สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ iNT (อิ๊นท์) ตอกย้ำบทบาทผู้นำ ด้านการสนับสนุนธุรกิจ Start-Up และการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัย นวัตกรรม ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความพร้อมในการให้คำปรึกษาและโอกาสในการเชื่อมโยงเครือข่ายกับพันธมิตรระดับโลก
iNT เป็นส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดลที่มีเป้าหมายในการนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของ มหาวิทยาลัยไปสู่ศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ โดยให้ความสำคัญ อย่างยิ่งกับการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัยให้ถูกนำไปสร้างเป็นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม มีส่วนช่วยในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ในปัจจุบัน iNT มีเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ พร้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการส่งเสริมการนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยให้สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ที่ตอบโจทย์ของตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ
บริการของ iNT ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น
การบริหารจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาและให้บริการด้านการจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายทางการค้า พร้อมผลักดันและส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือ Licensing Commercialization เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย
การสนับสนุนให้เกิดการบ่มเพาะธุรกิจ Startup : Entrepreneurial Ecosystem
ด้วยหลากหลายโครงการที่จะส่งเสริมให้บุคลากรและนักศึกษามีแนวคิดในการเป็นเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Incubation Program บ่มเพาะ Startup โครงการ iNT Accelerate การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech Technology) ผ่านกระบวนเร่งสปีดที่เรียกว่า Acceleration Program รวมไปถึงการให้บริการพื้นที่ Co-Working Space ภายใต้ชื่อ MaSHARES นอกจากนี้ทางสถาบัน iNT ยังมีการจัดหาทุนสนับสนุนในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม เพื่อนำทุนไปต่อยอด ในการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมต่อไปในอนาคต อาทิ ทุน Innovation Fund เพื่อพัฒนานวัตกรรมและผู้ประกอบการเพื่อไปสู่เชิงพาณิชย์, Youth Startup Fund, ทุน Talent Mobility ที่ให้อาจารย์นักวิจัยได้ไปทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม ด้านบริการวิจัยและวิชาการ
โดยมีการจัดตั้งศูนย์ย่อยในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม คือ ศูนย์ร่วมคิดพาณิชย์นวัตกรรม (MICC) เป็นศูนย์การในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม
โดย iNT มีพาร์ทเนอร์มากมาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น และ หน่วยงานเอกชน อาทิเช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, SCG เป็นต้น
เครือข่ายพาร์ทเนอร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบัน iNT สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการสร้างนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนสนับสนุนต่อยอดนวัตกรรมไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก สร้าง Real World Impact สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานอธิการบดี ชั้น 2 999 ถนน พุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม 73170 โทร. 02-849-6050
เมื่อโลกของการทำงานและการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีพื้นที่สำหรับการเรียน การทำงาน และพบปะสร้างสรรค์กิจกรรมจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ตอนหนึ่งในบทความของ Harvard Business Review ระบุว่า แม้การพบปะกันเพียงช่วงสั้นๆ ก็สามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมได้ ดังนั้นพื้นที่จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทางกายภาพ แต่ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการร่วมมือและทำภารกิจยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ที่ผ่านมา True Space ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งใน Ecosystem ของทรู ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Co-working space ทั่วไป แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และการเติบโตของทั้งนักเรียนนักศึกษา และสตาร์ทอัพและ SME ไทยในมิติต่างๆ
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก True Space ให้มากขึ้นผ่านแนวคิด จุดมุ่งหมาย รวมไปถึงประสบการณ์ของน้องๆ ชมรม SWU Sandbox ที่เริ่มต้นและเติบโตขึ้นจากพื้นที่เล็กๆ ของ True Space สาขาอโศก และต่อยอดสู่ภารกิจปั้นสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย พร้อมชี้ให้เห็นถึงก้าวต่อไปของ True Space ในการเป็น Ecosystem ที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพและ SME ไทย
จุดเริ่มต้นของการเป็นพื้นที่สำหรับนักเรียนนักศึกษา
“แรกเริ่มนั้น True Space เกิดขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นพื้นที่ทำงานให้นักเรียนนักศึกษา เพื่อให้พวกเขามีพื้นที่มานั่งทำงาน ติวหนังสือ หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” นวลพรรณ บุญเผื่อน หัวหน้าสายงานทรูสเปซ บริษัท ทรูสเปซ จำกัด เริ่มเล่าที่มา
ไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็น True Space ทั้ง 7 สาขามีโลเคชั่นอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือใกล้กับมหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา, มหาวิทยาลัยรังสิต, สยามสแควร์ ซอย 2, สยามสแควร์ ซอย 3, อโศก, ไอคอนสยาม และวายสแควร์ อุบลราชธานี เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้พื้นที่ได้อย่างสะดวกสบาย
“แต่ละสาขาเราจัดพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ทั้งที่นั่งทำงานแบบ Hot Desk ห้องประชุม และพื้นที่จัด Event ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ นอกจากนี้เราเองยังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นเวิร์กชอปพัฒนาทักษะเสริมทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ที่น้องๆ นักศึกษาสามารถนำไปใช้ในอนาคต การมีกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ของเราให้เกิดขึ้นด้วย และเชื่อว่าเมื่อก้าวสู่วัยทำงาน พวกเขาก็จะยังเข้ามาใช้บริการของเราเช่นกัน” นวลพรรณ อธิบาย
การเข้าใช้บริการ True Space เป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ทรูจัดไว้ให้ลูกค้าได้ใช้ Ecosystem อย่างเต็มที่ หรือหากต้องการสมัครสมาชิกก็ได้ในราคาที่คุ้มค่า รวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับมหาวิทยาลัยต่างๆ จะเห็นได้ว่าแต่ละสาขาจะมีน้องๆ นักเรียนนักศึกษามานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือติวหนังสือกันเป็นประจำ
True Space สาขาอโศก กับการก่อร่างชมรม SWU Sandbox ให้เกิดขึ้นจริง
True Space สาขาอโศก ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่นักศึกษามารวมตัวกันทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และเป็นจุดเริ่มต้นของชมรม SWU Sandbox ซึ่งก่อตั้งโดยนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มศว ที่มี
ประสบการณ์ผ่านเข้ารอบ Demo Day ในการแข่งขัน Startup Thailand League 2023 ครั้งนั้นพวกเขาเห็นศักยภาพไอเดียของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่นำไปต่อยอดได้ จึงอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาความรู้ บ่มเพาะ และสนับสนุนการเกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่จากรั้วมหาลัยของตัวเอง
“จริงๆ ชมรม SWU Sandbox เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 67 ค่ะ ในช่วงการวางแผนก่อตั้งชมรม พวกเรา 8-9 คนยังมือใหม่มากและขาดพื้นที่สำหรับประชุมและวางแผนงาน เพื่อนที่เป็นประธานชมรมจึงลองติดต่อเข้ามาที่ True Space เพื่อขอให้พื้นที่ทำงาน เพราะทราบมาว่าเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็ได้รับการสนับสนุนอย่างดีตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้” เสาวลักษณ์ ชอบสอน นิสิตปี 4 คณะเศรษฐศาสตร์ มศว เลขาชมรมเล่าถึงที่มา
แม้ก่อตั้งชมรมได้ภายในเวลาไม่ถึงปี แต่ SWU Sandbox สามารถขยายขอบเขตการทำงานเป็นชุมชนนักศึกษาที่มีสมาชิกมากกว่า 100 คน และได้ร่วมงานกับฝ่ายกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัยผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่การให้ความรู้ธุรกิจเบื้องต้น จัดค่ายพัฒนาโปรเจกต์ จนถึงการ Pitching เสนอไอเดียที่เปิดกว้างทั้งมหาวิทยาลัย คัดจนผ่านเข้ารอบ 10 ทีม โดยอีกไม่นานมีการจัด Showcase ที่เปิดให้บริษัทภายนอกเข้ามาชมงานและสนับสนุน
“การที่มีชมรมนี้เกิดขึ้นมาได้จริง พวกเราภูมิใจมาก ที่ได้มีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพนิสิตของเรา ซึ่งต่อไปอาจเกิดเป็นสตาร์ทอัพจริงๆ ก็ได้ และส่งต่อให้รุ่นน้องได้สานต่อกิจกรรมไปด้วย” ณัชชา พรมสุริย์ ฝ่ายดูแลกิจกรรมของชมรมกล่าว
พื้นที่ทางเลือกที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ยุคใหม่
ในยุคห้องสมุดไม่ใช่เพียงแหล่งหาข้อมูลสำคัญแห่งเดียวอีกต่อไป นักเรียนนักศึกษาต่างใช้แท็บเล็ตแทนสมุดและหนังสือ พวกเขามีทางเลือกในการแสวงหาความรู้อย่างเป็นอิสระในทุกที่ สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์วิถีการเรียนแบบใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่า True Space เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์เหล่านี้
“ชอบมานั่งทำงานที่นี่ เพราะมีปลั๊กไฟอยู่บนโต๊ะ ใช้งานสะดวกมาก โต๊ะก็ความสูงพอดี เก้าอี้นั่งสบาย พื้นที่เปิดโล่ง สว่าง ไม่อึดอัด เวลาพักสายตาก็มองไปนอกหน้าต่างได้” น้องๆ นักศึกษาที่เข้ามานั่งทำงานใน True Space สาขาอโศกบอกเล่าถึงเหตุผลที่เลือกเข้ามาที่นี่เป็นประจำ
ภิรมย์สุรางค์ สิงหนาท หนึ่งในนักศึกษากลุ่มนี้อธิบายเพิ่มเติมว่า “การมาที่ True Space ไม่เหมือนกับไปนั่งห้องสมุดหรือร้านกาแฟ เพราะที่ห้องสมุดเราต้องเงียบ จะคุยปรึกษาหรือติวหนังสือไม่ได้ ส่วนร้านกาแฟมีเสียงบรรยากาศค่อนข้างดัง ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ การมาที่นี่มีทั้งโต๊ะแยกให้เราได้โฟกัสงาน และมีโต๊ะนั่งรวมที่ติวหนังสือหรือประชุมงานกันได้ด้วย”
Startup Ecosystem และ Community ที่เต็มไปด้วยโอกาส
นอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนนักศึกษาแล้ว เวลานี้ True Space มีการวางกลยุทธ์ขยายไปสู่ผู้ประกอบการ SME และสตาร์ทอัพ เพื่อเป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ การมีเครือข่ายธุรกิจที่เข้มแข็งจากความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เป็นการดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้ามาเช่าพื้นที่เป็น Private Office หรือใช้งาน Co-working Space ที่ช่วยลดต้นทุนได้ รวมถึงการใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ซึ่งนับเป็นบทบาทสำคัญของการเป็น Startup Ecosystem ของไทย
“เรามีผู้ประกอบการ SME และสตาร์ทอัพเข้ามาเช่าพื้นที่หรือเป็นสมาชิกอยู่หลายรายตามสาขาต่างๆ ซึ่งพวกเขาก็ได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้ครบครัน ช่วยในการดำเนินงานได้ รวมถึงมีการจัดพื้นที่ทำ Event รองรับคนได้จำนวนหนึ่ง ล่าสุดก็มีจัดพื้นที่สำหรับทำ Business Deal ให้กับสตาร์ทอัพได้สำเร็จไปอีกหนึ่งราย” หัวหน้าสายงานทรูสเปซกล่าว
การปรับตัวในยุคของการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานแบบดั้งเดิมลดลง เนื่องจากรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป เช่น การทำงานแบบรีโมตและไฮบริด รวมถึงเทรนด์ของ Co-working space ที่มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นทั้งจากคาเฟ่และศูนย์การค้า แต่ True Space ยังคงสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคง ด้วยจุดเด่นและกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
· Flexible Work Solutions: มีพื้นที่ทำงานที่ออกแบบมาอย่างทันสมัย รองรับการทำงานที่ยืดหยุ่นหลากหลายรูปแบบ
· Community Building: จัดกิจกรรมที่หลากหลายสำหรับนักศึกษาและผู้ประกอบการ พร้อมกับสร้างคอมมูนิตี้ที่เชื่อมโยงพาร์ตเนอร์และผู้ใช้บริการไว้อย่างแข็งแกร่ง
· Exclusive Discounts and Member Benefits: สมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ส่วนลดบริการในเครือ True ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการเป็นสมาชิก และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ครบครัน
“เชื่อไหมว่า ชั้นสองของ True Space สาขาอโศกตรงนี้ทั้งหมด เคยเป็นแผนกคอลเซ็นเตอร์ให้กับสายการบินระดับโลกแห่งหนึ่ง” นวลพรรณ เริ่มเล่าถึงจุดเด่นของพื้นที่แห่งนี้
“ช่วงที่สายการบินแห่งนี้มีการปรับปรุงสำนักงานและมาเช่าพื้นที่ของเรา เราก็สามารถจัดเป็นพื้นที่ทำงานได้อย่างตอบโจทย์ ต่อมาจึงกลายมาเป็นลูกค้าประจำ ในขณะเดียวกันพื้นที่เดียวกันนี้ก็เคยปรับให้เป็นงาน Event หรืองานเลี้ยง ซึ่งเราจัดให้ได้ วางแพลนโต๊ะเก้าอี้กันใหม่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่เรามีพร้อม นี่คือจุดเด่นของ True Space ที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก และตอบโจทย์ความต้องการได้เสมอ” เธอเน้นย้ำทิ้งท้าย
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ร่วมกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย และบริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด นำ 8 สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารในโปรแกรมเร่งการเติบโต ภายใต้โครงการ SPACE-F Accelerator รุ่นที่ 4 ร่วมนำเสนอผลงานแก่นักลงทุน และผู้ที่สนใจในนวัตกรรมด้าน FoodTech บนเวที SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ในงาน Startup x Innovation Thailand Expo 2023 (SITE2023) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สตาร์ทอัพภายใต้โครงการ SPACE-F Accelerator รุ่นที่ 4 นั้นได้เข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโตเป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจและพัฒนานวัตกรรมร่วมกับบริษัทคู่ค้า สร้างความร่วมมือและเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย
โดย ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวเปิดงาน SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า “โครงการ SPACE-F เป็นโครงการที่สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมอาหารในระดับนานาชาติ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือกันของเครือข่ายและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพให้แข็งแกร่ง โดยมีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอาหารของโลก สตาร์ทอัพทั้ง 8 ในโปรแกรม Accelerator ของ SPACE-F รุ่นที่ 4 จะเป็นผู้นำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาและเปลี่ยนแปลงอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนบนโลก โดย SPACE-F เป็นผู้นำของโลกยุคใหม่ด้านนวัตกรรมอาหาร ทั้งการเป็นผู้ประกอบการ การสร้างนวัตกรรม และการสร้างการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนมาบรรจบกันเพื่อเปลี่ยนโลกของเราให้ดียิ่งขึ้น ความสำเร็จของสตาร์ทอัพเหล่านี้เป็นสิ่งยืนยันถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดที่อยู่ในภาคส่วนเทคโนโลยีอาหาร”
ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างผู้สนับสนุนของโครงการตั้งแต่เริ่มต้นและการให้ความร่วมมือกับสตาร์ทอัพเพื่อพัฒนานวัตกรรมอาหารว่า “โครงการ SPACE-F ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างเครือข่ายและระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีอาหารให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพในโครงการตลอดจนต่อยอดโอกาสด้านธุรกิจสู่ระดับสากล และด้วยเครือข่ายของ SPACE-F ที่เข้มแข็งขึ้นทำให้สตาร์ทอัพที่เคยร่วมโครงการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน นักลงทุน พันธมิตร รวมถึงโอกาสต่างๆ ในการขยายธุรกิจในเวทีโลก
ทั้งนี้ สตาร์ทอัพที่นำเสนอผลงานได้รับการคัดเลือกโดยพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ได้รับโอกาสในการสร้างนวัตกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนจึงได้ถือโอกาสนี้ในการเข้าไปสนับสนุนและทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเร่งสปีดความสำเร็จ โดยเราคาดหวังว่าจะได้สนับสนุนและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องกับสตาร์ทอัพเหล่านี้ในอนาคตแม้หลังจากจบโครงการแล้ว”
คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ SPACE-F Batch 4 ได้เสริมอีกว่า “ความหลากหลายของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารในรุ่นที่ 4 นี้ ครอบคลุมไปในส่วนของนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเรามองเห็นความสามารถและศักยภาพของสตาร์ทอัพในรุ่นนี้ที่มาจากนานาประเทศ พวกเขาทำให้เรามั่นใจว่า SPACE-F จะกลายเป็นตัวกลางในการสนับสนุนนวัตกรรมที่โดดเด่นเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มอย่างแน่นอน
ไทยเบฟเวอเรจ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SPACE-F ในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และเรามองว่า SPACE-F จะเป็นเวทีสำคัญในการผลักดันวาระความยั่งยืนในระดับโลก”
ทำความรู้จักกับ 8 สตาร์ทอัพที่ร่วมโชว์ผลงาน
· AlgaHealth (อิสราเอล): ผู้คิดค้นและผลิตอาหารเสริมสารสกัด Fucoxanthin จากสาหร่าย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือด
· AmbrosiaBio (อิสราเอล): ผู้พัฒนาและออกแบบสารทดแทนน้ำตาลที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน หรือเบาหวาน โดยไม่ทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลง
· Lypid (สหรัฐอเมริกา): ไขมันจากพืชสำหรับการผลิตโปรตีนทดแทนที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์
· MOA (สเปน): ผู้พัฒนาและผลิตแหล่งโปรตีนใหม่ ๆ อย่างยั่งยืนจากการ Upcycling วัตถุดิบจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร
· Pullulo (สิงคโปร์): ผู้ผลิตโปรตีนทดแทน จากการ Upcycling วัตถุดิบจากภาคการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation technology)
· Seadling (มาเลเซีย): ผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงผลิตจากสาหร่าย
· TeOra (สิงคโปร์): ผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันโรคและส่งเสริมการเจริญเติบโตของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
· The Leaf Protein Co. (ออสเตรเลีย): ผู้สร้างและผลิตโปรตีนทดแทนจากใบไม้ด้วยกรรมวิธีที่ยั่งยืน
สตาร์ทอัพผู้เข้าร่วมโครงการได้ให้สัมภาษณ์ และกล่าวถึงความรู้สึกเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ และกิจกรรม SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม SPACE-F โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าร่วมวัน Accelerator Demo Day นี้ พวกเขาได้พบกับผู้ที่มีความสามารถอันหลากหลาย พร้อมได้สร้างเสริมสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภายในงานอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยีอาหาร โปรแกรมนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาในการร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรและทุก ๆ ภาคส่วน พวกเขาได้เรียนรู้หลายอย่างจากประสบการณ์ต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในโครงการ พร้อมทั้งได้รับข้อมูลและข้อเสนอแนะมากมายที่พวกเขาสามารถนำไปใช้กับแผนการนำร่องนวัตกรรมของตัวเองได้
ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ปิดท้ายงาน SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ว่า รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ประสบความสำเร็จ จากที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากให้ความสนใจนวัตกรรมด้านอาหาร และอยู่ร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นจนจบช่วง Pitching “มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้สนับสนุนในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์การวิจัยด้านเทคโนโลยีอาหาร พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่พร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอาหาร ซึ่งในโครงการ SPACE-F รุ่นต่อ ๆ ไป ทางคณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนนวัตกรรมตามวิสัยทัศน์และพันธกิจของโครงการ SPACE-F เพื่อช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพและสร้าง “ระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยีอาหาร ทั้งในมหาวิทยาลัยของไทยและในระดับประเทศ”
คุณแจโฮ ลี หัวหน้าทีมพัฒนาอาหารและยา บริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด ในฐานะตัวแทนจากบริษัทที่ล่าสุดได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้สนับสนุนของโครงการ ได้เสริมอีกว่า “สำหรับโครงการ SPACE-F ทางล็อตเต้ได้ให้การสนับสนุนในเรื่องของการลงทุนและได้ให้ความร่วมมือกับองค์กรทุกภาคส่วนในโครงการ ตั้งแต่รุ่นที่ 3 เป็นต้นมา โดยล็อตเต้วางแผนที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่องรวมถึงการแบ่งปันความรู้ของล็อตเต้ให้กับสตาร์ทอัพ โดยเรามีจุดประสงค์เพื่อสร้างรากฐานความยั่งยืนของนวัตกรรมอาหารเพื่อเด็ก ๆ มนุษยชาติ และโลกของเราที่สวยงาม มาร่วมสร้างการเดินทางสู่ความสำเร็จครั้งใหม่ไปด้วยกัน”
ด้วยผู้เข้าร่วมที่มากกว่า 200 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหาร และพนักงานจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นักลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งไทย และต่างประเทศ และผู้เข้าร่วมอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจ นับเป็นความสำเร็จของ SPACE-F Batch 4 Accelerator Demo Day ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพภายใต้โครงการได้เปิดตัวต่อเครือข่ายคู่ค้า เพื่อเชื่อมโยงความเป็นไปได้ และโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) และ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน เฟ้นหาสุดยอดทีมพัฒนาแผนธุรกิจสตาร์ตอัปที่มุ่งเน้นความยั่งยืน SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023 ในรอบ Global Competition เปิดรับสมัครนิสิต-นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก ทุกสาขาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก ที่มีไอเดียทางด้านนวัตกรรมและสุดยอดแผนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์สังคมและความยั่งยืน ชิงถ้วยรางวัลพร้อมเงินสดรวมมูลค่ากว่า 42,000 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1,400,000 บาท
ทั้งนี้ SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin เป็นการแข่งขันวางแผนธุรกิจสตาร์ตอัปภาคภาษาอังกฤษที่จัดขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานที่สุดในเอเชีย โดยเปิดโอกาสให้นิสิต-นักศึกษาทั่วโลกมาแสดงความสามารถในการวางแผนธุรกิจของตนเอง และในปีนี้ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Growing Impactful Ventures” เน้นให้เกิดผลงานที่มีความสร้างสรรค์ในมุมมองใหม่ ๆ และผลักดันให้ทีมผู้เข้าแข่งขันทำธุรกิจที่เกิดความยั่งยืน ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน Global Competition ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2566 โดยงานแข่งขันรอบ Semi-final ถึงรอบ Final จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 24 มิถุนายน 2566 ที่ ศศินทร์ ร่วมชิงถ้วยรางวัลพร้อมเงินสด รวมทั้งโอกาสในการ networking กับทีมต่าง ๆ ทั่วโลก
มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมนิสิต-นักศึกษาไทยที่ก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก ด้วยไอเดียและนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ สมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/apply2bbcgl2023 สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://bbc.sasin.edu/2023/ หรือ Facebook page: bangkokbusinesschallenge
C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards
ซัมซุงกับความสำเร็จในการพัฒนาสตาร์ทอัพและโครงการมากกว่า 500 รายการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ซัมซุงประกาศเปิดนิทรรศการแสดงสุดยอดนวัตกรรมที่พัฒนาผ่านโครงการ C-Lab ในงาน CES 2023 ที่จัดขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป โดยซัมซุงวางแผนเปิดตัว 4 โครงการล่าสุดที่พัฒนาโดย C-Lab Inside ซึ่งเป็นโครงการเพื่อขับเคลื่อนองค์กร รวมไปถึงโครงการจากสตาร์ทอัพ 8 แห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab Outside ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมในการสนับสนุนสตาร์ทอัพในการคิดค้นนวัตกรรมไปสู่จุดหมาย โดยผู้เข้าชมสามารถเยี่ยชมโครงการนวัตกรรมได้ที่ Eureka Park ในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงหลักสำหรับสตาร์ทอัพมากมายจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 5-8 มกราคม 2566 ทั้งนี้สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในตลาดโลกด้วยการแสดงผลงานผ่านนิทรรศการ CES เพื่อเสริมสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และพบปะกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ
C-Lab Inside: โครงการ Metaverse และโครงการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์โดยพนักงานของซัมซุง พร้อมสู่เวทีโลก
ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ซัมซุงได้จัดงาน C-Lab Inside เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ CES โดยโครงการที่นำมาเสนอในปี 2566 เป็น 4 โครงการที่ได้รับการประเมินในระดับสูงทางด้านนวัตกรรมและความสามารถในการสร้างการเติบโตทางการตลาดได้ ดังนี้
• Meta-Running แพลตฟอร์ม metaverse เพื่อการเรียนรู้รูปแบบในการวิ่งที่เหมาะสม
• Porkamix แพลตฟอร์ม metaverse ที่จัดเตรียมงานคอนเสิร์ตในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ
• Soom ประสบการณ์การทำสมาธิพร้อมคำแนะนำแบบเรียลไทม์
• Falette การจำลองรูปแบบ 3D สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านที่ทำจากผ้าผ่านระบบดิจิทัล
C-Lab Outside: สตาร์ทอัพพร้อมโชว์ เทคโนโลยี AI และอีกมากมาย ฉายแสงสู้ในงาน CES
C-Lab Outside จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพในการพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการสตาร์ทอัพในประเทศเกาหลีใต้ สตาร์ทอัพที่ลงทะเบียนในโปรแกรม C-Lab Outside จะได้รับการจัดสรรพื้นที่สำนักงาน พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากพนักงานของ ซัมซุง รวมไปถึงการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลและการเงิน การสนับสนุนเพิ่มเติมรวมไปถึงความร่วมมืออย่างมีศักยภาพกับ ซัมซุง และโอกาสในการเข้าร่วมนิทรรศการด้านไอทีที่ทรงอิทธิพล อย่าง CES และ KES (Korea Electronics Show)
ในปีที่ผ่านมา ซัมซุง Daegu Center และ Gyeong-buk Center for Creative Economy & Innovation ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของโครงการ C-Lab Outside ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพเหล่านี้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของตนและพร้อมที่จะแสดงผลงานในเวทีโลก ณ งาน CES 2023 โดย 8 สตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่
• NdotLight โซลูชันสำหรับงานออกแบบ 3 มิติผ่านเว็บไซต์
• NEUBILITY บริการจัดส่งในพื้นที่เมืองผ่านหุ่นยนต์ไร้คนขับ
• 40FY แอปพลิเคชันการให้การบริการดูแลสุขภาพจิต ตั้งแต่การประเมินไปสู่การรักษาผ่านระบบ
ดิจิทัล CELLICO การฝังดวงตาเทียมแบบอิเลคโทรนิคส์ สำหรับผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อม
• Plask ระบบ AI และเครื่องมือจับการเคลื่อนไหวและแก้ไขภาพเคลื่อนไหวผ่านเบราว์เซอร์
• Wrn Technologies บริการฝึกการเขียนและสร้างคอนเทนต์ผ่านเทคโนโลยี Generative AI
• Catius หุ่นยนต์ AI เพื่อนสนทนาโต้ตอบสำหรับเด็ก
• Erangtek เครื่องขยายสัญญาณในการควบคุมระบบ IoT ภายในบ้านเพื่อปรับปรุงคุณภาพ
สัญญาณโทรศัพท์
สตาร์ทอัพ C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards
ในเดือนพฤศจิกายน 2022 สมาคม Consumer Technology Association (CTA) ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล CES 2023 Innovation Awards สำหรับผลิตภัณฑ์ใน 28 หมวดหมู่ รวมไปถึง Best of Innovation โดยโครงการจากสตาร์ทอัพของโครงการ C-Lab คว้ารางวัล Best of Innovation Awards ไปถึง 2 รางวัล และได้รับรางวัล Innovation Awards อีก 27 รางวัล ส่งผลให้ C-Lab ได้สร้างเกียรติประวัติให้ประเทศด้วยการคว้ารางวั ลInnovation Awards มากถึง 22 รางวัลในปี 2565 และอีก 7 รางวัลในปี 2566 สำหรับเทคโนโลยีที่โดดเด่น
ซัมซุงเผยถึงกุญแจแห่งความสำเร็จในการคว้ารางวัลอันมากมายจากเวที CES Innovation Award และการก้าวเข้าสู่ตลาดโลกโดย Hark Kyu Park ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า "เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab ได้พิสูจน์ความสามารถทางเทคโนโลยีของตนในเวทีระดับโลก พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรมที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในงาน CES เราหวังว่าสตาร์ทอัพ C-Lab จะมุ่งมั่นในการบุกตลาดโลกอย่างแข็งขันมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของสตาร์ทอัพในเกาหลีใต้"
หนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นอย่าง Dot Inc. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำหรับผู้พิการทางสายตา ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2022 Best of Innovation Award ในหมวดความช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงระบบการทำงาน และยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัล CES Innovation Awards อีก 2 รางวัล
และบริษัท Verses ผู้พัฒนาระบบ Meta Music สำหรับการสตรีมได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2023 Best of Innovation Award ในหมวดการสตรีมอีกด้วย
ทั้งนี้ สตาร์อัพ 7 ใน 8 บริษัทที่ได้เข้าร่วมเปิดบูธในงานนิทรรศการ C-Lab ได้แก่ NEUBILITY, 40FY, NdotLight, CELLICO, Plask, Catius, และ Wrtn Technologies สามารถคว้ารางวัล Innovation Awards ในปีนี้ไปครอง
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพที่แจ้งเกิดจาก C-Lab Inside ที่ปัจจุบันมีการดำเนินธุรกิจเป็นของตนเอง ได้คว้ารางวัลไปถึง 7 รายการ และสตาร์ทอัพศิษย์เก่าจาก C-Lab Outside 11 บริษัท ได้รับรางวัล Best of Innovation Awards จำนวน 2 รางวัล และรางวัล Innovation Awards จำนวน 20 รางวัล
ซัมซุงบรรลุเป้าหมายในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโปรเจ็กต์ 500 รายการในระยะเวลาเพียง 5 ปี
ในปี 2561 ซัมซุง ประกาศเป้าหมายในการพัฒนาสตาร์ทอัพเกาหลีใต้ 300 โครงการ ผ่าน โปรแกรม C-Lab Outside และ อีก 200 โครงการผ่าน C-Lab Inside โดยภายในระยะเวลา 5 ปี บริษัทมุ่งมั่นที่จะบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโครงการทั้งหมด 506 รายการ (304 จาก C-Lab Outside และ 202 จาก C-Lab Inside)
นอกจากนี้ ซัมซุงได้จัดตั้งโครงการ C-Lab Family ซึ่งเป็นเครือข่ายมืออาชีพอันโดดเด่น จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรวมตัวของศิษย์เก่าสตาร์ทอัพที่ยินดีทำงานร่วมกับซัมซุงแม้ว่าจะจบการศึกษาจากโครงการ C-Lab Outside ไปแล้ว หรือปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจของตัวเอง นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง C-Lab Scale-Up Committee และวางแผนที่จะค่อยๆ ขยายความร่วมมือและการลงทุนสำหรับ C-Lab Family ในอนาคต