December 05, 2025

ความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” ก็ได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าว ขนมปัง หรือผลไม้บางชนิด ที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา

วันนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมแนะการปรับพฤติกรรมเพื่อปิดสวิตช์ความเสี่ยงเบาหวานก่อนจะสายเกินไป

ไขข้อสงสัย ‘โรคเบาหวาน’ คืออะไร มีกี่ประเภท

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายเพิ่มเติมว่า "โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด ต่อมาคือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว และสุดท้ายคือกลุ่มเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน"

“น้ำตาลทราย” ไม่ใช่ผู้ร้ายเพียงคนเดียว ชวนเข้าใจ “น้ำตาลแฝง-วิถีชีวิตไม่ดี” ปัจจัยเร่งโรคเบาหวาน

การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’ จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะในข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย และความเครียด

 “ความเครียด” ภัยเงียบกระตุ้นเบาหวานที่หลายคนมองข้าม

ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ หากมีความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

“ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม ‘กินคลายเครียด’ โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมัน และอาจนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำ ซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวม ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน” นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบาย

 รวมสัญญาณเตือนที่ต้องไปตรวจโรคเบาหวานด่วน

นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล เล่าว่า “ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”

 “โรคเบาหวาน” ยิ่งตรวจพบไว ยิ่งดูแลได้ง่าย

วิธีการตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้ว แม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายถึงวิธีรักษาว่า “หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะโรคสงบ (Remission) ส่วนเบาหวานชนิดอื่นแพทย์จะดูแลตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างใกล้ชิด”

 ปรับพฤติกรรม-ดูแลใจ ปิดสวิตช์โรคเบาหวาน

การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่าย ๆ จากปรับการกิน โดยลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดีเพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาว ที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี

“หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่า อยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปี กินและออกกำลังกายให้พอดี รู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลาย ก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราว แบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป” นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต เวลาทำการ 07:00 – 19:00 น. โทร. 02-079-0070 หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือใช้บริการปรึกษาหมอออนไลน์

“ออกกำลังกายเป็นประจำ กินคลีนทุกวัน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็นโรคหัวใจได้ยังไง?” คำถามนี้อาจเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย เพราะเชื่อว่าแค่ดูแลสุขภาพให้ดีก็เพียงพอแล้ว แต่ความเป็นจริง โรคหัวใจไม่ได้เลือกเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเท่านั้น แม้คนที่ดูแข็งแรงจากภายนอกก็อาจไม่รู้ตัวว่าหัวใจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างอยู่

การออกกำลังกายแม้จะช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคหลายชนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันโรคหัวใจได้ 100% โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบแฝง ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้

หัวใจวายเฉียบพลันไม่ใช่เรื่องไกลตัว

หลายครั้งเราพบข่าวนักวิ่งมาราธอนในวัยเพียง 20–30 ปี ล้มหมดสติขณะวิ่ง และเสียชีวิตด้วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว หรือประวัติเจ็บป่วยใด ๆ มาก่อน

เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนว่าโรคหัวใจสามารถคุกคามได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ และมั่นใจในสุขภาพของตนเองมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายหนักโดยไม่ตรวจสุขภาพก่อน หรือคิดว่าออกกำลังกายแล้วสามารถกินอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น โรคหัวใจแต่กำเนิด ลิ่มเลือดอุดตัน และภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ล้วนเกิดขึ้นได้แม้ในผู้ที่ดูสุขภาพดีจากภายนอก

แพทย์หญิง ฐิศิรักน์ ฉินนะโสต แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ กล่าวว่า แม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารดี แต่หากมีพันธุกรรมของโรคหัวใจ หรือมีไขมันสะสมในเลือด ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ หลายคนเสียชีวิตกะทันหันเพราะไม่เคยตรวจสุขภาพหัวใจมาก่อน ความฟิตของร่างกายภายนอกไม่ได้สะท้อนความแข็งแรงของหลอดเลือดหัวใจภายใน ดังนั้น ผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอัลตราซาวด์หัวใจ เพื่อประเมินภาวะหัวใจ สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจสุขภาพหัวใจก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายอย่างจริงจัง

โรคหัวใจหลายชนิด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนา อาจไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งเกิดเหตุฉับพลัน และอาจเกิดได้แม้ในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจน เช่น โรคอ้วนหรือเบาหวาน ดังนั้น การดูแลหัวใจที่ดีจึงไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่คือการเฝ้าระวัง ป้องกัน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม

สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ควรสังเกตอาการผิดปกติต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ เจ็บหน้าอกขณะออกกำลังกายหรือมีอาการเจ็บหน้าอกร้าวมายังแขนซ้าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ เหนื่อยหอบแม้ในขณะพัก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หมดสติระหว่างออกกำลังกาย ขาบวมหรือข้อเท้าบวม หายใจไม่สะดวกเวลานอนราบ รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจในระยะเริ่มต้น หรือภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที

อาหาร…ตัวแปรสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างอาจจะควบคุมได้ เช่น ออกกำลังกายพอเหมาะ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่เรื่องอาหารเป็นหนึ่งปัจจัยที่ใครหลายคนยังคงละเลย ทั้งที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาว ซึ่ง ดร.ปัทนภา ศรีชมเชย นักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้อำนวยการสายงานปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และบริการการศึกษา โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ กล่าวว่า อาหารที่ดีต่อหัวใจไม่จำเป็นต้องมีรสจืดจนกินไม่ได้ แต่ควรเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของหัวใจ และลดอาหารที่มีผลเสียต่อหลอดเลือด

หลักการกินเพื่อหัวใจที่แข็งแรง ได้แก่ การเพิ่มผักและผลไม้หลากสีในทุกมื้อโดยเน้นผักสดและผลไม้ไม่หวานจัด เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ซึ่งอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ลดปริมาณเกลือและน้ำตาล หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ เปลี่ยนจากแป้งขัดขาวเป็นธัญพืชไม่ขัดสี งดหรือจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 

เข้าถึงการรักษาโรคหัวใจง่ายขึ้น ด้วยสิทธิ์ประกันสังคมที่ รพ.วิมุต-เทพธารินทร์

โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจแบบองค์รวม โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทาง ทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมทำงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อดูแลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน

ล่าสุด โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการรักษาโรคหัวใจได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใน 7 รายการสำคัญ ได้แก่ การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดถาวร การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจและการจี้ไฟฟ้าหัวใจ การใส่เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจชนิดกระตุ้นหัวใจห้องล่างสองห้องพร้อมกัน และการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ 3 มิติ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิ์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2568

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ Heart Coordinator โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ โทร. 095-241-4242 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากต้องการคำแนะนำด้านอาหารและการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคหัวใจ สามารถนัดหมายกับนักกำหนดอาหารและทีมสหสาขาวิชาชีพได้ที่ โทร. 02-348-7000

เร่งสร้างความตระหนักรู้ “ลำไส้ดี-ชีวิตดี” หลังคนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้สูงขึ้น 2.4 เท่า

เปิดเกมรุกตลาดใหญ่ “Sleep Economy เศรษฐกิจการนอน” เมกะเทรนด์มาแรงรับสังคม “นอนไม่ดี” สถิติคนไทย “นอนกรน” เสี่ยง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ภัยเงียบคุกคามคนไทยกว่า 3 ล้านคน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ร่วมต้อนรับเดือนแห่งวันแม่ด้วยการสนับสนุนให้ผู้หญิงรู้เท่าทันและพร้อมรับมือกับโรคร้ายผ่านการตรวจสุขภาพในแคมเปญ HAPPY MOTHER’S DAY 2024” เพื่อมอบสุขภาพดีเป็นของขวัญให้คุณแม่ทุกช่วงวัย โดยจัดทำโปรแกรมตรวจสุขภาพราคาโปรโมชัน

  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Healthy Life (สำหรับคุณแม่อายุ 20 – 30 ปี) ราคา 4,900 บาท
  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Better Life (สำหรับคุณแม่อายุ 40 – 50 ปี) ราคา 8,900 บาท
  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Premium Life (สำหรับคุณแม่อายุ 50 ปีขึ้นไป) ราคา 15,900 บาท

นอกจากนี้ เมื่อซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ ยังสามารถรับสิทธิ์แลกซื้อรายการตรวจเพิ่มเติมในราคาประหยัด อาทิ

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ราคา 590 บาท (จากปกติ 1,300 บาท)
  • วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ราคา 990 บาท (จากปกติ 1,700 บาท)
  • วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ราคา 1,500 บาท (จากปกติ 3 เข็ม 7,900 บาท)
  • วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม ราคา 2,990 บาท (จากปกติ 3,800 บาท)
  • ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกเพื่อค้นหาภาวะกระดูกพรุน ราคา 2,200 บาท (จากปกติ 5,200 บาท)
  • ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (HPV DNA) ราคา 2,790 บาท (จากปกติ 3,600 บาท)
  • ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน ราคา 1,990 บาท (จากปกติ 6,500 บาท)
  • ตรวจแคลเซียมและหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ราคา 1,990 บาท (จากปกติ 8,000 บาท)
  • ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ราคา 2,490 บาท (จากปกติ 8,500 บาท)
  • ฟอกสีฟัน ราคา 15,000 บาท (จากปกติ 18,000 บาท)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพและรับสิทธิ์แลกซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2567 และสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2567 รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก www.theptarin.com

Page 1 of 6
X

Right Click

No right click