

การตรวจสุขภาพนับเป็นอีกหนึ่งเช็คลิสท์ที่คนในปัจจุบันให้ความสนใจ โดยเฉพาะคนรักสุขภาพ ที่นิยมเข้ารับการตรวจเป็นประจำทุกรอบปี ซึ่งการตรวจสุขภาพ คือ การคัดกรองโรคเบื้องต้น และเป็นการหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค เช่นตรวจ ตับ ไต เพื่อรักษาโรค หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะได้สามารถรักษาดูแล ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ซึ่งหลายคนอาจตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ก็ยังพบว่าสุขภาพไม่ดีขึ้น มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง อาการที่มักพบในคนยุคปัจจุบัน อาทิ นอนไม่หลับ ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน ปวดศีรษะไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส หรือ การตรวจสุขภาพเชิงลึก ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพที่เข้ามามีบทบาท ด้วยจุดเด่นที่การตรวจสุขภาพเชิงลึกเฉพาะบุคคลอย่างเจาะจง เพื่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพถึงต้นตอของสาเหตุ ที่หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน
นายแพทย์พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า การตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส หรือ การตรวจสุขภาพเชิงลึก เป็นการตรวจสุขภาพเชิงลึกเฉพาะบุคคลอย่างเจาะจง และตรวจสุขภาพแบบองค์รวม เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพ และป้องกันความเสี่ยงที่อาจก่อให้โรค ซึ่งกำลังได้รับความสนใจ และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รู้สึกอยากสร้างสมดุลสุขภาพ และใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากพื้นฐานร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน การตรวจสุขภาพพื้นฐานทั่วไปอาจจะไม่เพียงพอ หรือไม่ครอบคลุมต่อความเสี่ยงจากไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกันอย่างมากในยุคปัจจุบัน การตรวจสุขภาพเชิงลึกสามารถวิเคราะห์ถึงความไม่สมดุลในระบบการทำงานของร่างกาย ที่อาจเป็นต้นตอของอาการไม่พึงประสงค์เรื้อรังหลายอาการ ที่คนในยุคปัจจุบันมักต่างเคยประสบปัญหาจนคุ้นชินโดยไม่รู้ตัว อาทิ อาการนอนไม่หลับ รู้สึกเบิร์นเอ้าท์ ปวดหัวเรื้อรัง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ไปจนถึง ภูมิแพ้ ลำไส้แปรปรวน ภาวะหดหู่ซึมเศร้า ซึ่งการปรับสมดุลร่างกายจะช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน จากการทำงานของร่างกายที่เต็มประสิทธิภาพ
การตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส สามารถตรวจวิเคราะห์เชิงลึก โดยตรวจระบบภายในร่างกายหลัก ๆ 4 ด้าน ได้แก่ ระบบฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ สารพิษโลหะหนักตกค้างในร่างกาย และค่าการอักเสบ โดยวิเคราะห์องค์รวมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่สัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อกัน เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ ต้นตอ จากการที่ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ และส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งการตรวจสุขภาพเชิงเวลเนส ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง หรือผู้ที่อยากหยุดยาประจำที่ทานอยู่ เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสุขภาพจากต้นเหตุอย่างตรงจุด และเข้าใจพื้นฐานร่างกายของตนเอง ตลอดจนนำไปสู่การปรับสมดุลพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
การตรวจระบบตรวจฮอร์โมน ฮอร์โมน คือ สารเคมีที่มีผลต่อทุกระบบการทำงานของร่างกาย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายมีสมรรถภาพแข็งแรง หากฮอร์โมนขาดสมดุล ความเสื่อมและประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายจะลดลง กลายเป็นอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนในกลุ่มความเครียดอย่าง “คอร์ติซอล” (Cortisol) และ “อะดรีนาลีน” (Adrenaline) ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดอย่างเหมาะสม หากขาดสมดุลจะส่งให้อารมณ์แปรปรวนง่าย หรือเครียดง่ายกว่าปกติ นอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก ขณะที่ “เอสโตรเจน” (Estrogen) ขาดสมดุลจะส่งผลให้เป็นสิวบ่อย ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ลดน้ำหนักตัวไม่ลง เป็นต้น ทั้งนี้ ฮอร์โมนขาดสมดุลมีโอกาสเกิดได้ไม่ว่าจะเพศหรือวัยใด การตรวจตรวจระบบฮอร์โมนเพื่อเช็คความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ปัจจุบันสามารถตรวจด้วยด้วยวิธี การเจาะเก็บตัวอย่างเลือด และการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ โดยแพทย์จะแนะนำวิธีการตรวจที่เหมาะสมในแต่ละกรณี
การตรวจวิตามินและแร่ธาตุ ปัจจุบันมีผู้ขาดแร่ธาตุและวิตามินเพิ่มมากขึ้นจากการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การกินอาหารไม่ได้คุณภาพทางโภชนาการและมีสารปนเปื้อนมากขึ้น ส่งผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินของร่างกาย หรือการรับประทานแต่อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูป ที่มีสารอาหารไม่ครบ โดยหลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้ตระหนักว่าการขาดวิตามินและแร่ธาตุสามารถเกิดขึ้นกับตัวเองได้ ซึ่งการขาดแร่ธาตุและวิตามิน ส่งผลต่อระบบภูมิต้านทานลดลง ผมร่วง เป็นผื่นคัน เป็นต้น
การตรวจสารพิษและสารโลหะหนักตกค้างในร่างกาย โดยวิถีชีวิตในปัจจุบันไม่อาจหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากโลหะหนักและสารพิษ ไม่ว่าจะควันจากท่อไอเสียรถยนต์ อาหารที่รับประทาน บรรจุภัณฑ์และภาชนะที่ใส่อาหาร หรือแม้แต่การทำสีผม การทาเล็บ ทั้งนี้ การได้รับโลหะหนักสะสมไปเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา โดยอาการเบื้องต้นที่บ่งบอกว่ามีสารพิษโลหะหนักสะสมในร่างกายมากเกินไป มีดังนี้ ปวดศีรษะบ่อย ๆ อ่อนเพลีย นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับโดยไม่พบสาเหตุอื่น ปัจจุบันเราสามารถตรวจหาสารพิษและสารโลหะหนักตกค้างในร่างกายได้ทั้งจากการตรวจแบบเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจด้วยโคนเส้นผม และแบบ Oligoscan ซึ่งเป็นการตรวจทางเนื้อเยื่อที่ฝ่ามือด้วยการสแกนจุดบนผ่ามือโดยไม่ต้องเจาะเลือด
การตรวจหาค่าการอักเสบในร่างกาย หรือ การตรวจหาระดับ (CRP) จะเป็นการตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงการอักเสบในร่างกาย ประเมินการอักเสบเรื้อรัง และการบาดเจ็บ หากเซลล์เกิดการอักเสบ ระดับ CRP ก็จะสูงและอาจก่อให้เกิดเป็นปัจจัยนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เป็นต้น
ปัจจุบันมีการตรวจสุขภาพองค์รวม ที่ครอบคลุมการตรวจทุกระบบ ทั้งการตรวจพื้นฐาน ระบบฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ สารพิษโลหะหนักตกค้างในร่างกาย และค่าการอักเสบในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือผู้ที่ต้องการตรวจสมดุลสุขภาพเชิงป้องกันที่เจาะลึกโดยเฉพาะบุคคลมากกว่า
การตรวจสุขภาพพื้นฐาน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนในการดูแลสุขภาพ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับผลวิเคราะห์ จะช่วยให้การดูแลสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
W9 Wellness Center เผยฝุ่นพิษ PM 2.5 ภัยเงียบสะสม คร่าชีวิตประชากรโลก 7 ล้านคนต่อปี พบประเทศไทยเผชิญฝุ่นพิษ อากาศแย่ติดอันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับที่ 36 ของโลก ค่า PM 2.5 เฉลี่ย 23.3 ไมโครกรัม สูงกว่าค่าอากาศมาตรฐาน 4.7 เท่า WHO ชี้ค่า PM 2.5 อยู่ในกลุ่มฝุ่นพิษสารก่อมะเร็ง เป็นฉนวนกระตุ้นเกิดโรคภูมิแพ้ และโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ เปิด 5 กลุ่มเสี่ยง รับพิษจากฝุ่นจิ๋วเข้าสู่ร่างกาย ชี้ 7 สัญญาณเตือนระดับสารพิษสะสมสูง แนะทริคป้องกัน-ดูแลสุขภาพเชิงเวลเนส รับมือปัญหามลภาวะฝุ่นพิษคุกคามจากสารพิษโลหะหนักทางอากาศขนาดเล็ก แนะทางเลือกเร่งการขับสารพิษ ป้องกันและลดการทำลายเซลล์ รวมทั้งเสริมเกราะภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
นายแพทย์พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญศึกหนักกับมลภาวะฝุ่นพิษ PM 2.5 สารโลหะขนาดเล็กที่ลอยปนเปื้อนในอากาศแทบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ เป็นภัยเงียบร้ายแรง ข้อมูลจาก IQAir Global ผู้ติดตามคุณภาพอากาศทั่วโลกรายงานว่า PM 2.5 คร่าชีวิตประชากรโลกไปกว่า 7 ล้านคนต่อปี โดยพบว่าในปี 2567 คุณภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แย่ลงกว่าปีที่ผ่านมา มีปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 เพิ่มขึ้นกว่า 20% ขณะเดียวกันพบว่าประเทศไทย เป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับที่ 36 ของโลก ที่มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 พุ่งสูงเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 4.7 เท่า
ทั้งนี้ ฝุ่นพิษ PM 2.5 คือภัยเงียบที่กระตุ้นการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. ผู้ที่สูบบุหรี่ ฝุ่น PM 2.5 เร่งการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง และยังเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งปอด โดยคนทั่วไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้มากถึง 1.4 เท่า แต่สำหรับคนที่สูบบุหรี่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นเป็น 2 เท่า 2. ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ จะมีความไวต่อการกระตุ้นจากฝุ่น PM 2.5 หรือสารก่อภูมิแพ้ ทำให้สมรรถภาพปอดลดลง และเกิดอาการหอบหืดกำเริบ 3. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด จากงานวิจัยสรุปว่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็ง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งทำให้เกิดอาการหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออัมพฤกษ์ อัมพาตได้ 4. ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง ฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นสารก่อมะเร็งที่มีความร้ายแรง อาทิ โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโครคาร์บอน และโลหะหนักบางชนิด ที่จะเข้าไปทำลาย DNA RNA ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง และ 5. ผู้ที่ระบบภูมิต้านทานต่ำ หรือไม่สมบูรณ์ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงฝุ่นขนาดเล็ก ที่สามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้โดยตรง ทำให้โอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นได้

นายแพทย์พิจักษณ์ กล่าวเสริม “เมื่อมีสารพิษสะสมในร่างกายจำนวนมาก ร่างกายจะพยายามลดพิษในเลือดลง โดยการพยายามนำสารพิษออกจากระบบเลือด แล้วไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่ออื่นของร่างกายแทน เช่น เนื้อเยื่อไขมัน กระดูก หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจไม่แสดงอาการของพิษเฉียบพลัน แต่ส่งผลในระยะยาว ทำให้เกิดอาการผิดปกติเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ สามารถตรวจเช็คสัญญาณที่บ่งบอกอาการผิดปกติได้เบื้องต้นได้ด้วยตนเองจาก 7 อาการ ดังนี้ 1. มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่สดชื่น 2. นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท 3. มีความรู้สึกว่าสมองล้า คิดช้า โฟกัสงานไม่ค่อยดี ขี้ลืมมากขึ้น 4. ลดน้ำหนักยาก เนื่องจากโลหะหนักจะไปรบกวนระบบเผาผลาญ 5. ควบคุมอารมณ์ยากขึ้น 6. ป่วยติดเชื้อง่ายขึ้น ไอบ่อย เป็นหวัดบ่อย และ 7. เป็นผื่นแพ้ หรือลมพิษ บ่อยขึ้น”
สำหรับแนวทางป้องกันและรับมือกับฝุ่นพิษ PM 2.5 นอกเหนือจากคำแนะนำเบื้องต้น เช่น การลดกิจกรรมนอกบ้านในวันที่ฝุ่น PM 2.5 สูง หรือการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นแล้ว การดูแลสุขภาพเชิงเวลเนสที่เน้นป้องกันจากภายในสู่ภายนอกก็มีความสำคัญเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย 3 การดูแลสุขภาพหลัก ๆ ดังนี้


ดูแลสุขภาพเชิงเชิงเวลเนส พร้อมรับคำปรึกษา วางแผนการดูแลสุขภาพร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมวิธีการข้างต้นมีให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับ W9 และ W Ploenchit Wellness Center ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม https://w9wellness.com/th/
นายณัฏฐ์พงษ์ ปัญจวรญาณ ผู้ร่วมก่อตั้ง W Ploenchit Wellness Center เปิดเผยว่า เทรนด์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ประกอบกับประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 Wellness Destination ของโลก เพราะประเทศไทยมีความพร้อมด้านเวชศาสตร์การป้องกัน W9 Wellness Center (ดับเบิลยูไนน์ เวลเนส เซ็นเตอร์) เปิดสาขาใหม่ W Ploenchit Wellness Center คลินิกดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและฟื้นฟูความเสื่อม ในคอนเซ็ปต์ “Fountain of Youth” น้ำพุแห่งความเยาว์วัย ชูบริการเวลเนสด้วยโปรแกรมเฉพาะบุคคล ผสมผสานทุกศาสตร์แห่งการป้องกัน ดูแล และฟื้นฟูความเสื่อม พร้อมบริการที่ดูแลสุขภาพจากภายในครบวงจร ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน โฟกัสกลุ่มเป้าหมายหลักนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตอบรับเทรนด์ Health & Wellness Tourism รวมทั้งพนักงานออฟฟิศ

สำหรับโปรโมชั่นสุดพิเศษฉลองเปิดสาขา W Ploenchit Wellness Center บริการ Vitamin IV Drip โปรแกรม Advanced Formula ซื้อ 1 แถม 1 ในราคาเพียง 7,000 บาท รวมทั้งสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมายเมื่อสมัครบัตร Wellness Premium Card ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2567 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อสอบถามได้ที่ https://w9wellness.com โทร. 099 496 9626 หรือ 082 479 6262