชั่น พลังงานสะอาด

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click