ดีป้า ร่วมกับ จังหวัดปราจีนบุรี แถลงผลสำเร็จการพัฒนาพื้นที่ อำเภอศรีมหาโพธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบด้าน Smart Living ภายใต้โครงการ Si Maha Phot Smart Living Showcases ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลใน 3 ด้านสำคัญ เพื่อพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิต สนองตอบความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างตรงจุด พร้อมปูทางสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ของประเทศต่อไป

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย นางจารุณี กาวิล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมแถลงผลสำเร็จโครงการพัฒนาต้นแบบเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ Si Maha Phot Smart Living Showcases ด้วยการพัฒนาพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบด้าน Smart Living ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ความสำเร็จของโครงการ Si Maha Phot Smart Living Showcases เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิต ก่อนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจากดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ขึ้นทะเบียนกับ ดีป้า มาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหา (Pain Point) ของเมือง และตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนได้อย่างตรงจุดใน 3 ด้าน ประกอบด้วย

  • ด้านความมั่นคง โดยการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เพิ่มเติมจำนวน 30 จุด เชื่อมโยงกับกล้องวงจรปิดชุดเดิมและระบบซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการติดตาม กำกับดูแล ตรวจจับความผิดปกติ ก่อนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการบริหารงานจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์อิเล็กทรอนิกส์ (LED Billboard) เพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารอันเป็นประโยชน์ รวมถึงข้อมูลเมืองอัจฉริยะในด้านต่างๆ แก่ประชาชน

  • ด้านการศึกษา โดยดำเนินกิจกรรมยกระดับทักษะด้านดิจิทัล (Upskill) ให้กับบุคลากรครูจากโรงเรียนศรีมหาโพธิ และโรงเรียนมัธยมวัดใหม่กรงทอง ในพระราชูปถัมภ์ฯ กว่า 60 ราย ผ่านหลักสูตรการยกระดับทักษะดิจิทัลสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 และกิจกรรมแสดงผลงานการพัฒนาคุณครูต้นแบบการศึกษาแห่งยุคดิจิทัล (Si Maha Phot Education Showcases) เพื่อพัฒนาและต่อยอดศักยภาพ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนแก่บุคลากรครูในยุคดิจิทัล

  • ด้านการสาธารณสุข โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 100 ราย สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลสุขภาพ (Medical Devices)  เพื่อช่วยบันทึกและตรวจสอบข้อมูลสุขภาพผู้สูงวัย รวมถึงผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงภายใต้การดูแลของสาธารณสุขอำเภอศรีมหาโพธิกว่า 200 ราย จัดเก็บผ่านระบบ CM Square ซึ่งเป็นระบบติดตามหน่วยบริบาลผู้มีภาวะพึ่งพิง เพื่อกำหนดแผนการดูแลผู้สูงวัย และผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็ว แม่นยำ ทั่วถึง และเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาศรีมหาโพธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ยังคงต้องดำเนินการในเรื่องของการกําหนดเป้าหมายร่วมกันของคนในพื้นที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนศรีมหาโพธิเมืองอัจฉริยะในอนาคต การออกแบบสถาปัตยกรรมของเมืองใหม่ และการจัดทํา City Data Platform ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขยายผลจาก Smart Living ไปสู่ Smart ด้านอื่นต่อไป” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ขณะที่ นางจารุณี กล่าวว่า ชาวศรีมหาโพธิทุกคนปรารถนาที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพื้นที่ ซึ่งหมายถึงคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพร้อมที่จะต่อยอดและสร้างเสริมศักยภาพของพื้นที่สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบด้าน Smart Living ที่ยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การมีส่วนร่วมเพื่อออกแบบพื้นที่เมืองในครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถถอดบทเรียน เพื่อนำไปเป็นกลไกในการขับเคลื่อนพื้นที่ของตนเองไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะด้าน Smart Living ในบริบทที่เหมาะสมกับผู้คน ชุมชน และพื้นที่ต่อไป

สำหรับปี 2566 ดีป้า มีแผนที่จะขยายผลโครงการพัฒนาพื้นที่สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบด้าน Smart Living ในพื้นที่ 5 จังหวัด เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยต่อไป

เอสซีจี เปิดตัวโซลูชันตอบโจทย์ความต้องการในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ด้วยนวัตกรรมหลากหลาย รวมถึง “สมาร์ทลิฟวิ่ง” นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและชีวิตสะดวก สุขภาพดี และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

เมื่อไม่นานนี้ เอสซีจีจัดงาน SCG: The Next Chapter Exposition ที่สำนักงานใหญ่ บางซื่อ มีเหล่าวิทยากรและผู้บริหารหลากเจนเนอเรชัน จากหลายธุรกิจมาร่วมอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมในอนาคต บนเวที TALK ON STAGE คุย - คิด กับคนจริง - ครีเอท โซลูชันแห่งอนาคต

หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ คือ มารู้จัก SMART Living ธุรกิจเพื่อชีวิตอนาคต ซึ่งมี 2 ผู้บริหารอย่าง วชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Service Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ อภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มาร่วมแชร์ว่าสมาร์ทลิฟวิ่ง (Smart Living Solutions) ช่วยให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นได้อย่างไร

วชิระชัย กล่าวว่า สิ่งแรกที่สมาร์ทลิฟวิ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป คือ “อากาศ” โดยเฉพาะในยุคโควิด 19 ซึ่งมีการแพร่เชื้อไวรัสผ่านอากาศที่อยู่รอบตัวและสูดหายใจกันทุกวัน เอสซีจีจึงคิดค้นนวัตกรรมฆ่าเชื้อในอากาศที่เรียกว่า SCG Bi-ion และได้ติดตั้งในหลายสถานที่สำคัญ เช่น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ฯ ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุม APEC 2022 Thailand ศูนย์การค้า Terminal 21 Pattaya เพื่อคุณภาพของอากาศภายในอาคาร

SCG Bi-ion หรือระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศของเอสซีจี มีหลักการทำงานด้วยการปล่อยอนุภาคประจุบวกและลบ ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ในอากาศ เช่น เชื้อไวรัสรวมถึงตระกูลโคโรนาได้สูงสุดถึง 99%* และแบคทีเรียในอากาศ รวมถึงช่วยลดฝุ่น PM10-PM2.5 โดยอนุภาคไอออนนี้มีอยู่ตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยงขณะเปิดใช้งาน และมีการกำจัดเชื้อโรคแบบ Proactive ทันทีที่เปิดใช้เครื่องปรับอากาศ ทำให้มั่นใจในคุณภาพอากาศที่สะอาดปลอดภัยยิ่งกว่า (*ผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการ โดย Innovative Bioanalysis, Inc. ในสหรัฐฯ เมื่อช่วงธันวาคม 2564- กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Omicron ผลทดสอบพบว่า สามารถลดปริมาณไวรัสลงสูงถึง 99.945% เมื่อเปิดใช้งานไป 90 นาที)

นอกจากนี้ วชิระชัย กล่าวถึงนวัตกรรม SCG HVAC Air Scrubber ที่ช่วยฟอกอากาศในอาคารและประหยัดพลังงานสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับระบบปรับอากาศของอาคารแบบทั่วไป

“ถามว่าประหยัดพลังงาน 30% เยอะขนาดไหน เท่าที่คำนวณมา เราลดการปล่อยคาร์บอนได้ปีละ 530 ตัน หรือเทียบเท่าต้นไม้ 325,000 ต้น”

สำหรับ SCG HVAC Air Scrubber เป็นนวัตกรรมบำบัดอากาศเสียที่ลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ ช่วยให้คนที่อาศัยอยู่ในอาคารมีสุขภาวะที่ดี พร้อมลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึง ลดมลพิษในอากาศ ด้วยเทคโนโลยีดูดซับสารพิษกลุ่มก๊าซได้มากกว่า 30 ชนิด ซึ่งระบบปรับอากาศแบบทั่วไปใช้การระบายอากาศอย่างเดียว และยังลดต้นทุนของระบบปรับและระบายอากาศลงได้อีกจำนวนมาก อีกทั้งช่วยให้อาคารได้คะแนนมาตรฐานอาคารสีเขียว (LEED Certified) และมาตรฐานอาคารสุขภาวะ (WELL Certified)

นอกเหนือจากโซลูชันด้านคุณภาพอากาศแล้ว นวัตกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน วชิระชัยได้สาธิตอุปกรณ์คล้องคอที่เรียกว่า DoCare หรือโซลูชันเฝ้าระวังสุขภาพและความปลอดภัยของผู้สวมใส่แบบเรียลไทม์ เช่น หากให้ผู้สูงอายุสวมใส่และเกิดหกล้มหรือรู้สึกไม่ค่อยดี สามารถกดปุ่มขอความช่วยเหลือ ซึ่งจะต่อสายไปโอเปอเรเตอร์ให้เรียกรถพยาบาลมารับได้ทันที

ทั้งนี้ DoCare ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ Digital Platform ที่เชื่อมต่อบ้านกับโรงพยาบาล ช่วยให้การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยทำได้ที่บ้านง่ายแค่ปลายนิ้ว ระบบเก็บข้อมูลสุขภาพอัตโนมัติส่งตรงถึงโรงพยาบาล เช่น ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิร่างกาย น้ำหนักตัว จึงสามารถติดตามอาการและปรึกษาแพทย์พยาบาลได้แบบเรียลไทม์ พร้อมระบบขอความช่วยเหลือและแจ้งเตือนทันทีเมื่อเกิดเหตุผิดปกติ เช่น หกล้ม (Fall Detection)

“นวัตกรรมที่พูดไปทั้ง 3 อย่างนี้ใช้งานจริงแล้วนะครับ โดยเฉพาะ DoCare ใช้ช่วยคนเกินกว่า 100 เคสไปแล้ว” วชิระชัยเผย

ขณะที่อภิรัตน์ กล่าวถึงสมาร์ทลิฟวิ่งในมุมมองของตนว่า คำว่า สมาร์ท ต้องประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่ เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดดูแลชีวิตคนให้ดีขึ้นได้ เทคโนโลยีที่ให้ทุกคน รวมถึงผู้พิการและผู้สูงอายุเข้าถึงได้ และเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์สื่อถึงความเป็นไทย

จากนั้น อภิรัตน์ได้โชว์นวัตกรรม เครื่องคิดเลขพูดได้ (ONE Smart Calculator)” ที่คิดผลลัพธ์ได้ทันใจ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้การคำนวณเป็นเรื่องง่ายไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ทุกคนและทุกที่ ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติสมาร์ทครบทั้ง 3 ข้อที่กล่าวไป

นวัตกรรมเครื่องคิดเลขพูดได้ สั่งการด้วยเสียง ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขความซับซ้อนและลดเวลาในการหาคำตอบ เพียงแค่พูดก็จะทราบคำตอบทันทีผ่านระบบโต้ตอบที่เป็นภาษาไทย ในรูปแบบออฟไลน์ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการทางสายตา ผู้ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ โดยสามารถหาผลลัพธ์ของตัวเลขได้ตั้งแต่ บวก ลบ คูณ หาร ไปจนถึงระดับการถอดสมการ ซึ่งเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงยังสามารถนำไปใช้กับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อทำให้สิ่งของเหล่านั้นสื่อสารและโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้

นอกจากนั้น อภิรัตน์ ยังกล่าวถึง ก๊อกน้ำพูดได้ (ONE Smart Faucet)” ซึ่งเป็นก๊อกน้ำระบบสั่งการด้วยเสียงช่วยให้ผู้ใช้งานสั่งเปิด-ปิดควบคุมการใช้น้ำได้สะดวก สร้างจิตสำนึกร่วมกันประหยัดน้ำ ขณะเดียวกันยังเป็นมิตรต่อผู้พิการทางสายตา และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสจุดร่วมที่มักปะปนไปด้วยเชื้อโรค

“Next Chapter ของเอสซีจี คือการที่เราอยากจะดูแลชีวิตลูกค้าให้มีความสุข เราเคยดูแลมาอย่างดีในเรื่องที่อยู่อาศัย ในอนาคตเราอยากดูแลชีวิตทั้งชีวิตเลย ไม่ใช่เฉพาะที่อยู่อาศัย” อภิรัตน์กล่าว “เราจะเริ่มจากการออกแบบก่อน ต้องเข้าใจชีวิตคน ทำให้ใช้ง่าย เมื่อเข้าสู่ยุค IoT เราก็อยากดูแลในเรื่องสุขภาพ สมาร์ทลิฟวิ่ง และสมาร์ทซิตี้ด้วย”

รับชม “TALK ON STAGE: มารู้จัก SMART LIVING ธุรกิจเพื่อชีวิตอนาคต” ย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=oVuE2AQzveU และสามารถติดตามนวัตกรรมและข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://www.scg.com/esg/ https://scgnewschannel.com /Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel

ปัจจุบันทิศทางการใช้พลังงานของโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยมีแนวโน้มหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับ จากเทคโนโลยีที่พัฒนาและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ทำให้มีการเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนอยู่ที่ประมาณ 12% จากทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมถึงกลุ่มบ้านพักอาศัยก็เริ่มหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์กันมากขึ้น ซึ่งมีผลจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวโน้มอัตราค่าไฟที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์พลังงานผันผวนทั่วโลก เป็นต้น

นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ Vice President – Housing Products and Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร เราเล็งเห็นถึงการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น มุ่งเน้นในการพัฒนาโซลูชันให้ตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยในปัจจุบันได้อย่างสูงสุด ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างตื่นตัวต่อการใช้ระบบโซลาร์เป็นอย่างมาก ซึ่งในระยะหลังได้มีการนำระบบโซลาร์มาใช้ติดตั้งให้กับบ้านพักอาศัย เพื่อเป็นจุดขายสำหรับโครงการบ้านพักอาศัย และรวมถึงการใช้ไฟฟ้าจากระบบโซลาร์ในส่วนกลางของหมู่บ้านที่มีการใช้ไฟในช่วงกลางวัน ซึ่งทิศทางในอนาคต จะมีระบบการซื้อขายไฟในชุมชนเดียวกัน และระหว่างชุมชน ซึ่งจะทำให้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แพร่หลายมากยิ่งขึ้น"

ด้วยเหตุนี้ “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” จึงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความนิยมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างตรงจุด สัมผัสถึงนวัตกรรมขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ที่คุณมั่นใจ พร้อมส่งแคมเปญ ‘Home Energy Management” การบริหารจัดการพลังงานในบ้านได้ทั้งหลัง’ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านของคนยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม ยกระดับให้

การใช้ชีวิตในบ้านเป็น ‘Smart Living’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์รูฟ ที่มีทั้งระบบ On grid เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นหลัก และระบบ Hybrid ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิตในบ้าน สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุม ตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้อย่างเรียลไทม์ เพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังตอบโจทย์เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการมีสินค้าและบริการอย่างเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ซึ่งเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ พร้อมชูจุดแข็งด้วย 2 หัวใจหลัก คือ 1) มั่นใจไร้กังวล โดยมีกระบวนการตรวจสอบความพร้อมของหลังคา (Roof Health Check) เพื่อมั่นใจว่าหลังคามีความพร้อมในการติดตั้งแผงโซลาร์ และยังมั่นใจในความแข็งแรง ไม่รั่วซึมของหลังคา ด้วยนวัตกรรม Solar Fix เอกสิทธิ์เฉพาะเอสซีจี 2) One Stop Service ด้านการให้บริการและการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การตรวจสอบความพร้อมของหลังคาก่อนติดตั้งโซลาร์ ออกแบบ ติดตั้ง และขออนุญาตกับภาครัฐให้อย่างครบวงจร เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์ รูฟ เป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน และยังสามารถลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60% พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี อีกด้วย

“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้าขยายการเติบโตสู่ในตลาด Solar Rooftop สู่การเป็นผู้นำระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์ว่า จากแคมเปญ Home Energy Management จะทำให้ยอดขายในกลุ่มบ้านพักอาศัย ปี 2022 ขยับเติบโตแตะ 300% หรือเทียบ 3 เท่าจากปี 2021 นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม SMEs ที่ให้บริการโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 70% ของยอดขายทั้งหมด ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและการพัฒนาโซลูชัน จะช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งของเอสซีจีสู่ผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ เซลล์ แบบครบวงจรในกลุ่มบ้านที่พักอาศัย และเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพลังงานภายในบ้าน โดยตั้งเป้าหมาย ยอดขายที่ 2,000 ล้านบาท ในปี 2023” คุณวิโรจน์ กล่าวปิดท้าย

 

 

ดีป้า พร้อมภาคีเครือข่ายเดินหน้าพัฒนาพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบด้าน Smart Living

บริษัท ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด (THS Parking Solutions) ผู้ให้บริการระบบจอดรถอัตโนมัติอันดับหนึ่งของประเทศไทย

X

Right Click

No right click