December 05, 2025

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทยร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ด้วยการส่งมอบสายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้วให้กับ Recycle Day Thailand เพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (Refuse Derived Fuel: RDF) ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ตลอดจนสร้างคุณค่าใหม่จากวัสดุที่หมดอายุการใช้งาน

นางนพวรรณ คล้ายโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของ SPC ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยส่งมอบสายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้ว ให้กับ Recycle Day Thailand เพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ทดแทนถ่านหิน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายชนัมภ์ ชวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร Recycle Day Thailand เป็นผู้รับมอบ

สิ่งเล็ก ๆ อย่าง “สายคล้องบัตรพนักงานที่ไม่ใช้แล้ว” เมื่อถูกนำเข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนจากของเหลือทิ้งให้กลายเป็นพลังงานทดแทน ลดภาระขยะปลายทาง และก่อให้เกิดคุณประโยชน์ได้อย่างแท้จริง การจัดการขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้หรือมีมูลค่าต่ำ อาทิ พลาสติกและผ้าสังเคราะห์ ซึ่งถูกนำมาคัดแยก บด อัด และแปรรูปให้กลายเป็นเชื้อเพลิง RDF ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับถ่านหิน ช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบ นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความรู้เรื่องการจัดการขยะอย่างยั่งยืนจาก Recycle Day Thailand ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้งาน SPC รวมพลังส่งมอบคุณค่าองค์กร EVP” มุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ภายใต้คุณค่าขององค์กร “ความภูมิใจคู่สังคมไทย”

“เราภูมิใจที่พนักงาน SPC ทุกคนได้ร่วมมือกันขับเคลื่อนภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลลัพธ์จริง นอกจากจะช่วยโลกแล้ว กิจกรรมนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการมีส่วนร่วมในองค์กร ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” นางนพวรรณ กล่าว

สำหรับ Recycle Day Thailand เป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะแบบครบวงจร มุ่งมั่นขับเคลื่อนสังคม Zero Waste ผ่านการส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงการรีไซเคิลและการคัดแยกขยะก่อนทิ้งให้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิเคชันสำหรับนัดหมายรถรับขยะรีไซเคิลถึงบ้าน และจุดรับขยะ (Drop Points) 14 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขยะที่ถูกคัดแยกแล้วจะได้รับการจัดการอย่างถูกต้องตามแต่ละประเภท ลดการนำไปฝังกลบ และช่วยบรรเทาปัญหาขยะปลายทางที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ

SPC จะมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่การสนับสนุนภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

“สหพัฒนพิบูล” หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย ที่ดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่น ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมเดินหน้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ควบคู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นางนพวรรณ คล้ายโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า SPC ได้รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี นายอำนาจ อัตวรอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เป็นผู้มอบเกียรติบัตร

ทั้งนี้ การคัดเลือกสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 มีสถานประกอบการทั่วประเทศสมัครเข้ารับการพิจารณาจำนวน 1,576 แห่ง โดยมีเกณฑ์สำคัญในการพิจารณา ได้แก่ การบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ การจัดสวัสดิการที่เป็นระบบและครอบคลุม การมีส่วนร่วมของพนักงาน การส่งเสริมความปลอดภัย และการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

“รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SPC ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย สวัสดิการที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม รวมถึงการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานทุกคนมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่ง SPC จะยังคงเดินหน้านโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นองค์กรคู่สังคมไทย ที่ไม่เพียงสร้างการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังมุ่งเน้นความสุขและความมั่นคงของพนักงานควบคู่กัน” นางนพวรรณ กล่าว

ปัจจุบัน สหพัฒนพิบูล หรือ SPC มีพนักงานรวมประมาณ 3,100 คน แบ่งเป็น พนักงานรายเดือน 1,500 คน พนักงานรายวัน 1,600 คน ซึ่งยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจในฐานะผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมมีส่วนร่วมสำคัญในการอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน

เปิดวิสัยทัศน์ผู้บริหาร กับบทบาทการนำ “SPC” ก้าวสู่ปีที่ 83 ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน “ส่งมอบคุณภาพ อย่างมีคุณธรรม” ตอกย้ำผู้นำในการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งในขณะเดียวกัน หลอมรวมหลากหลายเจนเนอเรชัน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายธุรกิจที่ยั่งยืน

นางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย หนึ่งในผู้บริหาร เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินงานของ “สหพัฒนพิบูล” หลังจากปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันเป็น Management Team รุ่นใหม่ อาทิ คุณเวทิต โชควัฒนา และคุณเพชร พะเนียงเวทย์ ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จาก 3 ส่วนงาน ได้แก่ การขนส่ง (Logistics) การสื่อสาร (Communication) และการผลิต (Production) มาร่วมวางแผนการบริหารธุรกิจให้มีความคล่องตัว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

ก้าวต่อไปของ สหพัฒนพิบูล มีเป้าหมายเดียวกันคือ การให้ความสำคัญกับคุณค่าขององค์กรที่สามารถส่งมอบให้แก่ “เพื่อนร่วมงาน” อย่างทั่วถึง มองพนักงานในฐานะฟันเฟืองหลักขององค์กร เพื่อให้ทุกคนพร้อม “ส่งมอบคุณภาพ อย่างมีคุณธรรม” ภายใต้ 3 คุณค่าหลักขององค์กร ได้แก่ 1.ร่วมมือ ร่วมใจ (Collaboration) ความสำเร็จเกิดจากทีมเวิร์ก ทุกเสียงมีความหมาย ทุกความคิดเห็นมีค่า การรับฟังซึ่งกันและกันคือการให้เกียรติ และเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน 2.รู้จริง ทำจริง เชี่ยวชาญ (Expertise) ทุกวันคือโอกาสเรียนรู้และเติบโต การลงมือทำจนเกิดความเชี่ยวชาญความมุ่งมั่นและความตั้งใจ 3.ความภูมิใจคู่สังคมไทย (Pride) คงไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจไปกว่าการทำงานในบริษัทของคนไทย ด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่เพื่อนร่วมชาติ สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโตของบริษัทและขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“ที่ผ่านมาการดำเนินงานของ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ยังคงยึดมั่นคุณค่าองค์กรตั้งแต่แรกเริ่ม คือ ความซื่อสัตย์ในการดำเนินธุรกิจ และยังใช้จุดแข็งด้านประสบการณ์การทำงานของคนรุ่นเดิมมาผสมผสานกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง แต่แฝงไปด้วยความยืดหยุ่นในขณะเดียวกัน เพื่อสร้างความลงตัวให้ได้มากที่สุด” นางชัยลดา กล่าว

ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่หลอมรวมหลากหลายเจนเนอเรชันเข้าไว้ด้วยกัน มีความพร้อมในการสนับสนุนการทำงานทุกระดับ ตำแหน่งและหน้าที่ในสายปฏิบัติงานเสมือน “พี่สอนน้อง” ถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น พร้อมเปิดกว้าง ‘รับฟัง’ ไอเดีย แนวคิดต่าง ๆ จากคนรุ่นใหม่เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กรให้มีความร่วมสมัย และยังเปิดรับผู้บริหารระดับมืออาชีพเสริมทัพเพื่อสร้างทีมที่มากด้วยประสบการณ์แข็งแกร่ง ความกล้า และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กร ให้แข็งแรง ยืดหยุ่น และทันสมัยในทุกยุค

ปัจจุบัน “สหพัฒนพิบูล” หรือ SPC จัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคต่าง ๆ มากมายกว่า 1,000 รายการ ซึ่งสินค้าที่เป็น ‘Hero Products’ ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” น้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำตาลมิตรผล ผลิตภัณฑ์คิวพี ผงซักฟอกเปา ผงซักฟอก108 Shop ครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ ยาสีฟันซอลส์ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่อยู่เคียงข้างผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน และในอนาคตสหพัฒนพิบูลมีแผนจะทำตลาดสินค้าใหม่ที่หลากหลายและยังคงยึดมั่นในสินค้าคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่ดีของผู้บริโภค

เครื่องมือสำคัญในการส่งผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์องค์กร พร้อมสื่อสารออกไปภายนอกด้วยโลโก้ (Logo) ของสหพัฒนพิบูลในปัจจุบัน ที่ใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษ “SPC” (SAHAPAT) สะท้อนวิถีการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ประกอบเป็นค่านิยมองค์กร (Core Value) อย่างชัดเจน ดังนี้

  • อักษรตัว S (Social Responsibility) รับผิดชอบต่อสังคม
  • วงกลมสามมิติ (Advancement) พัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
  • การรวมตัวแบบหยิน-หยาง (Harmony) รวมพลังด้วยความสามัคคี
  • สีแดง (Passion for Excellence) ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ
  • สี่เหลี่ยม (Truthfulness) องค์กรคนดีที่ซื่อสัตย์และยุติธรรม

สัญลักษณ์ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ที่ภายนอกเป็นวงกลมยังต้องการสื่อสารถึงความไม่มีเหลี่ยมมุมใด ๆ กับผู้คนรอบนอก ส่วนรูปสี่เหลี่ยมภายในสะท้อนถึงรูปแบบการทำงานขององค์กรที่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกัน

นอกจากการดำเนินธุรกิจที่ SPC ต้องนำพาองค์กรให้บรรลุเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปนั่นคือ การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance)  ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดย SPC จะนำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับเปลี่ยนและพัฒนาภายในและกระจายสู่ภายนอกองค์กร (Digitalization Project) เน้นการบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

นับเป็นความท้าทายของ SPC ที่ปัจจุบันมีพนักงานรวมกันกว่า 3,000 คน แบ่งเป็น พนักงานประจำ 1,500 คน พนักงานรายวัน 1,500 คน โดยทุกคนล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง ซึ่ง SPC ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจในฐานะผู้จัดจำหน่ายของคนไทยที่แข็งแกร่ง และพร้อมมีส่วนร่วมสำคัญในการอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายน้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำแร่ 100% จากธรรมชาติ นำเสนอ Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” น้ำแร่ธรรมชาติระดับพรีเมียม ที่ผ่านกระบวนการเพิ่มออกซิเจนอย่างพิถีพิถัน มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำขณะบรรจุอยู่ที่ 40-50 mg/L มากกว่าน้ำแร่มองต์เฟลอทั่วไป

“Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” จากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และใช้เทคโนโลยีพิเศษเพื่อเพิ่มออกซิเจนลงในน้ำ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยังได้รับ “Superior Taste Award” จากสถาบัน International Taste Institute ซึ่งเป็นการการันตีคุณภาพด้านรสชาติ 

ด้วยกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ “Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water” เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาน้ำแร่ธรรมชาติระดับพรีเมียมที่ผ่านการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ได้ที่ Tops Supermarket, Gourmet Market, Foodland, Lawson108, Villa Market, Mitsukoshi และซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ในราคาขวดละ 49 บาท

ทำไมต้องดื่ม Mont Fleur Elite Oxygenated Mineral Water ?

  • มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำมากกว่าน้ำธรรมดาประมาณ 40-50 mg/L – เติมเต็มออกซิเจนให้ร่างกาย รู้สึกสดชื่นยาวนาน
  • ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย – ลดอาการเหนื่อยล้า ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวไวขึ้น
  • เติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย – ให้ความสดชื่น และคงความชุ่มชื้นได้นาน
  • pH 7.5 สมดุลกับร่างกาย – ดูแลสมดุลภายในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 0 แคลอรี – ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี ดื่มได้ทุกวันอย่างมั่นใจ
  • ช่วยเร่งการเผาผลาญแอลกอฮอล์ – เพิ่มออกซิเจนช่วยให้ตับขจัดแอลกอฮอล์ได้เร็วขึ้น

 

SPC ร่วมเวทีบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Towards a Transformed Thai Economy" เผยภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย พร้อมโชว์เทคโนโลยี AI นวัตกรรมสุดล้ำ ในงาน FTI EXPO 2025 พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยและเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวทีโลก

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Towards a Transformed Thai Economy"  ในงาน FTI EXPO 2025 โดยกล่าว เน้นย้ำถึงภาคอุตสาหกรรมไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะโลกร้อน และโครงสร้างประชากร พร้อมเสนอแนวทางปรับตัวผ่านการลงทุน ในนวัตกรรมเทคโนโลยี AI และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเติบโตเพียงร้อยละ 3 นับเป็นความท้าทายสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทยที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ที่มีส่วนแบ่งการตลาดด้านการส่งออกและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้น และมีการย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้น  

นอกจากนี้ ยังมี 4 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ได้แก่

  1. เทคโนโลยีและนวัตกรรม ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 41 ด้านนวัตกรรมของโลก จะเห็นได้ว่าบริษัทชั้นนำยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในเรื่องของวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เกิดขึ้น และหลังจากนี้แนวโน้มขององค์กรใหญ่จะไม่เน้นการบริหารคนเพียงอย่างเดียว แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารคนร่วมกับ AI มากขึ้น
  2. ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ สงครามการค้าโลก และมาตรการกีดกันทางภาษีจากสหรัฐฯ รวมถึงการระบายสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
  3. ภาวะโลกร้อน ความเข้มข้นของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากสหภาพยุโรป ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ
  4. สังคมผู้สูงอายุ ไทยเป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลต่อโครงสร้างแรงงานและภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ

“ทั้งหมดนี้ เป็นความท้าทายในการปรับโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย และไม่อาจปล่อยให้กลไกของหน่วยงานภาครัฐเพียงหน่วยงานเดียวเป็นเจ้าภาพในการรับผิดชอบได้ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันและต้องอาศัยหน่วยงานเฉพาะกิจที่จะเข้ามาสะสางในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยสามารถหาแนวร่วมจากภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ที่ทราบว่าภาคอุตสาหกรรมไทยยังขาดทักษะในเรื่องใด รวมถึงการปรับระบบการส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยนำเครื่องมือในการส่งเสริมการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นำอุตสาหกรรมใหม่มาต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมมุ่งสู่อุตสาหกรรม S – Curve เน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ SPC ได้เร่งปรับกลยุทธ์องค์กร โดยมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมีโครงการสำคัญ ได้แก่

  • รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า เดินหน้าพัฒนาโลจิสติกส์สีเขียว โดยเริ่มนำร่องใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า 100% วิ่งเส้นทางระหว่างศูนย์กระจายสินค้าไปสู่ร้านค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมปูทางสู่โลจิสติกส์ที่ยั่งยืน
  • โครงการ Care the Whale ขยะล่องหน @ชุมชน ความร่วมมือกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพันธมิตร สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับสังคมไทย ด้วยการรณรงค์ให้ชุมชนร่วมแยกขยะและนำมาแลกสินค้า ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน
  • โครงการ Green Please by SPC ถูกจุดประกายการจากภายในองค์กรสู่สังคม ก่อให้เกิดจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่สร้างความตระหนักรู้ในองค์กร แต่ยังขยายผลไปสู่ชุมชนโดยรอบ พร้อมทั้งขับเคลื่อนการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชายเลน เพิ่มพื้นที่สีเขียว เสริมเกราะป้องกันระบบนิเวศ เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติให้คนรุ่นหลัง

นอกจาก SPC จะปรับตัวธุรกิจสำหรับอนาคตแล้ว ยังมีบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่ปรับธุรกิจสู่ อุตสาหกรรมอนาคต ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระดับนานาชาติ ครอบคลุม เทคโนโลยีอุตสาหกรรม สุขภาพ และโลจิสติกส์ โดยมีโครงการสำคัญดังนี้

  • ร่วมทุนกับ 'Zhen Ding Tech' อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ปักหมุดสร้างโรงงาน PCB ในไทย ณ สวนอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี พัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
  • ขยายช่องทางค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ โดยลงนาม MOU ร่วมกับ ‘LALASTATIONS’ ผู้นำในธุรกิจไลฟ์คอมเมิร์ซ (Live Commerce) ครบวงจรจากเกาหลี เพื่อพัฒนาไลฟ์คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มแรกของไทย พร้อมทั้งยกระดับธุรกิจ สู่ตลาดอินเตอร์
  • ลงนาม MOU กับ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในการพัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร
  • ลงนาม MOU กับ QUARK BIO นำเทคโนโลยีเกี่ยวกับรหัสพันธุกรรมเพื่อนำมาสู่การดูแลและรักษาโรคให้กับผู้สูงอายุได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  • ลงนาม MOU กับ SkyDrive ในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าทางอากาศ
  • ลงนาม MOU กับ DHL Express ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งด่วนทางอากาศ ด้วยเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน

 

นี่คือสิ่งที่ SPC และบริษัทเครือสหพัฒน์ พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กรมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สำหรับงาน FTI EXPO 2025 ในครั้งนี้ ได้ร่วมออกบูธแสดงศักยภาพด้านการจัดจำหน่ายสินค้าและโลจิสติกส์ พร้อมทั้งร่วมโชว์เทคโนโลยี AI นวัตกรรมสุดล้ำ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของไทย และพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต 

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click