บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S โดยคุณปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ และคุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ จัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รายงานผลการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมเผยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ปี 2567 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการสร้าง New All-Time High ในด้านรายได้และกำไรในทุกพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านปรัชญา “Go Beyond Dreams”
คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังการประชุมว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท กวาดรายได้รวมเติบโตขึ้นถึง 17% เป็นจำนวน 14,675 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไร 240 ล้านบาท ด้วยปัจจัยดังกล่าวที่ประชุมจึงอนุมัติจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.015 บาท โดยคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล 45.12% ของกำไรสุทธิหลังการปรับปรุงรายการ และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567
โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 สิงห์ เอสเตท มีสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปี 2567 จากผลตอบรับที่ดีจากตลาด ผนวกกับความสำเร็จจากการดำเนินการตามแผนพัฒนาที่สร้างไว้ในปี 2566 ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำรายได้รวมสูงสุดในประวัติการณ์ ตามเป้าหมายพร้อม New All-Time High ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ
ทั้งนี้ ในปี 2567 สิงห์ เอสเตท ยังเดินหน้าเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ เพื่อยกประสิทธิภาพการสร้างรายได้และการทำกำไร ภายใต้ปรัชญา Go Beyond Dreams ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exist ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีกลยุทธ์สำคัญในแต่ละธุรกิจ ได้แก่
1. กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ยังคงยึดหลักการ Best in Class พร้อมเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยคุณภาพในปี 2567 มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท อาทิ โครงการแบรนด์สริน (S’RIN) แห่งที่สอง เพื่อต่อยอดกระแสตอบรับและความต้องการที่ดีของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 2567 และโครงการเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ ภายใต้แบรนด์สมิทธ์ (SMYTH’S) เพื่อตอบรับ Real Demand ที่เติบโต ในกลุ่มที่พักอาศัยระดับบน ที่มีจำนวนยูนิตไม่มาก เน้นความเป็นส่วนตัว ทำเลใกล้เมืองและพื้นที่เมืองชั้นใน รวมถึงการเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการเปิดโอกาสเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2. กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR มุ่งเน้นการลงทุนโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของรายได้ในระยะยาว โดยยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวและบริการให้กับลูกค้า เช่นการปรับปรุงห้องพัก ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา ห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว สามารถ command ADR ได้สูงขึ้น 20 – 30% โดยในปี 2567 – 2568 จะเดินหน้าปรับปรุงโรงแรมศักยภาพในประเทศไทย และสหราชอาณาจักร ต่อเนื่องจากส่วนแรกที่ทำการปรับปรุงในปี 2566 รวมถึงการยกระดับและนำเสนอ Brand Concept ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับสากล ในขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ พร้อมมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ
3. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และใช้ช่องทางการขายที่หลากหลายและเหมาะสมต่อแต่ละสภาวการณ์ ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อเนื่องได้
“จากแนวทางกลยุทธ์ดังกล่าว เชื่อมั่นได้ว่า สิงห์ เอสเตท จะขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตขึ้น ผ่านการส่งมอบสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้าไปพร้อมกับพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน (Entrusted And Value Enricher) และปรัชญา ‘Go Beyond Dreams’ โดยเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ” คุณฐิติมา กล่าวเสริม
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SET: SHR) ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติ ในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ประกาศกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อยกระดับความสามารถในการสร้างกำไรต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท รุกผลักดัน EBITDA Margin เติบโตร้อยละ 3 – 5 โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลกำไร ยกระดับพอร์ตโฟลิโอผ่านการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญ ยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าพัก ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนโมเดล Asset-Light และขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ พร้อมสานต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน เดินหน้าเติมเต็มประสบการณ์การเข้าพัก ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ และศาสตร์แห่งอาหารที่ผูกพันกับท้องถิ่น
นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงข้อได้เปรียบจากสถานที่ตั้งโรงแรมของเราซึ่งอยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท และรักษาตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย โดยการปรับปรุงโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทฯ ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ในปี 2566 สำหรับโรงแรมในไทยและฟิจิให้สูงขึ้นร้อยละ 20 นอกจากนี้ การเปิดตัว โซ/ มัลดีฟส์ (SO/ Maldives) รีสอร์ทระดับ 5 ดาว ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงการ ‘ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์’ (CROSSROADS Maldives) ในการตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเติมเต็มให้ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เป็นผู้นำจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรที่สุดในหมู่เกาะมัลดีฟส์”
นอกจากนี้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุน จากการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่มียอดจองซื้อสูงเกินกว่าเป้าหมาย ปิดการขายด้วยมูลค่า 1,300 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนและรองรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต
สำหรับในปี 2567 เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร โดยตั้งเป้ารายได้รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท ด้วย 4 กลยุทธ์ ดังนี้
การดำเนินงานอย่างยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 5 ต่อปี ตามแผนของประเทศไทยในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 40 โดยคาดว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในกลุ่มโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ รวมถึง โซ/ มัลดีฟส์ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงร้อยละ 20 ในขณะที่การดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุ์สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ของบริษัทฯ ยังทำให้พบสิ่งมีชีวิต 21 สายพันธุ์ในกลุ่มสีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) อยู่บ่อยครั้งในพื้นที่โครงการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ของรัฐบาลมัลดีฟส์ เพื่อสนับสนุนพื้นที่อนุรักษ์นอกพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-Based Conservation Measures: OECMs) ภายในโครงการครอสโร้ดส์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3.1 ล้านตารางเมตร หรือกว่าร้อยละ 31 ของพื้นที่โครงการ โดยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอินเดีย
ยิ่งไปกว่านั้น เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การเข้าพัก ผ่านการนำเสนอโครงการด้านความยั่งยืนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล เกาะพีพี และมัลดีฟส์ ที่ตั้งเป้าต้อนรับผู้เข้าชมกว่า 50,000 คนในปี 2567 นี้ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมของชุมชน ไปจนถึงการใช้ผลผลิตและวัตถุดิบที่ปลูกและจัดหาจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเมนูจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (Farm to Table) และอาหารทะเลสดใหม่แก่แขกที่เข้าพักอีกด้วย
“ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถเดินตามแผนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเพิ่มพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาวของกลุ่มบริษัทสิงห์ เอสเตท ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการที่มีเอกลักษณ์และพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้เราสามารถตอบรับความต้องการใหม่ๆ และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นายไมเคิล กล่าวสรุป