

ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (True IDC) ผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เปิดตัว “AI Hyperscale Data Center” แห่งแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า การเปิดตัว AI Hyperscale Data Center ครั้งนี้ เป็นก้าวย่างสำคัญของประเทศไทยในการเข้าสู่ยุค Giga Data Center อย่างแท้จริง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไม่เพียงรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก พร้อมสำหรับอนาคตของ AI ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค นอกจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Data Center ยังก่อให้เกิดประโยชน์ด้านองค์ความรู้ต่อคนไทย
“การที่เราจะทำให้ทุกคน ทุกบริษัท ทุกอุตสาหกรรม เข้าถึง AI และ Cloud Technology ก็ต้องอาศัยโครงการพื้นฐานคือ Data Center นับเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศไทย เพราะนอกจากจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่คนไทย และอุตสาหกรรมไทยแล้ว ยังเกิดประโยชน์สู่ภูมิภาค ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคได้ และทำให้คนไทยได้รับองค์ความรู้จากการค้นคว้าวิจัยด้านดิจิทัลอีกด้วย” คุณศุภชัยกล่าว

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า “ผมขอแสดงความยินดีกับ True IDC ในโอกาสการเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ที่บริษัทไทยสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในระดับ Hyperscale ได้สำเร็จ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค เป็นประเทศที่มี ecosystem ด้านดิจิทัลที่แข็งแรงและพร้อมต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีต่อไปในอนาคต”

นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร True IDC เปิดเผยว่า AI Hyperscale Data Center แห่งใหม่นี้ คือโครงสร้างพื้นฐานที่มาช่วยยกระดับมาตรฐานดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย ทั้งด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม ความยั่งยืน มีความสามารถรองรับเวิร์กโหลดและลูกค้าระดับ Hyperscale ผ่านการออกแบบทุกมิติให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มที่ขับเคลื่อนด้วย Data Cloud และ AI เสริมศักยภาพประเทศไทยในการสร้างเทคโนโลยีด้วยตนเองอย่างมั่นคงและปลอดภัย”

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ถือเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ระดับเอไอไฮเปอร์สเกล (AI Hyperscale) ที่ออกแบบมาสำหรับการประมวลผล AI และเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ ให้บริการด้วยกำลังไฟฟ้ากว่า 20 เมกะวัตต์ สนับสนุนการประมวลผลที่ต้องการเสถียรภาพและความเร็วสูง ตลอดจนการประมวลผลของ GPU (Graphic Processing Unit) ตัวอาคารติดตั้งระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงด้วย Smart Fan Wall Unit และออกแบบให้รองรับการใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooling) พร้อมระบบสำรองสนับสนุนการทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์แบบ High Redundancy เพื่อรับรองการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ที่กำลังประมวลผลภายในดาต้าเซ็นเตอร์แบบไม่หยุดชะงัก ตลอดจนความต่อเนื่องของธุรกิจที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาวางภายในดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ พร้อมออกแบบให้มีการควบคุมประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วยการกำหนดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยการนวัตกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Innovation Lab) ภายในอาคารเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทดสอบและพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ สำหรับในทุกอุตสาหกรรม

AI Hyperscale Data Center แห่งนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต (New S-Curve Industries) ของประเทศ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), การแพทย์และสุขภาพดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ การเงินดิจิทัล (Fintech), คอนเทนต์ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาข้อมูลจำนวนมหาศาลและระบบประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง การมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยในประเทศจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศเท่าที่เคย
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และประธานกรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Global Infrastructure Partners (GIP) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BlackRock และ True IDC ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับและเร่งการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยให้ทัดเทียมระดับโลก รองรับการเติบโตของ AI และระบบคลาวด์ พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอาเซียน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคกิกะดาต้าเซ็นเตอร์" (Giga Data Center Age) ซึ่ง “ข้อมูล หรือ Data” คือ “New Oil” จึงทำให้ "ข้อมูล" คือทรัพยากรที่มีมูลค่ามากที่สุด และต้องการ Data Center เพื่อประมวลผล ดังนั้น “Data Center จะเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่” ซึ่งในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Giga Center จะเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยต้องคว้าไว้ ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก ด้วยเหตุนี้ซีพีนำโดย True IDC ซึ่งผู้ให้บริการ ดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์อันดับ 1 ของไทย จึงพร้อมที่จะ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Global Infrastructure Partners (GIP) บริษัทชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกภายใต้เครือ BlackRock กลุ่มทุนการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่จะ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยให้เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์และ AI อันดับ 1 ของอาเซียน รองรับการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก
“ความเชี่ยวชาญระดับโลกของ GIP ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน ผสานกับ จุดแข็งของ True IDC ในด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านเครือข่ายการเชื่อมต่อ และโซลูชันพลังงานหมุนเวียน จะช่วยขยายศักยภาพของ True IDC ให้ก้าวไกลไปสู่ระดับอาเซียน” ซีอีโอ ซีพี กล่าว

ในขณะเดียวกัน นายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และ กรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock กล่าวว่า “การเติบโตของปริมาณข้อมูลและ AI จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากจากภาคเอกชนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญรองรับความต้องการทั่วโลก เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มซีพีและ True IDC เพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย”

พร้อมกันนี้ นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร True IDC กล่าวว่า “True IDC มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนมาโดยตลอด โดยความร่วมมือกับ GIP ครั้งนี้ จะช่วยเร่งให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงเร็วขึ้น ปัจจุบันธุรกิจไฮเปอร์สเกลและเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ True IDC สามารถขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรักษาตำแหน่งผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับหนึ่งของไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งมั่นใจว่า GIP ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก จะเข้ามาเสริมศักยภาพของ True IDC ให้สามารถขยายธุรกิจสู่ระดับอาเซียนได้เต็มรูปแบบ ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสนับสนุนระบบนิเวศและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กำลังเติบโตของภูมิภาคนี้”

ความร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลต่อการเติบโตของ True IDC อย่างมีนัยสำคัญ โดยในอีก 3–5 ปีข้างหน้า True IDC มีแผนลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 35,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ True IDC ยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานและธรรมาภิบาล ตลอดจนขยายการให้บริการไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ทั้ง True IDC และ GIP มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนให้แก่กัน เพื่อวางรากฐานและต่อยอดการเติบโตด้านเทคโนโลยีในทุกบริบทอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่าง True IDC และ GIP-BlackRock ไม่ได้เป็นเพียงการขยายธุรกิจเท่านั้น แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน ท่ามกลางกระแสโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI และ Cloud อย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้คือการผนึกกำลังระหว่างผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของไทย กับบริษัทโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลก นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ที่จะวางรากฐานให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก True IDC และ GIP พร้อมเดินหน้าสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และทรงอิทธิพลในเศรษฐกิจดิจิทัลระดับสากล เพราะไทยจะไม่เป็นเพียงแค่ "ผู้ใช้เทคโนโลยี" แต่จะก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภูมิภาค อย่างแท้จริง
ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”
ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”
ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน
การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง
ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ สร้างชื่อเสียงในระดับประเทศ คว้ารางวัล Sustainability Impact Award 2024 จากการประกวดโครงการด้านความยั่งยืนของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน รางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อยกย่ององค์กรที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โลกที่ยั่งยืน ผ่านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีบริษัทชั้นนำหลากหลายแห่งทั่วโลกร่วมส่งผลงานเข้าประกวด และในครั้งนี้ ทรู ไอดีซี ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะในระดับประเทศ (Country Winner)
ความสำเร็จของ ทรู ไอดีซี ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นเลิศในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การวางกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน (Strategize) การปรับใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน (Digitize) และ การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonize) โดย นายเสน่ห์ ผิวรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ทรู ไอดีซี เป็นผู้แทนรับมอบรางวัลอันทรงเกียรติจาก นายวิทยา วรัญญชัยชนะ รองประธานกลุ่มธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย

นายเสน่ห์ ผิวรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ของทรู ไอดีซี เผยว่า “รางวัลนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับทรู ไอดีซี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์อันดับหนึ่งของไทย เราได้ดำเนินโครงการหลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ การนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยี AI มาปรับอุณหภูมิของดาต้าเซ็นเตอร์แบบเรียลไทม์ การใช้โซลูชันการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ที่จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน รวมถึงการมีคณะทำงานด้านความยั่งยืนแบบเชิงรุกเพื่อสรรหาและปรับใช้นวัตกรรมรูปแบบต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนตามแนวปฏิบัติของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)”

นายวิทยา วรัญญชัยชนะ รองประธาน กลุ่มธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย กล่าวว่า “เราขอแสดงความยินดีกับทรู ไอดีซีสำหรับตำแหน่ง Country Winner ของรางวัล Sustainability Impact Awards 2024 ซึ่งถือเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างแท้จริง ความสามารถของทรู ไอดีซีในการดำเนินงานครอบคลุมทั้งสามหัวใจหลักของการประกวดนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่อุตสาหกรรม ทางชไนเดอร์ อิเล็คทริคมีความยินดีและพร้อมสนับสนุนทรู ไอดีซีอย่างต่อเนื่องด้วยโซลูชันด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เราเชื่อว่าความร่วมมือกันจะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความยั่งยืนและส่งผลเชิงบวกในวงกว้างทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป”

ทรู ไอดีซี เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาความยั่งยืนตั้งแต่ระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะเป็นรากฐานอันมั่นคงที่คอยสนับสนุนการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงเดินหน้าต่อยอดในมิติใหม่ ๆ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน สามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ทรู ไอดีซี ผู้นำการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ของประเทศไทยลงทุนเพิ่มกว่า 10,000 ล้านบาท ในการขยายศักยภาพธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ครั้งใหญ่ โดยการลงทุนนี้จะประกอบไปด้วยหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการขยายดาต้าเซ็นเตอร์ที่ ทรู ไอดีซี อีสต์ บางนา แคมปัส และทรู ไอดีซี นอร์ท เมืองทอง โครงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเพื่อก้าวเป็น Green Data Center เต็มรูปแบบ และโครงการพัฒนาความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ตลอดระยะเวลา3 ปี ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2570 โดยโครงการทั้งหมดจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับบริษัทฯ ในการรองรับธุรกิจของไฮเปอร์สเกลเลอร์ ผู้ให้บริการโอทีที และผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศที่กำลังยกขบวนเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ขึ้นแท่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย
การลงทุนหลักจะเน้นการขยายดาต้าเซ็นเตอร์โครงการทรู ไอดีซี อีสต์ บางนา แคมปัส และโครงการ ทรู ไอดีซี นอร์ท เมืองทอง โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานดาต้าเซ็นเตอร์ให้กับประเทศไทยในการรองรับการเข้ามาของธุรกิจระดับโลก เช่น ผู้ให้บริการระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (Hyperscaler) อย่างระบบคลาวด์และระบบโซเชียลมีเดีย ผู้ให้บริการสื่อผ่านอินเทอร์เน็ต (Over-the-Top; OTT) อย่างระบบคอนเทนต์สตรีมมิง ตลอดจนธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีการปรับใช้และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการดิจิทัลออกสู่ตลาดโดยเฉพาะด้าน AI ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยทั้งสองโครงการจะมีพื้นที่ให้บริการกว่า 60,000 ตารางเมตร ก่อสร้างตามมาตรฐาน Uptime และ TIA-942 ส่งมอบความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจด้วยรูปแบบการให้บริการแบบ Build-to-Suit ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถออกแบบการวางอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รูปแบบต่าง ๆ เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ประเภทเน้นการประมวลผลขั้นสูงที่รองรับเทคโนโลยี AI (High Density Computing) ระบบคอมพิวเตอร์ประเภทใช้ของเหลวเพื่อปรับอุณหภูมิ (Liquid Cooling Computing) ตลอดจนลูกค้าสามารถกำหนดการใช้พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ของตนเองได้ในปริมาณที่สูงและมีความอิสระมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการขยายปริมาณไฟฟ้าอีกจำนวน 41 เมกะวัตต์ ซึ่งส่งผลให้ ทรู ไอดีซี สามารถให้บริการด้วยกำลังไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเมื่อรวมกับกำลังไฟฟ้าเดิม อีกทั้งยังมีการควบคุมประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า (Power Usage Effectiveness: PUE) ไว้ที่ระดับต่ำที่สุดในไทย ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่มีการเชื่อมต่อโครงข่ายเสรีด้วยระบบเน็ตเวิร์ก 4 เส้นทางแบบอิสระจากกัน การันตีการเข้าถึงและส่งผ่านข้อมูลอย่างไร้รอยต่อ พร้อมบริการเชื่อมต่อตรงไปยังระบบคลาวด์ต่างประเทศและบริการ Internet Exchange ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างฉับไวกว่าการเชื่อมต่อแบบทั่วไป โครงการขยายดาต้าเซ็นเตอร์ดังกล่าวคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในตั้งแต่ช่วงปี 2568

ยกระดับความยั่งยืนตั้งแต่รากฐานดิจิทัล
การลงทุนส่วนถัดมาจะเป็นโครงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเพื่อก้าวเป็น Green Data Center เต็มรูปแบบ ซึ่งทรู ไอดีซีเล็งเห็นว่าความยั่งยืนทางดิจิทัลต้องเริ่มพัฒนาตั้งแต่ระดับโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ตั้งแต่การออกแบบอาคารสีเขียวตามมาตรฐาน Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) เน้นการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ระบบและอุปกรณ์ที่สนับสนุนความยั่งยืน เช่น อุปกรณ์ที่ปราศจากสารซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ (SF-6) การใช้แบตเตอรี่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เป็นต้น ในด้านของพลังงานไฟฟ้าที่มีการนำร่องติดตั้งระบบโซลาร์เซลส์ไปในดาต้าเซ็นเตอร์เฟสก่อนหน้า จะนำเอาพลังงานสะอาดรูปแบบอื่นอย่างพลังงานลมและเซลส์เชื้อเพลิงมาใช้ควบคู่ในเฟสใหม่ด้วย และภายนอกดาต้าเซ็นเตอร์จะมีการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยจะผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลส์ที่ติดตั้งบริเวณหลังคาของพื้นที่จอดรถเพื่อสนับสนุนการใช้งานพลังงานสะอาดให้กับผู้ใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ทรู ไอดีซีได้ตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะผลักดันธุรกิจสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2,573 อีกด้วย
ผนึกความอัจฉริยะคู่กับการบริหารจัดการแบบฉบับสากล
ทรู ไอดีซี ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีความเป็นเลิศมากยิ่งขึ้น จะเพิ่มการใช้งานซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์อัจฉริยะ (AI Data Center Infrastructure Management) ผสานการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ไอโอทีและเซนเซอร์เพื่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์พร้อมการวิเคราะห์ผลจากศูนย์กลางแห่งเดียว เพิ่มการกำกับดูแลและรักษาสมดุลอุณหภูมิภายในดาต้าเซ็นเตอร์ให้อุปกรณ์และระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความร้อนให้สูงทำงานได้อย่างราบรื่น การดำเนินงานทั้งหมดของดาต้าเซ็นเตอร์ได้ถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้แนวทางปฎิบัติของมาตรฐาน Uptime ระดับ Tier III Gold ซึ่งทางทรู ไอดีซีได้รับการรับรองเพียงหนึ่งเดียวในไทยและอินโดไชน่า ครอบคลุมในเรื่องการบำรุงรักษาเชิงรุก การสำรองอุปกรณ์ซัพพอร์ตระบบ การตรวจสอบระบบอย่างถี่ถ้วน ปฎิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะและประสบการณ์สูง ช่วยให้การดำเนินงานด้านไอทีของลูกค้าเป็นไปอย่างไร้กังวล

นายธีรพันธุ์ เจริญศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไปของทรู ไอดีซี เปิดเผยว่า “การเติบโตของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ในปี 2024 นั้นมีการคาดการณ์จาก USDC Technology ว่าจะเติบโตสูงถึง 12.9% และมีมูลค่าตลาดถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 122,500 ล้านบาท ประกอบกับการคาดการณ์การเติบโตของการใช้งานเทคโนโลยี AI ในเอเชียจาก Statista ในปี 2023 ถึง 2030 ว่าจะเติบโตสูงสูงถึง 19.5% เราจึงตระหนักและเล็งเห็นว่าการลงทุนในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ครั้งนี้จะสร้างโอกาสใหม่ให้กับเศรษฐกิจของไทยและอาเซียน ตลอดจนสนับสนุนชีวิตดิจิทัลของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นและยั่งยืนขึ้น เพราะธุรกิจเราเป็นรากฐานที่จะรองรับการต่อยอดทางเทคโนโลยีของธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลและยุคของ AI ที่ผู้เล่นจากต่างประเทศก็ต่างพากันเข้ามาทำธุรกิจ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อันดับหนึ่งของไทยและดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 20 ปี เรายังคงต้องเพิ่มศักยภาพและพัฒนาบริการให้ครอบคลุมตอบโจทย์ของทุกธุรกิจให้มากที่สุด”
ผู้ที่สนใจใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และบริการระบบคลาวด์ของทรู ไอดีซี หรือต้องการเยี่ยมชมศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.trueidc.com/th/contact หรือ โทรฯ 02-494-8300